ตอนที่ 35 ความตกใจของ ลุงจิ่ว
“ฮ่าฮ่าๆ ใครบางคนตอนนี้ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตาย” (1)
“ดี ดีมาก ฉันจะรอดูสิว่าพวกแกมันจะปากดีแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน”
จาง เทียนห่าว มองไปที่กลุ่มของ ซูเหวิน ด้วยรอยยิ้มเย็นชาอย่างเย้ยหยัน มันราวกับเขาได้มองเห็นอีกฝ่ายคุกเข่าลงตรงหน้า และร้องขอความเมตตาต่อหน้าเขาแล้ว
แต่ในเวลานี้ คําพูดของ ซูเหวิน กลับทําให้เขาไม่สามารถควบคุมความโกรธที่มันท่วมท้นในอกได้อีกต่อไป
“คุณชายจาง ใช่ไหม? ฉันไม่สนว่าคุณมันเป็นใคร แต่คุณต้องปฏิบัติตามกฎ หากเข้ามาในร้านของฉัน”
“ถ้าคุณเป็นแขก ฉันก็จะต้อนรับคุณอย่างอบอุ่น แต่ถ้าเป็นศัตรูก็อย่าได้โทษว่า ฉัน…ไม่เกรงใจ”
“แล้วคุณต้องการรอ ลุงจิ่ว คนนั้นไม่ใช่เหรอ งั้นก็รบกวนช่วยออกไปรอข้างนอก อย่าได้มาขวางการทําธุรกิจของคนอื่นที่นี่!”
น้ำเสียงของ ซูเหวิน สงบ และราบเรียบมาก แต่กลับแฝงความชันเจนอยู่ข้างในนั้น
“แก…”
จาง เทียนห่าว พูดไม่ออกครู่หนึ่ง และคำพูดอีกฝ่ายก็เกือบจะทำให้เขาโกรธแทบตายแล้วในเวลานี้
เขาที่แข็งแกร่งมาตลอด กลับรู้สึกถึงความก้าวร้าวได้เป็นครั้งแรก ..และมันหมายความว่าอย่างไร
“ไม่เข้าใจเหรอไง? ฉันบอกให้คุณออกไปทันที หรืออยากให้ฉันส่งคุณออกไป..”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังตกตะลึงอยู่ที่เดิม สีหน้าของ ซูเหวิน ก็เริ่มเย็นลง
เขายกเท้าขึ้น และก้าวเดินตรงเข้าไปหา จาง เทียนห่าว ทีละก้าว ดูเหมือนว่า.. มันจะไม่ใช่แค่การขู่ขวัญเท่านั้นแล้ว
“แก... แกคิดจะทําอะไร?”
เพื่อนของ คุณชายจาง เริ่มเป็นกังวล
“อะไร.. แกกล้าแตะต้องฉันงั้นเหรอ?”
“ฉันเป็นนายน้อยคนโตของ เฟยฉือ กรุ๊ป แกไม่กลัวการแก้แค้นหรือไง?”
จาง เทียนห่าว เองก็ตกตะลึงในใจ และตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“โอเค..ได้ ไปกันเถอะ”
“แกรอก่อนเถอะ เพราะไม่นานฉันจะทำให้แกมันได้ตระหนักถึงเรื่องนี้”
ในที่สุด จาง เทียนห่าว ก็ยอมประนีประนอมแล้ว
ไม่มีทาง สถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ดีสำหรับเขาจริงๆ
หลังจากมอง ซูเหวิน ที่มองมายังพวกเขาด้วยแววตาดุร้ายนั้น คุณชายจาง และเพื่อนก็รีบวิ่งออกจากชั้นห้า ภายใต้สายตาของทุกคน..
ส่วนคนที่นอนอยู่บนพื้น หลังจากฟังคําพูดของ ซูเหวิน พวกเขาก็ยังคงหวาดผวาจนตัวสั่น และความเป็นกังวลก็ได้สอดแทรกเข้ามา
พวกเขาทีละคนราวกับฉีดเลือดไก่ พยายามอดทนต่อความเจ็บปวด บ้างกลิ้งตัว บ้างรีบคลานออกไป
เมื่อมองดูแผ่นหลังของ คุณชายจาง และพรรคพวกของเขาที่รีบจากไปอย่างตื่นตระหนก ผู้จัดการ และบริกร ก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าตกตะลึง
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คุณชายจาง ที่หยิ่งผยอง และภาคภูมิใจในตนเองมาตลอด ..ก็มีวันที่น่าอึดอัด(น่าสังเวช)เช่นนี้ได้เช่นกัน
แต่แล้วจากนั้นพวกเขาก็มีความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง
กระทั่งช่วงเวลาหนึ่งนั้นก็เกิดมีความคิดที่ว่าจะลาออกจากงาน
คุณชายจาง คนนี้เป็นใคร นั่นคือ นายน้อยคนโตของกลุ่มนะ!
ตอนนี้ เพื่อนของ คุณชายจาง ถูกคนอื่นทุบตี แล้วพวกเขายังถูกไล่ออกจากโรงน้ำชา เช่นนี้.. พวกเขาสามารถกลืนความโกรธนี้ได้หรือไม่?
และโรงน้ำชาแห่งนี้ยังจะรักษามันเอาไว้ได้อีกเหรอ?
สิบนาทีต่อมา
ถนนกว่างหยวน ถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนที่พลุกพล่านอย่างมาก
ทันใดนั้นก็เห็นรถลีมูซีนสีดําคันหนึ่งขับมาไม่ไกล ตามด้วยรถเก๋งสีดำอีกหลายคัน ซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาจํานวนมากทันที
จากนั้นเห็นเพียงกลุ่มรถเหล่านี้ขับไปจอดอยู่ที่หน้าประตูของโรงน้ำชา และทันใดนั้น ชายในชุดสูทราวๆ 20-30 คนก็เดินลงมาจากรถ
ส่วนคนที่ออกมาจากรถลีมูซีนคือ ผู้ชายที่สวมแว่นกันแดด
บุคคลนี้ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น เมื่อมองไปในแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่า เขา.. เป็นคนที่ยุ่งด้วยไม่ได้ง่ายๆ
และหลังจากที่พี่ใหญ่คนนี้เพิ่งลงจากรถ ก็เห็น คุณชายจาง และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ลุงจิ่ว ในที่สุดคุณก็มาถึงแล้ว”
คุณชายจาง และคนอื่นๆ พอได้เห็นอีกฝ่ายสีหน้าที่มืดมนสุดขีดของพวกเขา ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นความดีใจไปในที่สุด
“คุณชายจาง นี่มันเรื่องอะไรกัน? แล้วพวกเขา...?”
ผู้ชายคนนั้นมองไปที่ คุณชายจาง และมองกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมข้างๆ เขา นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาถามไปด้วยความประหลาดใจ
“มันเป็นเจ้าของโรงน้ำชาแห่งนี้ มันทุบตีเพื่อนของฉัน และไล่ฉันออกมา”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของ จาง เทียนห่าว ก็มืดมนอีกครั้ง และใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขาก็แสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกเกลียดชัง ซูเหวิน มากแค่ไหนในขณะนี้
สีหน้าของ จินจิ่ว ก็อดไม่ได้ที่จะมืดลง ในสายตาเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความโหดเหี้ยมขึ้นมา
“วางใจได้.. คุณชายจาง”
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โรงน้ำชาแห่งนี้จะไม่มีอยู่อีกต่อไป ฉันจะทำให้เขาได้รู้ถึงผลที่ตามมาจากการทำให้คุณต้องขุ่นเคืองเอง”
พูดพลาง จินจิ่ว ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว รอยยิ้มแบบนี้ แม้แต่ลูกน้องของเขาที่มองเห็นก็รู้สึกขลาดกลัว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนำพาคนกลุ่มใหญ่ และคุณชายจาง เข้าไปในโรงน้ำชา
การเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่เช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นฝูงชนที่ผ่านไปมาด้านนอก หรือลูกค้าภายในร้านน้ำชา ก็สังเกตเห็นได้ตั้งแต่แรก
ทันใดนั้น ทุกคนต่างเกิดความสงสัย และสับสน
“คุณชายจาง ในที่สุดก็พาคนมาแล้วหรือ?”
ซูเหวิน และเซี่ย เฉิงตง รู้ว่า คุณชายจาง จะนำพากลุ่มคนเข้ามา ดังนั้นพวกเขาจึงรอมานานแล้ว
ซูเหวิน มองดูผู้คนมากมายที่มา แต่สีหน้าของเขากลับไม่มีความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
“ฉันบอกไปแล้วยังไงว่าแกจะต้องจ่ายราคาสำหรับวันนี้!”
พอทันทีที่ จาง เทียนห่าว เห็น ซูเหวิน เขาก็ไม่สามารถหยุดความโกรธในดวงตาของเขาได้ เขาหันไปมอง จินจิ่ว แล้วพูดว่า : “ลุงจิ่ว ก็คือไอ้เด็กเวรนี่ วันนี้มันหยิ่งผยองมาก ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่ง และความภาคภูมิใจอีกครั้ง
ความอัปยศอดสูที่ได้รับในวันนี้ เขาต้องการให้อีกฝ่ายชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า พันเท่า
อย่างไรก็ตาม.. จาง เทียนห่าว ดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นว่า เมื่อกี้ จินจิ่ว ที่เขาพูดออกไปอย่างภาคภูมิใจ ตอนนี้เขากลับมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ และตกตะลึง
“เซี่ย..ประธานเซี่ย คุณทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
จินจิ่ว ถอดแว่นกันแดดของเขาออก พร้อมกับกล่าวออกไปราวกับพบเห็นคนรู้จักเก่า
“ฮ่าฮ่าๆ นั่นที่แท้ก็ เหลาจิ่ว เอง!”
“ไม่คิดเลยว่าในช่วงที่เราไม่ได้เจอกันมาสักพัก คุณจะยิ่งดูสง่างามมากขึ้นขนาดนี้”
เซี่ย เฉิงตง ยิ้ม แล้วพูดเหมือนพบเจอคนรู้จักเก่า แต่ในคําพูดของเขากลับแฝงไปด้วยคำเยาะเย้ยอีกฝ่าย ..เล็กน้อย
“ที่ไหน.. เล่า ผมก็แค่หาเลี้ยงชีพปกติ ที่ไหนจะไปเทียบกับ ท่านประธานเซี่ย ได้”
จินจิ่ว โบกมือไปมา แล้วกล่าวไปอย่างถ่อมตัว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงผู้คนรอบข้างเลย แม้แต่ ซูเหวิน เองก็อดจะประหลาดใจไม่ได้
“ลุงจิ่ว คุณ...”
จาง เทียนห่าว ก็ตกใจ และสับสนเช่นกัน
เขามองไปที่ ลุงจิ่ว ด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาไม่เข้าใจว่า ลุงจิ่ว ที่ดุร้าย โหดเหี้ยมมาตลอด ทำไมเมื่อเห็น ชายวัยกลางคนคนนี้ที่อยู่ตรงข้าม ถึงถอยกลับได้.. และแถมยังทำราวกับว่าเหมือนเห็น ..เจ้านาย ตัวเอง
“ฮ่าฮ่าๆ คุณชายจาง คุณอาจจะไม่รู้”
“คนที่อยู่ตรงหน้าคุณ ท่านนี้ก็คือ เซี่ย เฉิงตง ประธานเซี่ย แห่ง ฮั่วซิน กรุ๊ป ในเมืองม่อ ของเรา.. และเขายังเป็นหนึ่งในนักธุรกิจชั้นนําในระดับแถวหน้าในโลกธุรกิจ”
จินจิ่ว กล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้มไปอย่างรวดเร็ว
“อะไรนะ...?”
ประโยคหนึ่ง แต่มันราวเหมือนถูกคลื่นซัดสาดกระทบเข้ามาถึงจิตใจของ จาง เทียนห่าว
เขามองไปที่ เซี่ย เฉิงตง ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ชายวัยกลางคนคนนี้ ..เป็นประธานของ ฮั่วซิน กรุ๊ป?
มัน.. เป็นไปได้ยังไง?
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ซูเหวิน ก็ตกใจเช่นกัน
เขามองไปที่ ประธานเซี่ย คนนี้อีกครั้ง ด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตา
เซี่ย เฉิงตง ฮั่วซิน กรุ๊ป งั้นเขาก็คือ...
พ่อของ เพื่อนร่วมชั้น เซี่ย?
ให้ตายเหอะ สถานการณ์นี้มันคืออะไร?
ขณะเดียวกันยังมี ผู้จัดการ และบริกรเองก็ตกใจเช่นกัน
ใครมันจะไปคิดว่า ชายวัยกลางคน ที่ดูธรรมดาๆ คนนี้จะมีสถานะที่สูงส่งเช่นนี้ ไปได้…
สําหรับความตกใจของทุกคน เซี่ย เฉิงตง เขากลับหัวเราะยิ้ม และแทบไม่สนใจอะไรกับมัน
เขามองไปที่ จินจิ่ว แล้วพูดว่า : “อา.. เหลาจิ่ว คุณชายจาง คนนี้เพิ่งมีความขัดแย้งกับฉันที่ชั้นห้า และน้องชายซู คนนี้ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงน้ำชาแห่งนี้ และก็เพื่อฉัน เขาถึงได้มีเรื่องกับ คุณชายจาง ..คนนี้”
“และตอนนี้ เขา.. ได้เชิญคุณมาเพื่อจัดการกับพวกเรา เอาล่ะ คุณจะทํายังไงต่อไป?”
เซี่ย เฉิงตง หรี่ตามองตรงไปที่ เหลาจิ่ว และพูดถามไปด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ
ออร่าของผู้สูงศักดิ์ก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมา..
“เอ่อ... คือ ประธานเซี่ย ท่านล้อเล่นแล้ว.. ล้อเล่นแล้วจริงๆ ผมจะกล้าไปจัดการกับท่านได้ยังไง!”
“ใช่ๆ เรื่องทั้งหมดต้องเป็นความเข้าใจผิด เป็นความเข้าใจผิดอย่างแน่นอน”
จินจิ่ว รีบพูด ในใจเขาเองก็รู้สึกทำอะไรไม่ได้ถูกแล้ว
แท้จริงแล้ว เขา.. จินจิ่ว เคยเติบโตได้ดีในเมืองม่อ และเขายังได้สร้างชื่อในเมืองม่อแห่งนี้ ควบคู่ไปกับความสามารถ และวิธีการอันโหดเหี้ยมของเขา กล่าวได้ว่าบนท้องถนนเขาคือ อันดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการเปรียบเทียบกับใครด้วย
ใครคือ เซี่ย เฉิงตง และบริษัท ฮั่วซิน กรุ๊ป คือบริษัทประเภทใด?
นั่นเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำ 100 อันดับแรกของประเทศ เมื่อมองไปทั่วโลก มันยังคงเป็นบริษัทชั้นนำติด 1 ใน 100 อันดับแรกของโลก
บริษัทใหญ่แบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งขนาดไหน และในแง่ของเครือข่ายความสัมพันธ์ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องถึง ..ด้วยซ้ำ
เพราะเมื่อใดก็ตามที่ เซี่ย เฉิงตง พูดอะไรบางอย่างเพียงประโยคเดียว ทั้งเมืองม่อแห่งนี้ก็ย่อมต้องสั่นสะเทือนถึงสามครั้งด้วยกัน
และการแก้แค้นเขา นั่นไม่ใช่ว่าคุณกำลังมองหาความตายหรอกหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขารีบมองไปที่ จาง เทียนห่าว แล้วกล่าวว่า : “คุณชายจาง วันนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ประธานเซี่ย คนนี้ ไม่ใช่คนที่ผมสามารถรับมือด้วยได้”
“ไม่เพียงแต่ผมรับมือไม่ได้เท่านั้น ผมเองยังขอแนะนําให้คุณรีบกล่าวขอโทษ ประธานเซี่ย โดยตรงด้วย ไม่เช่นนั้น ตระกูลจาง ..ของคุณอาจต้องประสบกับปัญหาใหญ่”
ขณะพูดไปพลาง จินจิ่ว ก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรไปหาพ่อของ จาง เทียนห่าว ทันที
นั่นเป็นเพราะเขาเข้าใจดีว่า เซี่ย เฉิงตง ไม่ใช่คนธรรมดา
ถ้าหาก ตระกูลจาง กับตระกูลเซี่ย กลายเป็นศัตรูคู่แค้นกัน สิ่งต่างๆ ยิ่งมา ก็ยิ่งมีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
แน่นอนว่าเมื่ออีกฝั่งรับสาย จินจิ่ว ก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง จาง เย่าฮุย ที่อยู่ปลายสายก็มีใบหน้าซีดทันที เส้นเลือดแดงของเขาก็โหมกระหน่ำแห่กันแย่งกันปูดโปน และเขากล่าวด้วยเสียงสะกดกลั้นอารมณ์ไปว่า : “เหลาจิ่ว คุณให้ไอ้เด็กสารเลวนั้นมันรับโทรศัพท์ แล้วฉันจะพูดคุยกับมันเอง”
จากนั้น จินจิ่ว ก็ส่งโทรศัพท์ไปให้กับ จาง เทียนห่าว
เมื่อ จาง เทียนห่าว รับโทรศัพท์ ทันทีเสียงดุดันพร้อมกับคำด่าคำสาปแช่งอย่างต่อเนื่องก็หลุดออกมาจากโทรศัพท์ ..ทําให้หูของเขาแทบชาไปทันที
(1)[ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตาย (不知死活)] - หมายถึง การทำอะไรบางอย่างลงไป โดยที่ไม่รู้ถึงคุณประโยชน์ หรือโทษ กล่าวอีกนัยคือ ไม่คำนึงถึงชะตากรรม ไม่รู้ถึงผลที่ตามมา หรือการกระทำการใดๆ ลงไปโดยประมาท