ตอนที่ 49: ดูดซับกระดูกวิญญาณ
เวลาครึ่งชั่วโมงต่อมา
เย่เฉินซึ่งเป็นคนแรกที่ได้ไปถึงแท่นตรงลานกว้างมาเป็นเวลานานแล้ว เขานั่งไขว่ห้างรอทุกคนอยู่
ไม่ไกลจากแท่นตรงลานกว้างนั้นคือการต่อสู้ที่อยู่ในความโกลาหลของคนที่เหลือ
เนื่องจากสิบอันดับแรกนั้นจะได้รับการจัดอันดับตามลําดับที่มาถึงบนแท่นได้ จึงไม่มีใครยอมให้อีกฝ่ายนั้นขึ้นไปได้
และเย่เฉินเองก็แข็งแกร่งเกินไปจึงถูกรับการยอมรับให้เป็นอันดับหนึ่งไปอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงต่อสู้กันที่ด้านล่างของแท่นปะลอง
แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือการต่อสู้ระหว่างหวังเหอและโจวไค,เจียงเส่าเหิงและฝาแฝด
ทั้งหวังเหอและโจวไคนั้นเป็นวิญญาณยุทธ์สัตว์ร้ายระดับห้าดาว และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็สูสีกัน
การต่อสู้กันของหมาป่าและหมีนั้นดุเดือดเป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดคือการต่อสู้ระหว่างฝาแฝดกับเจียงเส่าเหิง
"เจียงเส่าเหิงเจ้าควรยอมแพ้ไปดีกว่าน่า ถ้าเรื่องยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าจะไม่สามารถรักษาอันดับที่สี่ไว้ได้เลยด้วยซ้ำนะ!"
นาหลันชิงชิงพูดเบา ๆ
แม้ว่าเธอจะไม่สามารถต่อกรกับเย่เฉินได้ แต่เธอก็มีพลังมากเกินพอที่จะจัดการกับเจียงเส่าเหิงและคนอื่นๆ หลังจากใช้เทคนิคการผสมผสานวิญญาณยุทธ์แล้ว
เจียงเส่าเหิงถือดาบชีวิตและความตายไว้ในมือข้างซ้ายและขวา แต่เขาไม่สามารถทะลุผ่านระยะการควบคุมของ การผสมผสานวิญญาณยุทธ์ไปได้
หลังจากได้ยินคําพูดของนาหลันชิงชิงใบหน้าของเจียงเส่าเหิงก็ดุแย่ยิ่งขึ้นไปอีก
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าฝาแฝดที่มักจะเก็บโปรไฟล์ต่ำในค่ายฝึกจะแข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้
ความแข็งแกร่งของพวกเธอแต่ละคนนั้นก็สามารถเปรียบได้กับเขาแล้ว และตอนนี้หลังจากใช้เทคนิคการหลอมรวมวิญญาณยุทธ์แล้ว มันก็ยิ่งแข็งแกร่งอย่างน่าขัน
ถ้านาหลันชิงชิงไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าเขา เขาอาจจะตายไปนานแล้ว
"ไม่เป็นไร"
เมื่อเห็นว่าพลังวิญญาณในร่างกายของเขาเกือบจะหมดลง เจียงเส่าเหิงก็ขอยอมแพ้
"พวกเจ้าชนะแล้วล่ะ"
เจียงเส่าเหิงพูดอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย
นาหลันชิงชิงเห็นว่าเจียงเส่าเหิงเลิกใช้วิญญาณยุทธ์ของเขาและหยุดโจมตีและปลดปล่อยการควบคุมของเจียงเส่าเหิง
แล้ว.
"พี่สาว เราชนะ อันดับที่สองและสามเป็นของเรา!"
นาหลันชิงโหรวเดินไปที่แท่นตรงลานกว้างอย่างมีความสุข
นาหลันชิงชิงพูดไม่ออก: "อันดับที่สองและสามนั้นทําให้เจ้ามีความสุขมากนักเหรอ"
"ถ้าอย่างนั้นท่านยังอยากคิดที่จะต่อสู้เพื่ออันดับที่หนึ่งอยู่อีกงั้นเหรอ"
นาหลันชิงโหรวถามอย่างสงสัย
นาหลันชิงชิงหยุดพูดทันที น้องสาวคนนี้ช่างซื่อตรงเกินไป
หลังจากความพ่ายแพ้ของเจียงเส่าเหิงการต่อสู้ระหว่างโจวไคและหวังเหอก็ถูกตัดสินเช่นกัน
หมีทรราชอัสนีบาตเอาชนะหวังเหอเป็นหมาป่าโลหิตคลั่งไปอย่างฉิวเฉียด
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดค่ายฝึกพิเศษก็ได้สิ้นสุดลง
สิบอันดับแรกนั้นได้เป็นไปตามที่ทุกคนได้คาดหวังเอาไว้ โดยมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกแท่นตรงลานกว้างเหลียนชางเจิ้งและคนอื่นๆ เดินเข้ามา
"นักเรียน ของค่ายฝึกพิเศษ...มารวมกันตรงนี้"
เถิงชิงหู่ลังเลเล็กน้อยและถอนหายใจ: "พวกเราได้อยู่ด้วยกันทั้งกลางวันและกลางคืนมาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะจดจำความทรงจํานี้ไปได้ตลอดล่ะนะ"
หลังจากกล่าวออกมาไม่กี่คํา เถิงชิงหู่ก็ส่งสายตามองไปที่เหลียนชางเจิ้ง
"ตามการจัดลําดับ สิบอันดับแรกได้รับการตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้พิธีการมอบรางวัลก็จะได้เริ่มขึ้น"
หลังจากที่เหลียนชางเจิ้งพูดจบ เขาก็หยิบกระดูกวิญญาณของพยัคฆ์เงาทมิฬออกมาอีกครั้ง: "ตามกฎของค่ายฝึกพิเศษแล้ว อันดับที่หนึ่งในค่ายฝึกพิเศษนี้จะได้รับกระดูกขาซ้ายของพยัคฆ์เงาทมิฬ และคะแนนอีก 10 คะแนน สําหรับการสอบเข้าวิทยาลัย และเงินสดอีก 20 ล้าน"
นักเรียนทุกคน รวมทั้งเจียงเส่าเหิงต่างมองไปที่เย่เฉินด้วยความอิจฉา
แม้ว่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังของตระกูลที่ยิ่งใหญ่พอๆ กับเจียงเส่าเหิงและโจวไคเอง ทางตระกูลก็ยังไม่สามารถหากระดูกวิญญาณคุณภาพสูงได้
ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้จะมีกระดูกวิญญาณจริง แต่ทางผู้อาวุโสของตระกูลก็มักจะใช้มันก่อน
"มันเจ๋งมาก..."
หวังเหอพึมพํา
ต่อจากนั้นเถิงชิงหู่ได้ประกาศรางวัลที่สองถึงสิบที่เหลือ
แต่สำหรับเย่เฉินนั้น เขาไม่มีใจที่จะฟังสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป
เป็นการยากที่จะรอจนกว่าการประกาสรางวัลจะจบลง
"เสี่ยวเย่ข้าแนะนําให้เจ้ากลับไปที่ค่ายฝึกพิเศษก่อนและดูดซับกระดูกวิญญาณซะ"
หลังจากมอบรางวัลให้กับเย่เฉินแล้ว เหลียนชางเจิ้งก็กระซิบบอกกับเย่เฉิน
เย่เฉินพยักหน้า
ยิ่งเก็บกระดูกวิญญาณไว้ติดตัวนานเท่าไหร่ อันตรายก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปล้นหลังจากการดูดซับแล้ว แต่ก็ดีกว่าถูกแย่งชิงไป
อย่างไรก็ตาม เขานั้นมีเสี่ยวหงหยู่เป็นผู้พิทักษ์ และคนส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าจัดการกับเขาเพื่อกระดูกวิญญาณนี้ได้
แม้ว่าวันนี้เขาจะไม่ได้เจอกับเสี่ยวหงหยู่ แต่เย่เฉินก็รู้ว่าเสี่ยวหงหยู่นั้นต้องคอยดูเขาอยู่ตลอดเวลา
...
หลังจากที่กลับมาที่ห้องพักแล้ว
โจวไคเอ๋อมอบห้องให้กับเย่เฉินเป็นพิเศษ และออกไปกับหลินเว่ยเว่ยเพื่อนสนิทของเธอแทน
เย่เฉินปรับเตรียมท่านั่งของเขาและหยิบกระดูกขาซ้ายของพยัคฆ์เงาทมิฬออกมาด้วยความตื่นเต้น
"มันอาจจะเป็นไปได้ล่ะนะที่จะเพิ่มอายุของกระดูกวิญญาณในภายหลังจากระบบน่ะ"
"ถ้าเป็นแบบนั้นจริง กระดูกวิญญาณนี้อาจกลายเป็นกระดูกวิญญาณหมื่นปีหรือแสนปีได้เลยในอนาคต"
แม้ว่าเย่เฉินจะมีการสะสมอายุไว้มากกว่า 10,000 ปี จากระบบ แต่สิ่งเหล่านี้สามารถใช้สําหรับวงแหวนวิญญาณได้เพียงเท่านั้น
แต่เย่เฉินนั้นไม่ได้กังวลเกี่ยวกับอายุของกระดูกวิญญาณเลย มันคงจะไม่ยากที่จะทําสิ่งนี้ด้วยความแข็งแกร่งของระบบที่เขามีได้อย่างแน่นอน
จากนั้นเย่เฉินก็เริ่มดําเนินการถ่ายเทพลังวิญญาณภายในร่างกายของเขา
ในขณะเดียวกันเสี่ยวหงหยู่ที่อยู่ในห้องถัดไป
เสี่ยวหงหยู่ "เฝ้าดู" เย่เฉินอย่างตั้งใจ
แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเย่เฉินเป็นเหมือนวัวกระทิง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขานั้นได้ดูดซับกระดูกวิญญาณเช่นนี้
ในฐานะผู้พิทักษ์แล้ว เสี่ยวหงหยู่ยังคงห่วงและกังวลมาก
"ด้วยสมรรถภาพทางกายของเด็กคนนี้แล้ว ข้าคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการดูดซึมให้สมบูรณ์ได้"
เสี่ยวหงหยู่อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเมื่อเธอนึกถึงกิจกรรมของเย่เฉินที่เหมือนเป้นคนตอกเสาเข็ม
อันที่จริงแล้ว ความเร็วในการดูดซับกระดูกวิญญาณนั้นช้ากว่าความเร็วในการดูดซับวงแหวนวิญญาณเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเสี่ยวหงหยู่รู้ว่าเย่เฉินนั้นมีวงแหวนวิญญาณระดับพันปีถึงสองวง และสำหรับผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายเช่นนี้การดูดซับวงแหวนวิญญาณเที่อายุ 570 ปี นั้นก็ไม่มีอะไรเลย
"บ้าไปแล้ว ทําไมข้าถึงเอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นเมื่อเร็วๆ นี้อยู่ได้กันล่ะเนี่ย"
เสี่ยวหงหยู่พึมพํา
จากนั้นใบหน้าของเธอก็แดงขึ้น: "ข้าอยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนั้น... อ๊า บ้า บ้า บ้าไปแล้วจริงๆ"
เสี่ยวหงหยู่ทําให้ตัวเองได้สติกลับมาอีกครั้ง โอ้ พระเจ้า ข้ากําลังคิดอะไรอยู่กันละเนี่ย!
ตัวข้านั้นเป็นถึงจักรพรรดิวิญญาณอันดับต้น ๆ เลยนะ!
แม้ว่าเธอจะอยู่ลำพังเพียงคนเดียวในห้อง แต่เสี่ยวหงหยู่ก็ยังเขิลอายเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้น
แต่บางสิ่งนั้นไม่สามารถควบคุมได้
ยิ่งถ้าอยากจะคิดเกี่ยวกับมันน้อยลงเท่าไหร่ กลับยิ่งคิดถึงมันได้ง่ายขึ้นมากเท่านั้น
"ทําไมกันนะ......"
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวหงหยู่ก็แอบถอนหายใจ
ผู้ชายธรรมดาทั่วไปนั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอเลย และพวกเขาไม่คู่ควรที่จะให้ความสนใจที่จะพูดถึงเลยด้วยซ้ำ
เจ้าตัวเล็กคนนั้น ดีมากที่ได้มีความสัมพันธ์กับ... ในทุก ๆ ด้าน... อ่าาาา!
ร่างกายอันบอบบางของเสี่ยวหงหยู่สั่นสะท้าน และเธอก็รีบขัดจังหวะความอยากที่จะคิดต่อไปอีก
"ให้ตายเถอะ เขายังอายุแค่ 18 อยู่เลยนะ"
เสี่ยวหงหยู่จับคางของเธอด้วยมืออันเรียวงามผิวขาวนวลของเธออย่างท่าทางครุ่นคิด
ในเวลานี้.
"บูม!"
คลื่นที่ทรงพลังได้พวยพุ่งออกมาจากห้องที่อยู่ถัดไป