Chapter 437 ไม่อาจปล่อยให้รุกรานบ้านเกิด.
ด้วยค่ายกลรวมวิญญาณที่ยกระดับขึ้น ทำให้ศิษย์ของเขาตัดผ่านระดับได้อย่างรวดเร็ว.
เวลานี้ถึงเวลาที่เขาจะรับศิษย์เข้ามาให้เต็มโควตา เพื่อที่จะกระตุ้นภารกิจสำนัก และทำภารกิจยกระดับสิ่งก่อสร้าง.
“แต่ว่า......”
จุนซ่างเซียวที่กล่าวเสียงเบา “ข้าเพิ่งรับศิษย์มาเมื่อเร็ว ๆนี้ ต้องการรับศิษย์ในมนทลชิงหยางอีก คงไม่พบผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ที่ดีนัก.”
ระบบที่เอ่ย “โฮสน์ไม่ได้บอกว่าท้าทายดีหรอกรึ? ยิ่งรับคนที่มีรากวิญญาณระดับต่ำเท่าไหร่ ก็จะสามารถรับศิษย์ได้เต็มอย่างรวดเร็ว.”
“ไปลงนรกเลย.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่าท้าทาย กับการยกระดับผู้เยาว์ที่มีรากวิญญาณระดับต่ำให้เติบโต.
ทว่าในเวลานั้นรากฐานของเขายังไม่มั่นคง ชื่อเสียงที่มีน้อยนิด ทำให้จำต้องเลือกคนที่มีพรสวรรค์ต่ำเข้ามา.
ตอนนี้ต่างออกไป.
สำนักมีชื่อเสียงแล้ว และยังมีระดับหกอีกด้วย.
ลำพัง ลี่เฟยและเถียนซี การจะฝึกฝนให้พวกเขาเติบโต ก็ต้องลงทุนลงแรงไปจำนวนมาก.
การรับศิษย์ที่มีรากวิญญาณระดับต่ำ ก็ต้องใช้เวลาและความพยายามที่มากกว่าปรกติ.
การพัฒนาสำนัก เขาไม่สามารถที่จะก้าวไปอย่างเชื่องช้าได้ หากว่าสามารถรับคนที่มีรากวิญญาณระดับสูงได้ แน่นอนว่าย่อมสามารถพัฒนาสำนักให้เติบโตได้เร็วกว่า.
ระบบเอ่ย “โฮสน์คงบอกลา วิธีการล่องลอยไร้จุดหมายแล้วสินะ.”
“ล่องลอยน้องสาวเจ้านะสิ.”
จุนซ่างเซียวที่สีคางไปมา.“หรือว่าจะไปยังมนทลอื่นดู.”
ระบบเอ่ย “หากรับผู้ฝึกยุทธ์จากมนทลอื่นเข้าสำนักไท่กู่เจิ้ง ก็ดีอยู่หรอก ทว่าการข้ามไปยังมนทลอื่นรับสมัครนั้น จะต้องเป็นการสร้างปัญหากับสำนักมนทลอื่นอย่างแน่นอน.”
จุนซ่างเซียวที่กลายเป็นเงียบ.
คนในทวีปชิงหยุนมีอยู่มาก ทว่าคนที่มีพรสวรรค์สูงกับมีเพียงหยิบมือ.
การไปมนทลอื่นเพื่อรับศิษย์ ก็คงจะสร้างปัญหาขึ้นเหมือนเมื่อครั้งในอดีต.
“มารดาเถอะ.”
จุนซ่างเซียวที่เหนื่อยล้า “รับได้เพียงแค่ผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ระดับต่ำ ต้องใช้ทรัพยากรมากมายและเติบโตขึ้นช้า ๆ เช่นนี้นะรึ?”
“เจ้าสำนัก.”
ในเวลานั้น หลี่ชิงหยางที่ก้าวเข้ามาในห้องโถง “เจ้าเมืองเซี่ยขอพบ.”
“เชิญเข้ามาได้เลย.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
......
ภายในห้องโถง.
เซี่ยกวนคุนที่นั่งอยู่ ใบหน้าที่ดูเศร้าสร้อย.“เรื่องที่เคยกล่าวกับเจ้าสำนักจุน เรื่องที่เซี่ยโหมวกังวลตลอด ท้ายที่สุดก็เกิดขึ้น!”
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เซี่ยกวนคุนที่นำจดหมายนำออกมา “ได้รับมาเมื่อวานนี้ ผู้พิทักษ์มนทลเจิ้นหยางได้ส่งสารเตือนให้ยอมจำนน.”
“โอ้ว?”
จุนซ่างเซียวที่รับมา ก่อนจะเปิดจดหมายขึ้นมา.
เนื้อความที่เขียนเอาไว้ด้านในนั้น เป็นการสั่งให้มนทลชิงหยางยอมจำนน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะนำทัพเข้าโจมตี.
“เฮ้ เฮ้.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “นี่ไม่ตรงไปหน่อยรึ?”
เซี่ยกวนคุนเอ่ย “ตามที่เซี่ยโหมวได้ข่าวมา กองทัพของมนทลเจิ้นหยางนั้นมีอยู่ 200,000 คน ตอนนี้แยกออกไปสองกลุ่มมุ่งไปยังมนทลฮวยหยางและมนทลเหอหยางแล้ว.”
“หากว่าสองมนทลนี้แตกเมื่อไหร่ มนทลชิงหยาง ไม่ถูกขนาบด้วยทัพศัตรูหรอกรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
“ไม่ผิด.”เซี่ยกวนคุนเอ่ย.
จุนซ่างเซียวที่สีคางไปมา “ผู้พิทักษ์มนทลเจิ้นหยาง ดูเหมือนว่าจะมีความทะเยอทะยานไม่น้อย.”
เซี่ยกวนคุนเอ่ย “ทัพของมนทลเจิ้นหยาง 200,000 คนนั่น เป็นกองกำลังพยัคฆ์ขาวที่บัญชาการโดยแม่ทัพไป่รุ่ยหู่ ไม่เพียงมีพลังบ่มเพาะสูง ยังมีอุปกรณ์ชั้นยอด หากทหารระดับสูงเช่นนี้บุกมา มนทลชิงหยางคงอยู่ในอันตราย.”
“แล้วคาดว่าพวกเขาจะบุกมาเมื่อไหร่?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เซี่ยกวนคุน “หากว่ามนทลฮวยหยางและเหอหยางเลือกที่จะต่อต้าน คงราว ๆ หนึ่งปี แต่หากพวกเรายอมจำนน ทัพของมนทลเจิ้นหยางคงจะบุกมาอย่างรวดเร็วที่สุดก็คงใช้เวลาหนึ่งเดือน.”
“หนึ่งเดือน.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เจ้าเมืองเซี่ย ตอนนี้มีกองกำลังทหารเมืองชิงหยางเท่าไหร่?”
“50,000 นาย.”เซี่ยกวนคุนตอบ.
เมืองชิงหยางมีประชากร 3.6 ล้านคน ทว่าคนที่มีความสามารถรบได้นั้น อย่างน้อยต้องมีระดับศิษย์ยุทธ์ ดังนั้นถึงจะมีประชากรมากก็ไม่มีความหมาย.
มนทลเจิ้นหยางส่งยอดฝีมือมา หากแต่พวกเขากับมีทหารที่มีระดับเพียงศิษย์ยุทธ์ขั้นที่สองทั่วไป ก็ไม่เท่ากับขึ้นเขียงรอความตายหรอกรึ?
จุนซ่างเซียวที่ขมวดคิ้วไปมา.“ดูท่าจะลำบาก”
เรื่องการเคลื่อนทัพเข้าร่วมสงคราม เขาไม่เชี่ยวชาญนัก ดังนั้นจึงเรียกเสวี๋ยเหรินกุยมา พร้อมกับบอกเล่าถึงสถานการณ์และสอบถาม “ถางจู่เสวี๋ยเห็นว่าอย่างไร?”
เสวี๋ยเหรินกุยที่ขมวดคิ้วไปมา “ไป๋รุยหู่ มนทลเจิ้นหยาง น่าจะเป็นแม่ทัพหนึ่งในสิบที่มีชื่อเสียงของจังหวัดซีเหนียนหยาง.”
“ไม่ผิด.”เซี่ยกวนคุนเอ่ย.
จุนซ่างเซียวถึงกับพูดไม่ออก.
นอกจากจะมีทหารระดับสูงแล้ว ยังเป็นแม่ทัพมีชื่อหนึ่งในสิบอีก.
การขยายอาณาเขตของมนทลเจิ้นหยางเวลานี้ ดูเหมือนว่าจะหวังที่จะได้รับชัยแน่นอน.
เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย “จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ คงทำได้แค่ตั้งรับ ทว่าจะตั้งรับได้นานเท่าไหร่คงบอกไม่ได้ อีกฝั่งคงจะบุกโจมตีไม่หยุดเป็นแน่.”
หากคิดในแง่ร้าย.
ดูเหมือนจะไม่มีวิธี.
ความแข็งแกร่งของทหารแตกต่างกันเกินไป ยากจะรับมือกับทหารระดับสูงของมนทลเจิ้นหยางได้.
“เฮ้อ.”
เสวี๋ยกวนคุนที่สูดหายใจลึก แววตาที่เผยความเศร้าใจ “ด้วยความทหารที่เซี่ยโหมวมี จะตั้งรับต้านทานเมืองชิงหยางเอาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
บ้านเกิดถูกรุกราน!
ยอมจำนนรึ? แล้วจะมองหน้าบรรพชนที่ตายไปแล้ว ได้อย่างไร!
......
เซี่ยกวนคุนจากไปแล้ว เขาที่วางแผนเตรียมทำสงคราม เวลานี้เขาตระหนักได้ว่าเมืองชิงหยางอยู่บนความเป็นความตายแล้ว.
“ถางจู่เสวี๋ย.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วรึ?”
เสวี๋ยเหรินกุยที่ส่ายหน้าไปมา “เจ้าสำนัก อย่าลืมว่ามนทลชิงหยางเป็นดินแดนระดับเก้า หากถูกจับจ้องจากดินแดนขนาดใหญ่แล้ว มีเพียงแค่ต้องถูกทำลายเท่านั้น.”
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ใหนแต่ไรแล้ว.
จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มือที่สีคางไปมา ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “สำนักไท่กู่เจิ้งในมนทลชิงหยาง แน่นอนว่าคงไม่สามารถที่จะยอมได้.”
เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย “เจ้าสำนัก พวกเราที่เป็นสำนักยุทธ์ ไม่เห็นจำเป็นต้องเข้าร่วมสงครามเลยไม่ใช่รึ?”
“ศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้ง มีหลายคนเป็นคนของมนทลชิงหยาง ที่นี่คือบ้านเกิดพวกเขา มีสมาชิกครอบครัวของพวกเขาอยู่ด้วย จะให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ มองดูศัตรูทำลายครอบครัวของพวกเขาได้อย่างงั้นรึ?!”
ที่บ้านเกิดของเขาหลายร้อยปีก่อนที่บุตรของพวกเราต้องหลั่งเลือดเพื่อปกป้องมาตุภูมิของตัวเอง แม้นว่าจุนซ่างเซียวที่เกิดในยุคใหม่ ก็รู้ดีว่าการที่บ้านเกิดยังคงอยู่ ก็เพราะการที่คนเหล่านั้นเสียสละ.
แม้นว่าตอนนี้เขาจะมาจากต่างโลก เขาไม่ใช่คนของเมืองชิงหยางก็ตาม ทว่าเขาก็มีจิตวิญญาณที่หวงแหนบ้านเกิด พร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบ้านเกิดเจ้าของร่างเช่นกัน.
“ทราบแล้ว.”
เสวี๋ยเหรินกุยกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าสำนัก ต้องการปกป้องเมืองชิงหยาง แม่ทัพผู้ต่ำต้อยผู้นี้เชื่อว่า หากเพิ่มจำนวนสมาชิกหอขี่หมาป่าได้ การสร้างกองกำลังเคลื่อนที่เร็ว จะสามารถยกระดับความแข็งแกร่งของกองทัพได้อย่างคาดไม่ถึง.”
การจะใช้ทัพใหญ่ปะทะกับกองทัพของมนทลเจิ้นหยางคงเป็นไปม่ได้ ดังนั้นก็ต้องมองหาจุดแข็งของตัวเอง.
ด้วยการรับตำแหน่งถางจู่หอขี่หมาป่า เขาที่มองเห็นจุดแข็งของสำนักไท่กู่เจิ้งดี นี่เหมาะที่จะเข้าสู่สงคราม ด้วยทัพเคลื่อนที่เร็ว ขอเพียงสามารถร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์ จะสามารถเพิ่มพลังของทัพเคลื่อนที่เร็วให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า.
ในยุคสงครามเย็น กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด แน่นอนว่าเป็นกองกำลังเคลื่อนที่เร็ว.
กองกำลังเคลื่อนที่เร็วที่ทรงพลัง จะสามารถไปยังทุกส่วนของสนามรบ.
ในอดีตในจักรวรรดิมองโกล ด้วยทัพเคลื่อนที่เร็วนี้สามารถบุกพิชิตชัยที่ยุโรปได้.
แม้นว่าในยุคสมัยของราชวงศ์ซ่ง พวกเขาจะถูกกลืนกิน เพราะว่าสนามรบไม่เหมาะที่จะให้ม้าวิ่ง ทำให้กองกำลังเคลื่อนที่ของมองโกลพ่ายแพ้ไปในที่สุด.
อย่างไรก็ตาม กองกำลังเคลื่อนที่เร็วก็ยังนับว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากในสนามรบ.
จุนซ่างเซียวที่ใช้สัตว์ขี่เป็นหมาป่าเฮอริเคน ทำให้กองกำลังในโลกใบนี้เหนือล้ำกว่ากองกำลังในโลกเดิมของเขามาก.
ด้วยการฝึกฝนของเสวี๋ยเหรินกุยด้วยแล้ว เขามั่นใจว่า กองกำลังเคลื่อนที่เร็วที่สร้างขึ้นนี้จะเป็นทัพที่ทรงพลัง.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ด้วยหมาป่าเฮอริเคนที่มีเวลานี้ คงจัดตั้งกองกำลังได้เพียง 1,000 คน เปิ่นจั้วจะเพิ่มคนให้กับหอขี่หมาป่าอีก 500 คน.”
หมาป่าเฮอริเคนที่เขานำกลับสำนัก จากเทือกเขาหมื่นสัตว์ ที่สามารถต้านลมต้านฝนแม้แต่การโจมตีที่หนักหน่วง จะทำให้เขาสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นได้แน่.
เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย “กองกำลังเคลื่อนที่เร็วหนึ่งพันคน ขอเพียงฝีกฝนได้อย่างเพียงพอ ต่อให้เจอกับทัพหนึ่งหมื่นคนก็ไม่มีปัญหา.”
“แล้วหากเพิ่มอุปกรณ์ชั้นยอดเข้าไปด้วยล่ะ?”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
เสวี๋ยเหรินกุยเอ่ย “เช่นนั้นจะยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก!”
“เปิ่นจั้วจะเรียกศิษย์ทั้งหมดมาให้เจ้าเลือกเพิ่ม 500 คน.”
จุนซ่างเซียวกล่าวเพิ่ม “ทว่า เวลามีจำกัด เพียงแค่หนึ่งเดือน เจ้าจะสามารถฝึกฝนพวกเขาให้พร้อมได้หรือไม่?”
เสวี๋ยเหรินกุยที่กล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ “ศิษย์ที่ฝึกฝนร่างกายได้แข็งแกร่ง มีรากฐานที่ดีอยู่แล้ว เวลานี้เพียงแค่ฝึกฝนการเคลื่อนทัพและจัดขบวน อย่าว่าแต่หนึ่งเดือนเลย เพียงแค่ครึ่งเดือนก็พอแล้ว!”