Chapter 444 สนับสนุนเมืองชิงหยาง.
“...”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะออกไปหาประสบการณ์ รอให้สงครามจบค่อยไปก็แล้วกัน.”
“อืม.”
ลู่เชียนเชียนที่คิดเช่นนั้นเหมือนกัน.
ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางและเจ้าสำนักอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง จึงได้เอ่ยเรื่องที่ตัวเองจะออกไปหาประสบการณ์ออกมา.
กล่าวตามตรง.
หากจุนซ่างเซียวไม่เห็นด้วย ลู่เชียนเชียนจะยังออกไปหาประสบการณ์หรือไม่?
เรื่องดังกล่าวนั้น ไม่สามารถบอกได้ และไม่สามารถเอ่ยออกมาได้เช่นกัน เป็นสิ่งที่ยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้.
ที่จริงแล้วจุนซ่างเซียวไม่ควรที่จะปกป้องเหล่าศิษย์มากเกินไป การให้พวกเขาออกไปหาประสบการณ์ จะทำให้พวกเขาเติบโตขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะโต้แย้งเลย.
ส่วนการที่พวกเขาจะทรยศหรือหนีไปนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องเป็นกังวล.
เพราะว่าหากมีใครต้องการจะแยกตัวออกไป จะถูกลบความทรงจำทำให้ไม่สามารถใช้วิชาประจำสำนักได้อีกต่อไป.
เพราะว่ามันมีขีดจำกัด ทำให้เจ้าสำนักจุนไม่สามารถเร่งรับศิษย์ทีละมาก ๆ ได้ แน่นอนว่าเขาสามารถที่จะแย่งชิงเหล่าศิษย์มาจากกลุ่มอิทธิพลเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ซึ่งสามารถแบ่งแยกคนที่ไม่ซื่อสัตย์โดยใช้ระบบได้.
ในเวลานี้ ศิษย์ที่รับมากว่าสองพันคน ยังไม่มีใครสูญเสียความทรงจำเลย อธิบายได้ว่าทุกคนนั้นยอมรับสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยใจจริง ไม่มีใครที่ต้องการแยกตัวออกไป.
แน่นอน.
ยิ่งสำนักเติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ เหล่านิกายขนาดใหญ่ ก็คงจะจับจ้องมองเข้ามาที่สำนักของเขาเช่นกัน.
เจ้าสำนักจุนที่คาดหวังว่าจะให้มีคนถอนตัวและลบความทรงจำไป ดูเหมือนกัน.
ระบบที่แทบหมดคำจะพูด “ความคิดของโฮสน์มันเลวร้ายจริง ๆ.”
......
ศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งที่ตัดผ่านระดับ กันอย่างคับคั่ง สงครามที่ยังคงดำเนินต่อไป.
เจ้าเมืองของมนทลฮวยหยางที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา พวกเขาที่ต้านทานศัตรูเอาไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่ตัวเองมี.
ส่วนมนทลเหอหยาง แม้นว่าจะไม่สามารถปกป้องเมืองส่วนมากจากศัตรูได้ ทว่าก็ยังสามารถรั้งฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ได้.
ด้วยเวลาที่มีเหลืออยู่ จุนซ่างเซียวและศิษย์สามารถที่จะบ่มเพาะ และยกระดับให้สูงขึ้นกว่าเดิม.
“เจ้าสำนัก.”
เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย “ข้าเชื่อว่า หากว่าทัพของพวกเราเข้าโจมตีทัพของมนทลเจิ้นหยาง พวกเขาไม่มีทางที่จะป้องกันพวกเราได้อย่างแน่นอน.”
สมาชิกหอขี่หมาป่าที่ตัดผ่านไปยังระดับอาจารย์ยุทธ์ ทำให้พวกเขาทุกคนทรงพลังเป็นอย่างมาก.
จุนซ่างเซียวส่ายหน้าไปมา “หากพวกเราเข้าโจมตีพวกเขา ก็หมายถึงพวกเราได้สมัครใจเข้าร่วมสงครามโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงแค่ทัพของมนทลเจิ้นหยางที่เข้าโจมตีพวกเรา อาจจะมีกลุ่มอิทธิพลอื่นบุกเข้ามาอีกก็ได้.”
“มีเหตุผล.”เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย.
จุนซ่างเซียวที่ยังคงมองไปยังบนโต๊ะดูแผนที่ เอ่ยออกมาว่า “ดังนั้น พวกเราทำได้เพียงแค่ต้องรอ เมื่อพวกเขาเข้าโจมตีแล้ว ก็หมายถึงพวกเราปกป้องดินแดน และสามารถจัดการพวกเขาได้อย่างชอบธรรม.”
ภารกิจปกป้องเมืองชิงหยาง ขอเพียงแค่ขับไล่ศัตรูออกไป ภารกิจของเขาก็เสร็จสิ้น.
“เจ้าสำนัก.”
ในเวลาเดียวกัน ลี่ลั่วฉิวที่ก้าวเข้ามา เอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “จากแนวหน้า แม่ทัพมนทลเจิ้นหยางไม่สามารถทะลวงเมืองที่แข็งแกร่งได้อีกต่อไปเวลานี้ได้รวมทหารสามหมื่นคน มุ่งตรงมายังเมืองชิงหยางแล้ว.”
“......”
จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก.
เฮ้ย ๆ นี่ไม่คิดจะทำตามแผนการเดิมแล้วรึไง!
ยังไม่สามารถยึดมนทลเหอหยางและฮวยหยางไม่หมดไม่ใช่รึ? นี่คิดจะบุกรุกมนทลชิงหยางแล้วรึ?!
เสวี๋ยเหรินกุยที่กล่าวอธิบาย “เป็นไปได้ว่ามนทลเจิ้นหยางต้องการทะลวงเมืองชิงหยาง เพื่อใช้เป็นทัพเสริมในการเข้าโจมตีเมืองอื่น ๆ ของมนทลฮวยหยางและเหอหยาง.”
“ก็ดี.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ในเมื่อต้องการมา ก็ไม่ต้องหลบเลี่ยง.”
ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “ตามข่าวที่ได้มานั้น แม่ทัพมีนามว่าเถาหยวน เป็นอีกหนึ่งแม่ทัพหน้าของไป่รุยหู่.”
“เถาหยวน ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยิน.”
เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย “นี่เป็นแม่ทัพที่มาจากตระกูลขุนนาง ศึกษากลศึกมาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นหนึ่งในแม่ทัพรุ่นใหม่ ที่เป็นคนฝึกฝนทัพเหนือพยัคฆ์ ทำให้ทหารของพวกเขากลายเป็นทหารชั้นสูงในจังหวัดซีเหนียนหยาง.”
แม้นว่าจะไม่ได้เป็นทหารมาหลายปี ทว่าเกี่ยวกับเรื่องกองทัพนั้น เขาย่อมต้องสนใจและได้ยินมาบ้างอย่างแน่นอน.
“ดูเหมือนว่าทัพ 30,000 คนในเวลานี้ จะเหนือกว่าก่อนหน้านี้อย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย “ทัพเหนือพยัคฆ์ที่บัญชาการโดยเถาหยวนนั้น ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้างวด เป็นกองกำลังทหารกล้า ไม่สามารถนำเหมี่ยวก้วยมาเทียบได้เลยสักนิด.”
“ถ้าเทียบกับหอขี่หมาป่าของเราล่ะ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เสวี่ยเหรินกุยเอ่ย “แน่นอนว่าไม่สามารถเทียบได้.”
เขาที่เป็นแม่ทัพห้าดาว ย่อมมีความมั่นใจ แม้นว่าเถาหยวนจะเป็นหน้าใหม่ดาวรุ่ง ก็ไม่มีทางที่จะเทียบเขาได้.
อีกอย่างหอขี่หมาป่าเวลานี้ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก.
หากเขามีทัพสัก 2000-3000 คนแล้วล่ะก็ ถึงจะเป็นทัพใดก็ตาม เป็นไปไม่ได้จะมีคนต่อกรกับเขาได้.
“ไป.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “พวกเราไปยังเมืองชิงหยางกัน.”
“รับทราบ!”
กองกำลังหมาป่าพันกว่าคน ขี่หมาป่าเออริเคนออกจากสำนักไท่กู่เจิ้ง.
เจ้าสำนักจุนไม่เพียงแค่นำหลี่ชิงหยางเซียวจุ้ยจื่อ และเหล่าศิษย์สายใน ยังนำศิษย์อีกพันคนไปด้วย.
ทั้งสำนักมีศิษย์ 2500 คน เวลานี้ได้นำคนกว่า 2000 คน เคลื่อนทัพออกมา.
ด้วยภารกิจมหากาพย์ปกป้องเหมืองชิงหยาง จุนซ่างเซียวจึงต้องเคลื่อนคนเกือบทั้งหมดออกมา เพราะว่าหากภารกิจล้มเหลว เขาต้องหยุดชะงักอยู่ในระดับบรรพชนยุทธ์ขั้นปลายไปอีกนาน!
“มารดาเถอะ!”
ระหว่างทาง จุนซ่างเซียวได้แต่สบถในใจ “แม้นว่ารางวัลภารกิจจะมากมาย ทว่าหากทำภารกิจล้มเหลว กับเป็นเรื่องที่บัดซบจริง ๆ!”
......
เมืองชิงหยาง คฤหาสน์เจ้าเมือง.
เซี่ยกวนคุนที่ตอนนี้รู้สึกราวกับเป็นมดที่วิ่งวนบนกระทะร้อน เขาที่เดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนรน.
จุนซ่างเซียวที่ได้รับข่าวแล้ว เขาย่อมต้องได้รับข่าวเช่นกัน.
มนทลจิ้นหยางไม่ได้ส่งทัพหลักมา ทว่าก็ส่งทัพจำนวนถึง 30,000 คน บุกเข้ามายังมนทลชิงหยางอย่างคาดไม่ถึง.
ทำให้เจ้าเมืองเซี่ยแทบทรุด คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นกองกำลังเหนือพยัคฆ์.
หลายปีก่อน มีการแข่งขันกองกำลัง ทัพที่ได้อันดับสามของจังหวัด เวลานี้กำลังบุกเมืองชิงหยางของข้า ไม่รู้ว่าจะให้เขาเอ่ยอะไรออกมาได้!
“เจ้าเมือง.”
แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ย “เกี่ยวกับทัพมนทลเจิ้นหยางที่มานั้น แม่ทัพผู้ต่ำต้อยผู้นี้จะยืนหยัดไม่ยอมแพ้จนกว่าจะตัวตาย!”
คนผู้นี้มีนามว่าซุนเหอ เป็นแม่ทัพป้องกันเมืองชิงหยางนั่นเอง.
แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์มากมาย ทว่าเทียบกับแม่ทัพเช่นเถาหยวนแล้ว ก็ยังถือว่าอ่อนแอมาก.
หากจัดทัพด้วยจำนวนและเงื่อนไขเหมือนกัน เข้าประลองรบ ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็คงมีแต่ความพ่ายแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.
มีเพียงแค่บางคนเท่านั้น ที่เกิดมามีทักษะทางทหารที่ยอดเยี่ยม.
บุคคลเช่นเถาหยวน นอกจากจะมีพรสวรรค์ยังศึกษาเกี่ยวกับวิชาทหารมาหลายสิบปีตั้งแต่เด็กอีกด้วย.
หากให้เวลาอีกสักหน่อย เขาจะกลายเป็นคนที่มีอนาคตสดใส ในวันข้างหน้าจะต้องกลายเป็นแม่ทัพห้าดาวได้อย่างแน่นอน
“เจ้าเมือง!”
ในเวลานั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เข้ามารายงาน “เจ้าสำนักจุนขอเข้าพบ!”
เซี่ยกวนคุนที่กังวลอยู่ เร่งรีบกล่าวออกมาทันที “รีบเชิญ รีบเชิญเร็วเข้า!”
......
ในห้องโถงใหญ่.
จุนซ่างเซียวที่เพิ่งนั่งลง เจ้าเมืองเซี่ยที่โศกเศร้าได้กล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนักจุน กองกำลังเมืองเจิ้นหยาง 30,000 นาย เกรงว่าคงกำลังบุกเมืองชิงหยางของข้าแล้ว!”
ยิ่งเป็นกองกำลังเหนือพยัคฆ์ ที่มีเถาหยวนบัญชาการ ยิ่งทำให้เขาหมดความหวัง.
“เจ้าเมืองเซี่ย.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ข้าได้รับข่าวมาแล้ว ดังนั้นจึงได้นำศิษย์มาสนับสนุนโดยเพราะ.”
เซี่ยกวนคุนที่รู้สึกดีขึ้น ทว่าก็ยังขมขื่นเหมือนเดิม “กองกำลังเหนือพยัคฆ์มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในจังหวัดซีเหนียนหยาง เกรงว่าเมืองชิงหยางคงยากจะหลบพ้นภัยในครั้งนี้.”
“ไม่เสมอไป.”
จุนซ่างเซียวยืนขึ้นชี้ไปยังเสวี๋ยเหรินกุย “เจ้าเมืองเซี่ย เปิ่นจั้วนำแม่ทัพที่เชี่ยวชาญศึกมา บางทีอาจจะช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤติครั้งนี้ได้.”
เซี่ยกวนคุนที่จ้องมองคราหนึ่ง เห็นเพียงชายวัยกลางคน ลอบที่จะกล่าวในใจ “ไม่มีกลิ่นอายของทหารเลย จะเชี่ยวชาญในการรบจริง ๆ รึ?”
เสวี๋ยเหรินกุยที่นึกถึงเรื่องของเหมี่ยวก้วยได้ ทำให้เขาปลอมแปลงเปลี่ยนรูปร่าง แม้แต่ซ่อนกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิด.
จุนซ่างเซียวที่เผยท่าทางสงสัยด้วยเช่นกัน “ทำไมถางจู่เสวี๋ยต้องเปลี่ยนรูปร่างกลิ่นอายของตัวเองด้วย?”
เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย “ข้าเป็นทหารหนีทัพ หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงจังหวัดจงจุน จะสร้างปัญหาขึ้นได้.”
“ถางจู่เสวี๋ยเกรงว่าจะสร้างปัญหาให้กับสำนักอย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เสวี๋ยเหรินกุยพยักหน้ารับ.
จุนซ่างเซียวที่จ้องมองไปยังอีกคนเป็นเจียงเซี่ยที่เปลี่ยนร่างง่าย ๆ ด้วยเช่นกัน เขาที่กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “รอให้สำนักไท่กู่เจิ้งแข็งแกร่งเพียงพอ สามารถที่จะต้านทุกภัยได้แล้ว พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวอีกต่อไป.”