ตอนที่ 37 คุณชายเสิ่น
ป่าละเมาะของมหาวิทยาลัยเทียนเวย พูดตรงๆ ก็คือ สวนสาธารณะในมหาลัยเป็นสถานที่ให้สำหรับนักศึกษาได้พักผ่อน และผ่อนคลาย
ในตอนเย็น ซูเหวิน ได้นัดพบกับ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย และบอกว่าเขาได้ซื้อของมาเพื่อจะมอบให้เธอ..
หลังจากเลิกเรียนเขาจึงรีบกลับเข้าหอพักทันที พร้อมกับหยิบของขวัญที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี้ออกมา
จากนั้นเขาก็ออกจากหอพัก และเดินตรงไปที่ทางป่าละเมาะทันที
ของขวัญชิ้นนี้เขาได้มาเมื่อครั้งเขาเดินผ่านร้านค้าหลังจากกลับมาจากโรงน้ำชาเมื่อวานนี้
นอกจากนี้ของขวัญชิ้นนี้ยังเป็นของที่ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ไม่มี ดังนั้นการให้ของชิ้นนี้กับเธอจึงดูเหมาะสมมาก
ที่สำคัญก็คือ.. เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะชอบมันหรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็ขอให้เธอได้รับมัน..
ขณะที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางในมหาลัย
บ่อยครั้งที่สายตาของเพื่อนร่วมชั้นจะรวมตัวกันที่เขาเป็นจุดเดียว อย่างควบคุมไม่ได้
ไม่มีทาง ตอนนี้เขาเป็นจุดสนใจของผู้คนในมหาลัยแล้ว
ตอนแรก ดอกไม้งาม เซี่ย ส่งชานมให้กับเขาทุกวัน
จากนั้นพอเขาจัดการดูแล คุณชายหลี่ แล้วส่ง ฟาง ซินอี๋ ไปยังสถานีตํารวจ
เมื่อรวมความสำเร็จอันยอดเยี่ยมเหล่านี้มันจึงทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ได้รับความชื่นชมอย่างรวดเร็วจากทุกคน ซึ่งต่างไปจากคนที่ไม่มีคุณค่าที่เป็นที่ชื่นชอบของ ดอกไม้งาม เซี่ย จากในก่อนหน้านี้
ในช่วงเวลาหนึ่ง ชื่อเสียง และความโดดเด่นของเขาก็แทบจะบดบังชายหนุ่มผู้มั่งคั่งร่ำรวยทั้งสี่คนไปเลยด้วยซ้ำ
และวันนี้เมื่อเขามาที่ป่าละเมาะเล็กๆ เพื่อพบกับดอกไม้งาม เซี่ย ทุกคนย่อมสังเกตเห็นไปอย่าง ..หลีกเลี่ยงไม่ได้
“อา.. นี่ของขวัญสำหรับคุณนะ ผมเองก็ไม่รู้ว่าคุณจะชอบมันหรือไม่”
เมื่อ ซูเหวิน เดินตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขาก็ได้เห็น เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ซึ่งกําลังนั่งอยู่บนสนามหญ้า จึงรีบเดินเข้าไปข้างหน้า และยื่นกล่องใบใหญ่ไปให้กับอีกฝ่าย
“นี่คืออะไร?”
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ที่เห็นตกตะลึงไปก่อนจะมองกล่องที่ ซูเหวิน ส่งมาให้ แล้วพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจออกไปในเวลาเดียวกัน
กล่องนี้ดูมีความสวยงามเป็นพิเศษ ด้วยลวดลายนาฬิกาที่ละเอียดอ่อนนี้.. ที่อยู่บนกล่อง
“อืมม... นาฬิกา?” เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแล้ว
“อือ.. ลองเปิดดูสิ”
ซูเหวิน ยิ้มแต่กลับไม่พูดออกไปตรงๆ
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย เม้มริมฝีปากของเธอ
โอเค! เธอพูดขณะรับกล่องมาแล้วมองเข้าไปด้านใน
เธอพบว่าภายในกล่องยังมีกล่องสีแดงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กๆ
จากนั้นเธอเอื้อมมือออกไปเปิดโดยไม่ลังเล และพอเปิดออกมา
ทันใดนั้น นาฬิกาสีขาวที่สวยงามมาก และดูเล็กกะทัดรัดอย่างยิ่งก็ปรากฏสู่สายตาเธอ ดึงดูดความสนใจของ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ทันที
นาฬิกาเรือนนี้สวยงามมากๆ
หน้าปัดของมันถูกออกแบบมาอย่างประณีต สายนาฬิกาที่เพรียวบางเรียบหรู ซึ่งดูดีมาก.. และทั้งหมดก็ล้วนเผยให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
“มันดูดีมาก..” เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย อดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน
พูดตามตรง ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับนาฬิกามากนัก
และไม่ได้พูดถึงเรื่องว่า ชอบ หรือไม่ชอบ
แต่นาฬิกาเรือนนี้กลับทําให้เธอ ..มีความรู้ ความเข้าใจใหม่ และเธอก็กลับตกหลุมรักมันตั้งแต่แรกเห็น
เพียงแต่ว่า เมื่อเธอไปบังเอิญเห็นอักษรอีกด้านหนึ่งของกล่องใบใหญ่นั้นที่ถูกเขียนคําว่า “Patek Philippe” อยู่ 4 คําใหญ่ๆ (百达翡丽)
สีหน้าของเธอก็ตกใจ และทันทีเธอก็ไม่สามารถคงความสงบเอาไว้ได้อีกต่อไป
“นี่... นี่คือของ Patek Philippe?”
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย รู้สึกงุนงง สับสนเล็กน้อย
เพราะไม่เคยซื้อนาฬิกา ดังนั้น เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย จึงไม่ค่อยรู้เรื่องรูปแบบ และเครื่องหมายการค้าของนาฬิกามากนัก
แต่ชื่อ Patek Philippe เธอก็ยังรู้จักอยู่บ้าง..
Patek Philippe แบรนด์ดังระดับโลก
และสิ่งที่เป็นของแบรนด์นี้ ก็ไม่มีอะไรราคาถูกเลยจริงๆ
“นาฬิกาเรือนนี้แพงมากไหม?” เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย พูดถามทันที
“ไม่แพงมากนักหรอก ประมาณสามแสนกว่าๆ”
ซูเหวิน เกาหัว แล้วพูดออกไปตามความจริง
“สามแสนกว่าๆ...หยวน?”
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง และสงสัยว่าหูของตัวเองได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า
เธอมองไปที่ เพื่อนร่วมชั้น ซู อย่างไม่อยากจะเชื่อ และเธอพูดด้วยสีหน้าตกตะลึงไปว่า : “ทําไมคุณถึงซื้อของมีค่าขนาดนี้มาให้ฉันด้วย?”
“ไม่..ไม่มีอะไร คุณช่วยผมไว้มาก นาฬิกาเรือนนี้ก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณคุณ..จากผม”
ซูเหวิน พูดอย่างเฉยเมย และไม่ได้รู้สึกว่านาฬิกาเรือนนี้มีค่าขนาดนั้น
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เพื่อนร่วมชั้น ซู ฉันเข้าใจเจตนาดีของคุณแล้ว แต่สิ่งนี้มันมีค่ามากเกินไป ฉันรับมันเอาไว้ไม่ได้หรอกนะ”
เซี่ย ซินเหยา รีบโบกมือไปมาอย่างรวดเร็ว ทําท่าจะเก็บของ และส่งคืนให้อีกฝ่าย
ถ้านาฬิกาเรือนนี้แค่หลักสิบ(หลักร้อย) หรือหลักหลายร้อย(หลายพัน) ก็พูดได้ว่าไม่เป็นไร
เพราะหากเลวร้ายที่สุดเธอยังสามารถหาโอกาสซื้อของขวัญ และมอบคืนให้อีกฝ่ายได้
แต่ของสิ่งนี้ที่มีราคานับแสน เรื่องนี้ก็เริ่มทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นแล้ว…
“คุณเก็บไว้เถอะ คุณช่วยผมมาหลายอย่างแล้ว ดังนั้นการที่ผมมอบของขวัญให้คุณมันก็เหมาะสมแล้วจริงมั้ย?”
ซูเหวิน ได้เอื้อมมือไปห้ามปรามเพื่อหยุดอีกฝ่ายทันที
ท้ายที่สุดแล้ว เนื่องจากความช่วยเหลือของ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย เขาเองแทบจะไม่รู้ว่าได้รับผลประโยชน์มามากมายเท่าไหร่จากระบบ
นอกจากนี้ เมื่อสองวันก่อน เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ยังได้สัญญากับเขาว่าเธอยินดีที่จะเป็นคู่ควงของเขา เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงของ บริษัท เทคโนโลยี ฮุยหวง
เช่นนี้.. คุณว่าการซื้อนาฬิกาเรือนหนึ่งราคา 3 แสนกว่าๆ หยวนให้เป็นของขวัญแก่อีกฝ่าย ก็ถือได้ว่าไม่แพงแล้วจริงๆ ถูกไหม?
เมื่อเห็น เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ยังคงปฏิเสธ ซูเหวิน จึงพูดต่อ : “ไม่ใช่ว่าเราต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอีกสองวันหรือไง?”
“ถึงอย่างไรผมก็ชวนคุณ และนาฬิกาเรือนนี้ คุณเองถือว่าเป็นเครื่องประดับที่ผมซื้อให้กับคู่ควงของผม..”
“อีกอย่างถ้าคุณไม่ต้องการจริงๆ ค่อยคืนให้กับผมหลังจากงานเลี้ยงจบก็ได้นะ!”
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย : “......”
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย กล่าวว่า : “โอเค ถ้าอย่างนั้น ฉันจะคืนนาฬิกาให้คุณหลังจากงานเลี้ยงจบลง”
เมื่อเห็น ซูเหวิน พูดแบบนี้แล้ว เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ก็เข้าใจ และเห็นด้วย ดังนั้นเธอเลยบอกตกลง และตัดสินใจรับของมาชั่วคราวไปก่อน
ในเวลานี้ ซูเหวิน และเซี่ย ซินเหยา เกรงว่าอาจจะยังไม่รู้..
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาถูกเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ..เห็นมานานแล้ว
“เฮ้.. พวกคุณดูนั่นสิ ซูเหวิน กับดอกไม้งาม เซี่ย กําลังทําอะไรอยู่นะ”
“เพื่อนร่วมชั้น ซู ดูเหมือนจะให้อะไรแก่ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย และดูเหมือนจะเป็นนาฬิกาเรือนหนึ่งด้วย”
“เชี้ย.. ให้ตายเหอะ เพื่อนร่วมชั้น ซู เริ่มให้ของขวัญแก่ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย แล้ว และนี่หรือว่ามันคือการ.. ประกาศความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างโจ่งแจ้งหรือเปล่า?”
“ไอ้บ้าเอ๊ยยย.. อย่าทําแบบนี้ได้ไหม ฉันแมร่งรู้สึกอิจฉาแทบตายแล้ว!”
ข้างๆ ถัดจากป่าละเมาะในสวนสาธารณะ นักศึกษาจำนวนมากเองก็มาพักผ่อนที่นี่ด้วยเช่นกัน
พวกเขาจึงพากันมองดู ซูเหวิน และดอกไม้งาม เซี่ย และแอบคุยกันอย่างลับๆ
และในขณะที่ทุกคนกําลังคุยกันอยู่นั้น
ทันใดนั้น ก็มีคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาที่ป่าละเมาะตรงจุดนั้น เป้าหมายคือทิศทางที่ ซูเหวิน อยู่
“จุ๊จุ๊ๆ ดูเหมือนว่า คุณชายลู่.. จะไม่ได้โกหก เขาบอกว่า เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย อยู่ในป่าตรงนี้ และคุณก็มาอยู่ที่นี่จริงๆ”
คนที่พูด.. เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด
เขาแต่งตัวหรูหรา และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างมาก
ดวงตาหางหงส์คู่หนึ่งนั้น ยิ่งเพิ่มความรู้สึกถึงความเป็นอิสระ และความเย่อหยิ่ง..
“คุณชายเสิ่น คุณมาทำอะไรที่นี่?”
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ที่เห็นผู้มาเยือน ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ผู้ที่มามีชื่อว่า เสิ่นลี่ หนึ่งในสี่ชายหนุ่มผู้มั่งคั่งร่ำรวยของมหาวิทยาลัยเทียนเวย และก็เป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามไล่ตามเธอในอดีต..
ในแง่ของชื่อเสียง ตัวเขาเองไม่ได้ดีไปกว่า คุณชายหลี่ และคนอื่นๆ มากนัก
“ว่าไง.. เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย การที่คุณทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
“วิทยาเขตเป็นที่สาธารณะ คุณสามารถมาที่สวนแห่งนี้ได้ แต่ฉันมาไม่ได้?”
เสิ่นลี่ ยิ้มไปพร้อมกับหัวเราะเบาๆ และดูไม่ใส่ใจกับคำพูดอีกฝ่ายหนึ่ง
ขณะพูดพลางก็หันไปมอง ซูเหวิน แล้วยิ้มก่อนจะพูดไปว่า : “สวัสดี ผมคิดว่าคุณคง คือ ซูเหวิน ใช่ไหม?”
“ช่วงนี้ที่มหาลัย ผมเองก็ได้ยินชื่อของคุณทุกวัน และก็.. ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
พูดพลางก็ยื่นมือออกไปเพื่อแสดงความเป็นมิตรอย่างไม่คาดคิด
“ชมเกินไปแล้ว ผมเองก็ได้ยินชื่อของคุณมาบ่อยครั้งเช่นกัน”
เมื่อเผชิญหน้ากับการแสดงความเป็นมิตรโดยเจตนาของอีกฝ่าย ซูเหวิน ก็กลับยิ้มรับ และพูดออกไปเช่นกัน
เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างจากอีกฝ่ายคือ ..เขาไม่ได้เอื้อมมือไปจับมือกับอีกฝ่าย และก็เพราะดูเหมือนเขาเองไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปให้หน้าอีกฝ่ายด้วย
นั่นเป็นเพราะลางสังหรณ์บอกเขาว่าคนคนนี้ ..ไม่ได้มาดี ดังนั้นมันจึงไม่จําเป็นที่ต้องแสดงทัศนคติที่ดีเยี่ยมอะไรขนาดนั้นออกไป
“ไอ้สึสนี่แมร่ง ไม่คิดไว้หน้ากันเลยนี่หว่า?”
“พี่เสิ่นจับมือกับแก แต่สึสแก…”
ในเวลานี้ ลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลัง คุณชายเสิ่น ที่เห็นว่า ซูเหวิน ไม่สนใจตอบรับการแสดงความเป็นมิตรของ คุณชายเสิ่น ก็พาแสดงความไม่พอใจทันที
แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดจบก็ถูก คุณชายเสิ่น ขัดจังหวะ
“เฮ้ย! ลืมมันซะ..”
“ถึงยังไงเราทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันจะเก็บมาใส่ใจทำไม?”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ ซูเหวิน ยิ้มแล้วพูดต่อ : “แต่ขอพูดอีกครั้ง มีประโยคหนึ่งที่พูดได้ดีจริงๆ ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น..” (1)
“ในบางครั้ง.. การแสดงออกมาเกินไปอาจจะไม่ใช่เรื่องดี การเป็นคนตรงไปตรงมา และทำตามบทที่ถูกต้องอย่างเรียบง่าย นั้นถือว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง”
“และอะไรที่ไม่ควรปีนก็อย่าได้ปีนขึ้นไป อะไรที่ไม่ควรคิดก็อย่าได้คิด ไม่งั้นมันจะเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นได้โดยง่ายๆ ถึงตอนนั้น แม้จะอยากเสียใจ.. มันก็ดูสายเกินไปแล้ว”
“เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย และคุณล่ะ.. คุณเองคิดอย่างนั้นด้วยหรือไม่?”
เสิ่นลี่ พูดมันออกมาอย่างช้าๆ ด้วยรอยยิ้มไปพร้อมกับน้ำเสียงอันราบเรียบ และดูราวกับมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ในคําพูดของเขา
(1)[ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น (木秀于林,风必摧之)] - ต้นไม้สูงในป่ามักถูกลมแรงพัดก่อนเสมอ เป็นคำเปรียบเทียบคนที่มีพรสวรรค์ หรือคนที่มีความประพฤติโดดเด่น จนเป็นที่อิจฉา และวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นได้ง่าย กล่าวคือ ..หากออกตัวเด่น มีแต่จะตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น ซ่อนเร้นความสามารถถึงจะเป็นทางเลือกที่ดี