บทที่ 14: นักปรุงยาสัญญาพิเศษ
บทที่ 14: นักปรุงยาสัญญาพิเศษ
ยอดเขาวิญญาณตอนบน ศาลายาวิญญาณ
หลังจากจบชั้นเรียน ซูฟ่านก็มายังศาลายาวิญญาณโดยทันที
“ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่? เรามียาขจัดเมล็ด ยาเสริมวิญญาณ ยาชะล้างจิตใจ ยาแก้พิษและยาเสริมกายาที่เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตฝึกปะ…”
“ยาขจัดเมล็ดขั้นกลางมีราคาเท่าไหร่?” ซูฟ่านถาม นี่คือประเด็นหลักที่เขามาที่นี่
“เรียนนายท่าน หนึ่งขวดมีมูลค่า 20 หินวิญญาณ” พนักงานที่ศาลายาวิญญาณตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“เมื่อเร็วๆ นี้ข้าได้หลอมยาขจัดเมล็ดขั้นกลางขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ดังนั้นข้าเลยสงสัยว่าพวกเจ้ารับซื้อยาเหล่านี้ด้วยหรือไม่” ซูฟ่านกล่าว
“แน่นอน เรารับซื้อพวกมันด้วย โปรดตามข้ามา”
พนักงานที่ดูกระตือรือร้นอยู่แล้วให้ความเคารพเขามากขึ้น เขางอเอวเพื่อเชื้อเชิญซูฟ่านไปที่ห้องวีไอพี หลังจากเสิร์ฟชาแล้วเขาก็ออกจากห้องไป
ในเวลาไม่นาน ชายวัยกลางคนที่มีหน้าตาธรรมดาก็เข้ามาในห้องวีไอพี
“ไม่ทราบว่าท่านคือผู้ที่ต้องการจะขายยาขจัดเมล็ดใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนถามทันทีที่เขาเข้ามา ใบหน้าของเขาแสดงรอยยิ้มจางๆ ที่ดูค่อนข้างสุภาพออกมา
“ใช่”
ซูฟานไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหยิบขวดหยกห้าขวดออกมาโดยตรงแล้ววางลงบนโต๊ะเพื่อให้ชายวัยกลางคนตรวจสอบ
“อืม กลิ่นยาหอมเข้มข้น และแสงวิญญาณก็ส่องประกายชัดเจน ยาเหล่านี้เป็นยาขจัดเมล็ดขั้นกลางไม่ผิดแน่นอน”
ชายวัยกลางคนประเมินคุณภาพยาเสร็จในทันที
“ศาลายาวิญญาณของท่านยินดีจะจ่ายมันในราคาเท่าไหร่?” ซูฟ่านถาม
“อย่าเพิ่งรีบคุยเรื่องราคาเลย ข้าขอถามก่อนได้ไหมว่าท่านคิดยังไงกับศาลายาวิญญาณของเรา” ชายวัยกลางคนถามและมองดูขวดยาทั้งห้าขวดด้วยแววตาเป็นประกาย
ข้าต้องคิดยังไงด้วยหรอ? ก็แค่ซื้อมันไปให้จบๆ ไม่ได้รึไง? ซูฟ่านบ่นในใจ
“ที่นี่ก็ขายยาเยอะดี” ซูฟ่านตอบกลับด้วยสีหน้าเฉยเมย ข้าไม่เคยออกจากนิกายเลยตั้งแต่เริ่มฝึกตนมา ดังนั้นข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าที่นี่มันดีกว่าหรือกากกว่าที่อื่น?
ชายวัยกลางคน “……”
“ถ้าอย่างนี้ ท่านสนใจที่จะมาเป็นนักปรุงยาสัญญาพิเศษของศาลายาวิญญาณของเราหรือไม่?”
“เราไม่มีข้อจำกัด และท่านก็สามารถรับงานปรุงยาจากศาลายาวิญญาณของเราได้ตามใจชอบ” ชายวัยกลางคนกล่าวโดยตรง
“แล้วข้าจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้?” ซูฟ่านถามคำถามหลักโดยตรง
“หลังจากลงนามในสัญญาแล้ว ศาลายาวิญญาณของเราจะเสนอส่วนลด 20% สำหรับส่วนผสมในการหลอมยา” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม การดึงดูดนักปรุงยาสัญญาพิเศษให้มาเข้าร่วมกับศาลายาวิญญาณนั้นจะทำให้เขาได้รับรางวัลมากมาย และมันก็ยังเป็นส่วนสำคัญสำหรับการเลื่อนตำแหน่งในอนาคตในฐานะหัวหน้างานด้วย
“แล้วราคารับซื้อล่ะ?”
“สูงกว่าเดิมครึ่งตัว”
“ยังมีผลประโยชน์อื่นๆ อีกไหม?” ซูฟ่านยังคงถามต่อไป
“การเข้าถึงยาและสูตรยาหายากที่หาไม่ได้ในที่อื่น” ชายวัยกลางคนยังคงกล่าวตอบด้วยความอดทน
“เอาล่ะ ข้าสามารถเป็นนักปรุงยาสัญญาพิเศษให้ศาลายาวิญญาณของท่านได้ แต่ข้ามีคำขอหนึ่ง นั่นคือท่านจะต้องเก็บรักษาตัวตนของข้าไว้เป็นความลับ” ซูฟ่านคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริม ประเด็นนี้สำคัญมาก และเขาก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาโดยใช้วิชาปลอมตัวก่อนที่จะมาที่ศาลายาวิญญาณ
“แน่นอน นักปรุงยาสัญญาพิเศษของเราทุกคนที่นี่ล้วนมีนามแฝงและจุดยืนเป็นของตัวเอง” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจ นักปรุงยาหลายๆ คนไม่ชอบที่จะโอ้อวดตัวตน ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว
เมื่อมาถึงจุดนี้ พนักงานก่อนหน้านี้ก็เข้ามาพร้อมกับถาดที่มีสิ่งประดิษฐ์ที่มีลักษณะคล้ายกระจกซึ่งมีขนาดประมาณโทรศัพท์มือถือ
“สิ่งประดิษฐ์นี้สามารถใช้เพื่อรับงานเล่นปรุงยาได้ และมันก็ยังสามารถใช้สั่งซื้อส่วนผสมได้ด้วย” เขากล่าว
ซูฟ่านรับสิ่งประดิษฐ์มาและเทพลังปราณเข้าไปข้างใน ในไม่ช้าตัวเลือกมากมายก็ปรากฏขึ้นบนกระจก: การรับงาน การสื่อสารและอื่นๆ โดยมีมุมเล็กๆ บนกระจกระบุระดับอำนาจของผู้ใช้เอาไว้
เมื่อดูสิ่งที่แสดงอยู่ในสิ่งประดิษฐ์นั้น ซูฟ่านก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับโลกใบนี้
“เมื่อท่านหยดเลือดลงไปเพื่อลงทะเบียนเสร็จแล้ว ท่านก็สามารถเริ่มรับภารกิจได้เลยทันที”
ในท้ายที่สุด ยาขจัดเมล็ดขั้นกลาง 5 ขวดก็ถูกขายไปในราคา 75 หินวิญญาณ ซึ่งต่ำกว่าที่ซูฟ่านคาดการณ์เอาไว้มาก
หลังจากพูดคุยกับชายวัยกลางคนแล้ว ซูฟ่านก็ซื้อสูตรยาที่ใช้กันทั่วไปสองสามสูตรและซื้อส่วนผสมสำหรับยาเหล่านั้นเลยทันที
“ยาแบบเดียวกัน แต่สามารถมีวิธีการหลอมที่แตกต่างกันได้อย่างงั้นหรอ?” ซูฟ่านกล่าวอย่างงุนงงในขณะที่เขาดูสูตรยาในมือ
สูตรยาพื้นฐานที่ศาลายาวิญญาณให้มาฟรีนั้นหนึ่งในนั้นคือสูตรยาขจัดเมล็ด
“ข้าสงสัยจังว่าเมื่อสร้างออกมาแล้วมันจะแตกต่างกันหรือไม่”
ขณะที่ซูฟ่านกำลังจะเริ่มต้นการปรุงยา ค่ายกลเฝ้าระวังก็ส่งเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น
หลังจากเปิดค่ายกลแล้ว หวังยู่หลุนที่ดูทรุดโทรมราวกับคนป่าก็เดินเข้ามา
“เจ้าหลงป่ามารึไง?” ซูฟ่านถามด้วยความสับสน
“ข้าไปล่าสัตว์อสูรในป่าขอบสวรรค์และเพิ่งกลับมาวันนี้ ข้าฆ่าสัตว์อสูรตัวที่แปดลงได้แล้ว”
“แต่สัตว์อสูรสองตัวสุดท้ายนั้นยากเกินไป ดังนั้นข้าจึงถอยกลับมาพักผ่อนก่อน” หวังยู่หลุนกล่าว เมื่อเวลาผ่านไป หวังยู่หลุนซึ่งค่อยๆ ละทิ้งการป้องกันลงก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น
“ดูเหมือนว่าในเดือนที่ผ่านมาเจ้าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อยเลยสินะ” ซูฟ่านแสดงความคิดเห็นในขณะที่เขาสแกนร่างกายของหวังยู่หลุน
“อืม เดือนที่ผ่านมาข้าอยู่บนขอบเหวแห่งความเป็นและความตายมานับครั้งไม่ถ้วน และหลายครั้งข้าก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ”
“ข้าเห็นแล้ว แล้วอะไรพาเจ้ามาที่นี่ล่ะ?” ซูฟ่านถาม
“ข้ามาพบพี่ซูเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับสัตว์อสูรสองตัวสุดท้าย”
เมื่อการป้องกันของเขาลดลง หวังยู่หลุนก็หาเก้าอี้และเริ่มนั่งเลียนแบบซูฟ่าน
“เจ้าพบพวกมันแล้วหรอ?” ซูฟ่านถาม
“แน่นอน ข้าเคยพบและเคยต่อสู้กับพวกมันมาแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะวิชาที่พี่ซูสอนมา ข้าก็คงได้ไปสวรรค์นานแล้ว” หวังยู่หลุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม แต่เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณ หากไม่มีซูฟ่าน เขาก็อาจจะไม่สามารถฆ่าสัตว์อสูรขอบเขตฝึกปราณขั้นเจ็ดลงได้
“เอาล่ะ งั้นก็บอกข้ามาเกี่ยวกับลักษณะของสัตว์อสูรทั้งสองนั่น”
ซูฟ่านโบกมือ และโต๊ะน้ำชาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา จากนั้นเขาก็หยิบชุดน้ำชาและเริ่มรินชา
“หนึ่งในนั้นคือสัตว์อสูรกินดินที่มีการป้องกันพิเศษและมีความสามารถในการขุดลึกลงไปในดิน เมื่อมันสัมผัสได้ถึงอันตรายต่อชีวิต มันก็จะขุดลงไปในดินโดยทันที”
“ถ้าเราไม่สามารถทำลายการป้องกันและฆ่ามันลงได้ในทันที มันก็จะรีบมุดหนีลงไปในดิน” หวังยู่หลุนกล่าวพร้อมลูบหัวด้วยความหงุดหงิด
“อีกตัวหนึ่งเรียกว่าแมวลมโลหิต แมวเปรตนี่เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าแทบจะมองตามมันไม่ทันด้วยซ้ำในตอนที่มันพุ่งเข้ามาสักยันต์ห้าแถวให้ข้า”
“ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งประดิษฐ์ป้องกันพิเศษที่ข้าเตรียมไว้ ข้าก็คงไม่ได้มาพบพี่ซูในตอนนี้” หวังยู่หลุนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น เขาคิดมาตลอดว่าถ้าเขาเป็นซูฟ่าน เขาจะจัดการกับสัตว์อสูรสองตัวนี้อย่างไร
“พี่ซู ท่านจะจัดการกับสัตว์อสูรทั้งสองตัวนี้ยังไง?” หวังยู่หลุนขอคำแนะนำ
“ข้าจะไม่เผชิญหน้ากับพวกมันอย่างตรงไปตรงมาแม้ว่าข้าจะเจอพวกมันแล้วก็ตาม…”
ซูฟ่านหัวเราะขณะพูดว่า “ตามคำอธิบายของเจ้า และด้วยความสามารถในการต่อสู้ของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะทุ่มสุดตัวกระโดดพุ่งเข้าไประเบิดพลีชีพจนตัวตาย แต่เจ้าก็จะไม่สามารถจัดการกับสัตว์อสูรทั้งสองตัวนี้ได้อยู่ดี”
“บางครั้ง ชัยชนะก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับระดับการฝึกตนหรือความแข็งแกร่งของเจ้า”
“ถ้าใช้ความรุนแรงไม่ได้ผล เจ้าก็ต้องหัดใช้สมอง”
ขณะที่ซูฟ่านพูด เขาก็ชี้ไปที่หน้าผากของตัวเอง