ตอนที่ 36 อยากไป มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ท่านพ่อ ตระกูลจาง ของเราก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรังแก(กดขี่) ทำไมเราจึงต้องกดข่มอารมณ์ของตัวเองเพื่อผู้อื่น และยอมลบล้าง(ทำลาย)ศักดิ์ศรีของตัวเราเองด้วย”
จาง เทียนห่าว กล่าวด้วยสีหน้ามุ่งมั่น โดยไม่ยอมแพ้
“แกมันไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไง.. ตระกูลเซี่ย มีใครบ้างไม่รู้จัก? และแกมันคิดหรือว่าเรา ตระกูลจาง เป็นจักรพรรดิผู้อยู่ยงคงกระพันเหนือโลกหล้า!?”
“อีกอย่าง ฉันบอกกับแกกี่ครั้งแล้วว่าหยุดก่อเรื่องข้างนอกนั่นซะที! เล่าจื๊อ เหนื่อย และไม่อยากตามเช็ดตูดแกทุกวันแล้ว”
ปอดของ จาง เย่าฮุย แทบจะระเบิดแล้วด้วยความโกรธ
คุณสามารถเป็นคนโหดเหี้ยม เย่อหยิ่ง และครอบงำผู้อื่นได้ แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับบางสิ่งบางอย่างด้วย ถูกต้องไหม?
อธิบายจากประโยคด้านบน ‘[做人可以狠,但也要看什么事吧?] มันจะออกไปแนวปรัชญา : การเป็นคนที่มีความเข้าใจ และมองเห็นภาพรวมโดยสำคัญ เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องเลือกเป็นคนแข็งแกร่งกับสถานการณ์บางอย่าง แต่ก็อย่าได้ลืมที่จะใส่ใจ และมีความเมตตาต่อผู้อื่นด้วย’
เวลาควรโหดก็โหดได้ แต่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไร้ความหมายพวกนี้ การทำตัวแข็งแกร่ง หรือโหดเหี้ยม มันจะไปมีความหมายอะไร?
เขารู้สึกมาตลอดว่าในไม่ช้าก็เร็ว ตระกูลจาง อาจจะต้องล่มสลายจากไอ้ลูกเต่าบัดซบตัวนี้
“ฉันจะบอกแกเป็นครั้งสุดท้ายตอนนี้ และเดี๋ยวนี้ทันทีว่า.. แกจงรีบกล่าวขอโทษ ประธานเซี่ย แล้วออกจากโรงน้ำชาทันทีซะ มิฉะนั้นวันนี้แกไม่ต้องกลับมาบ้าน!”
จาง เย่าฮุย พูดต่อ จากนั้นเขาก็วางสายไปด้วยความโกรธ
จาง เทียนห่าว ตกตะลึงกับการถูกดุด่า เขาตกใจกับมันไปอยู่หลายวินาทีกว่าจะกลับมาตอบสนองได้
ท่านพ่อ ..หมายความว่าไง นี่คือปล่อยให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเองเหรอ?
เพื่อนของเขาถูกทุบตี ตนเองถูกไล่ออกจากโรงน้ำชา.. ซึ่งตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับทุกคน, ยิ่งมาตอนนี้ ท่านพ่อ กลับขอให้เขาขอโทษอีกฝ่าย?
“คุณชายจาง คุณพาคนมาเหยียบโรงน้ำชาของฉัน เพื่อแก้แค้นฉัน..ไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ทําไมถึงไม่ส่งเสียงสักแอะเลยล่ะ?”
ท้ายที่สุด ซูเหวิน ก็พูดออกมาอีกครั้ง ด้วยคำพูดประชดประชันอีกฝ่าย
เขามองออกอยู่แล้วว่า ตระกูลจาง และลุงจิ่ว คนนี้ หวาดกลัวต่อ เซี่ย เฉิงตง ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มที่จะทำตัวเรียบร้อยขึ้นมา
และตัวเขาเวลานี้.. กลับต้องการดูว่า หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว และลุงจิ่ว คนนี้ คุณชายจาง คนนี้จะสร้างคลื่นลมอะไรได้
เมื่อเผชิญกับการยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งของอีกฝ่าย ใบหน้าของ จาง เทียนห่าว ก็ยิ่งมืดมนมากขึ้น แต่เขาก็ไม่สามารถโต้แย้ง หรือปฏิเสธได้เลย..
นั่นเพราะเขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถแก้แค้นเรื่องในวันนี้ ..ได้แล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่พ่อของเขาก็พูดแล้วว่าไม่อนุญาตให้เขาทําอะไรบุ่มบ่ามอีก
เขาจึงทำได้แต่อดทนกับมันชั่วคราว และมองหาโอกาสอีกครั้ง
“ฮึ่ม! อย่าชะล่าใจไป อีกไม่นาน ฉันจะมาหาพวกแกอีกครั้ง!”
เมื่อพูดไปอย่างนั้น จาง เทียนห่าว ก็มอง ซูเหวิน ด้วยความไม่พอใจ แล้วจากนั้นก็หันหลัง เดินจากไปทันที และเตรียมที่จะออกจากโรงน้ำชาแห่งนี้ไปพร้อมกับ จินจิ่ว
แต่ในเวลานี้เอง
ซูเหวิน หยุดฝีเท้าของเขาไว้ด้วยเสียงตะโกนที่แสนจะเย็นชา
“อยากไป?”
“คุณกล้าลงมือในโรงน้ำชาของฉัน ทุบเก้าอี้ฉันไปเยอะขนาดนั้น การปล่อยคุณไปแบบนี้ ไม่คิดว่ามันง่ายไปหน่อยหรือ?”
ซูเหวิน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอย่างมาก
น้ำเสียงเย็นนี้.. ดูเหมือนจะทำให้อากาศหนาขึ้นมาหลายส่วน
“แมร่งง มรึง…เชี้ยอะไรวะ…?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ จาง เทียนห่าว พบคนที่เอาเปรียบคนอื่นมามากเช่นนี้ และเขาก็แทบจะสติหลุดในทันทีด้วยความโกรธ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เขาเพิ่งจะหันกลับมา ซูเหวิน ก็มาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเขาแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้.. และแปลงร่างอวตารเป็น One Punch Man ต่อยหน้าเขาทันที (หมัดเอาจริง~ เปรี้ยงง!)
“อร๊ากก~”
ทันใดนั้น จาง เทียนห่าว ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงบนใบหน้า
ไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเขาที่ดังขึ้น และทั้งตัวเขาก็รู้สึกเหมือนถูกแรงกระแทกอันมหาศาลทำให้ทั้งตัวลอยลิ่วอย่างกับถูกขว้างออกไป
“หมัดนี้ก็ถือว่าเป็นการใช้หนี้แล้วกัน..” ซูเหวิน ดึงหมัดกลับมาอย่างช้าๆ
“คุณ…”
จินจิ่ว ที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าไปหลังจากตอบสนอง
เขาไม่คิดเลยว่า ชายหนุ่ม ..คนนี้จะมาที่นี่ นี่คือไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ใช่ไหม!
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ประธานเซี่ย อยู่ตรงหน้าเขา และเขาเองก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวอื่นใด มิฉะนั้นมันจะเป็นการไม่ไว้หน้า ประธานเซี่ย
หลังจากมอง ซูเหวิน อย่างครุ่นคิด เขาก็รีบวิ่งไปด้านข้างของ คุณชายจาง แล้วดึงเขาขึ้นมา แล้วพาคนกลุ่มใหญ่ออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่าๆ เด็กดี ทําได้ดีมาก”
เมื่อเห็น คุณชายจาง และคนอื่นๆ จากไปหมดแล้ว เพื่อนคนนั้นของ เซี่ย เฉิงตง ก็อดจะหัวเราะเสียงดังไม่ได้ไปพร้อมกับกล่าวพูดชมทันที
เมื่อกี้เขาโกรธมากกับนิสัยป่าเถื่อนของ คุณชายจาง .. และถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะสร้างปัญหามากเกินไป กระดูกเก่า (คนสูงอายุ, 老骨) อย่างเขาเองก็อยากจะต่อยอีกฝ่ายสักหมัด…
“อา..ใช่ คุณชายคนนี้มักจะใช้อํานาจตนรังแกผู้อื่นแบบนี้เสมอ และคงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเจอกับความยากลำบาก และเรียนรู้ถึงประสบการณ์นี้บ้าง”
เซี่ย เฉิงตง พยักหน้าเช่นกัน
จากนั้นเขามองไปที่ ซูเหวิน แล้วพูดว่า : “พ่อหนุ่ม วันนี้น่าอายจริงๆ ทั้งหมดเป็นเพราะเราที่ทําให้คุณต้องประสบกับปัญหามากมายเช่นนี้”
“ไม่หรอกครับ มันเป็นเรื่องสมควรแล้ว พวกคุณมาที่ร้านผม ก็คือลูกค้าของผม เจอเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เถ้าแก่ อย่างผมก็ควรลุกขึ้นยืน”
ซูเหวิน ยิ้มแล้วเดินเข้ามา และกล่าวต่อ : “ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคือ พ่อ ของ เซี่ย ซินเหยา ใช่ไหมครับ? เมื่อกี้ทําเอาผมตกใจจริงๆ”
เมื่อได้ยินคําพูดนี้ เซี่ย เฉิงตง ก็ยิ้มพลางหัวเราะเสียงดังออกมา : “ดูเหมือนคุณจะรู้แล้ว ไม่เลว และใช่ ฉันเป็นพ่อของเธอ”
“เรื่องของคุณกับ เสี่ยวเหยา ที่มหาลัย ฉันเองรู้เรื่องแล้ว เป็นไงบ้าง ลูกของฉันคงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้คุณใช่ไหม?”
เมื่อเผชิญกับการสอบถาม เซี่ย เฉิงตง เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชอบ ซูเหวิน ชายหนุ่มคนนี้มาก
แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อก่อน พ่อคนนี้ยังคงจะรู้สึกไม่พอใจเพราะลูกสาวส่งชานมให้กับ ซูเหวิน ในทุกวัน!
“ประธานเซี่ย ล้อเล่นแล้ว เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ช่วยผมมามากมาย อีกทั้งผมยังรู้สึกขอบคุณเธอมาตลอด แล้วเธอจะทำให้ผมรู้สึกลำบากได้อย่างไรล่ะ จริงมั้ยครับ?”
ซูเหวิน ส่ายหัว และรีบพูด
“เหลาเซี่ย นี่มันเรื่องอะไรกัน? เด็กหนุ่มคนนี้รู้จักกับลูกสาวคุณได้ยังไง?”
เพื่อนของ เซี่ย เฉิงตง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“ฮ่าฮ่าๆ พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันนะ”
“โอ้ เช่นนั้น นี่มันก็บังเอิญจริงๆ…”
ด้วยเหตุนี้ ซูเหวิน จึงได้รู้จักกับพ่อของ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย แล้ว
และหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป ไม่ว่าจะทั้งในด้านอุปนิสัย หรือรูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่าย มันก็ได้ทำให้ เซี่ย เฉิงตง รู้สึกพอใจกับ ซูเหวิน ชายหนุ่มคนนี้อย่างมาก
ในขณะนี้ ซูเหวิน อาจจะยังไม่รู้ว่า เซี่ย เฉิงตง คนนี้ได้ถือว่าเขาเป็นลูกเขยในอนาคตแล้ว
หลายคนยังทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ และเพิ่มเพื่อนใน VX
เมื่อเขากลับถึงบ้านในคืนนั้น เซี่ย เฉิงตง ก็บอกเล่าเรื่องนี้ให้กับภรรยาของเขา และกล่าวยกย่อง ซูเหวิน เป็นอย่างดี
และการพบกับ ซูเหวิน ในครั้งนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ วันรุ่งขึ้น.. เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ที่กําลังเรียนอยู่ก็ได้รับโทรศัพท์จาก คุณแม่ ..ของเธอ
“คุณแม่ คุณแม่พูดว่าอะไรนะ?”
“ให้หนูชวน เพื่อนร่วมชั้น ซู มากินข้าวที่บ้านเรา?”
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย พูดด้วยความไม่อยากจะเชื่อ..
“อืมม.. พ่อลูกนะไปเจอกับเขาแล้ว แล้วดูตั้งแต่เมื่อคืนก็เอาแต่พูดชมเขามาตลอด!”
“และพ่อของลูกเองก็ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเขามาก และคิดว่าจะได้มาทำความรู้จักกันให้มากขึ้น”
เสียงที่นุ่มนวล และทั้งอ่อนโยนของ สวี่หยุน ดังมาจากปลายสาย
“อา...?”
“เดี๋ยวคะ ..พวกเขาเจอกันเมื่อไหร่?”
เซี่ย ซินเหยา รู้สึกสับสน ทําไมเธอไม่เคยได้ยินเพื่อนร่วมชั้นซู พูดถึงเลย?
หลังจากนั้น สวี่หยุน ที่อยู่ปลายสายก็พูดอธิบายรายละเอียด และที่มาของเรื่องนี้อีกครั้ง เมื่อ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็สามารถตอบคำถามในใจของเธอในเวลานี้ได้
“แต่แล้ว.. ฉันจะไปบอกเขาว่ายังไงดีล่ะ?”
เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย รู้สึกทำอะไรไม่ถูกแล้ว..
การพา เพื่อนร่วมชั้น ซู กลับไปหาพ่อแม่ที่บ้านตัวเอง มองยังไงมันก็ดูผิดแปลกเกินไปหน่อยจริงไหม?
“เป็นไรไป? ไม่ใช่ว่าพวกลูกเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันหรอกหรือ แล้วแบบนี้.. ทำไมถึงพาเพื่อนร่วมชั้นมาทานข้าวที่บ้านไม่ได้?”
“อีกอย่างพ่อของลูกก็ไม่ได้ขอให้ลูกพาเขามาทันทีสักหน่อย ยังไงเราก็แค่มองหาเวลาที่เหมาะสมก่อนค่อยว่ากัน”
พูดไป.. หลังจากนั้น ก่อนที่ เซี่ย ซินเหยา จะพูดขึ้นอีกครั้ง คุณแม่ของเธอก็ได้วางสายไปแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงปี๊บดังมาจากโทรศัพท์ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ก็มีสีหน้าสับสนทันที
คุณแม่บอกให้เธอพา เพื่อนร่วมชั้น ซู ไปบ้าน นี่ไม่ใช่ว่าฝันไปใช่ไหม?
และพอเมื่อคิดอะไรในใจบางอย่างขึ้นมา เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย ก็พลันมีสีหน้าจนใจ เธอดูราวกับหมดหนทางจริงๆ
เวลานี้เองเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เป็นข้อความ VX จาก ซูเหวิน ที่ขอนัดเธอให้ออกมาพบเจอกันที่ป่าละเมาะภายในมหาลัยอย่างน่าประหลาดใจ