ตอนที่ 32 เหตุฉับพลัน
“ยินดีต้อนรับครับ…”
พอมีคนเดินเข้ามา บริกรก็เดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“คุณต้องการเลือกชั้นไหน ห้องส่วนตัว หรือห้องโถงด้านนอกดีครับ?”
บริกรกล่าวต่อ ..ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้จัก ซูเหวิน
ก็ไม่น่าแปลกใจที่แม้ว่าโรงน้ำชาแห่งนี้จะเปลี่ยนมือแล้ว และทางพนักงานเองก็ต่างทราบอยู่แล้วเช่นกัน
แต่ทุกคนยังไม่รู้ว่าเจ้านายคนใหม่ของที่นี่เป็นใคร มีหน้าตาอย่างไร ซึ่งมันก็ดูเป็นเรื่องปกติที่อีกฝ่ายจะจําเขาไม่ได้ ..ในตอนนี้
“ขึ้นชั้นสามเถอะ ชั้นบนดูจะสงบกว่า”
“ส่วนห้องส่วนตัว ลืมไปเถอะ มันไม่ได้ให้บรรยากาศเท่าไหร่”
ซูเหวิน ตอบกลับ
“ใช่ ยังไงก็ตาม เดี๋ยวตามผู้จัดการคุณมาให้ที ผมมีธุระจะคุยกับเขา”
จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“..ผู้จัดการ?”
บริกร ถึงกลับสะดุ้งตกใจไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย และไม่เข้าใจว่าทําไมอีกฝ่ายถึงมีความต้องการเช่นนี้
“เอ่อ... ต้องขออภัยครับ ผู้จัดการของเราติดรับแขกคนสำคัญในวันนี้ ดังนั้น…”
บริกรพูดตะกุกตะกัก เหมือนลังเลที่จะพูดบางอย่างออกไป
“ไม่เป็นไร คุณก็บอกไปแค่ว่าชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ ซูเหวิน มาหาเขา แล้วเดี๋ยวเขาจะเข้าใจเอง”
ซูเหวิน กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างไม่แยแส
บริกร ที่ได้ยินรู้สึกสับสน มึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ทําไมชื่อนี้คุ้นหูจังนะ?
จากนั้นเขาจ้องมอง ซูเหวิน ไปอีกครั้ง แล้วพูดอย่างเก้ๆ กังๆ ไปว่า : “เออ.. คุณ... คุณเป็นเจ้านาย?”
ซูเหวิน ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบ
“สวัสดีครับ เถ้าแก่”
“ผู้จัดการอยู่ที่ชั้นบน ผมจะพาพวกคุณขึ้นไปที่ชั้นสาม แล้วจะรีบไปตามผู้จัดการ….”
บริกร ดูมีความกระตือรือร้นขึ้นมาทันที และโค้งคำนับต่อ ซูเหวิน ด้วยความเคารพ
จากนั้นเขาก็ได้พา ซูเหวิน และคนอื่นๆ ขึ้นไปยังชั้นบน
เมื่อทุกคนมาถึงชั้นสาม ซูเหวิน และพวกเขาเลือกหาที่นั่งแล้ว บริกรคนดังกล่าวจึงรีบขึ้นไปที่ชั้นห้า
เวลานี้ทนายความสองคนที่ติดตาม ซูเหวิน มาโดยตลอด พวกเขา.. ตกตะลึงไปแล้ว
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่า ประธานซู คุณจะเป็นเจ้าของโรงน้ำชาแห่งนี้”
“ใช่! เดิมฉันคิดว่าท่านเป็นแค่ประธานของโรงแรมฮิลส์ ไม่เคยคิดเลยว่าโรงน้ำชาแห่งนี้จะเป็นของท่านจริงๆ, มันเหลือเชื่อมาก”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างเงียบๆ และถึงกับสงสัยว่าตัวเองกําลังฝันอยู่หรือไม่
คุณต้องรู้ก่อนว่า.. ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมฮิลส์ หรือโรงน้ำชา เซียนเฮ่อ ล้วนถือเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองม่อ
แล้วใครจะไปคิดว่า เจ้าของทั้งสองแห่งนี้จะเป็นของคนคนเดียวกัน
“ฮ่าฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ธุรกิจเล็กๆ เท่านั้น ไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง”
เมื่อเผชิญกับความตกใจของทั้งสอง ซูเหวิน กลับทําสีหน้าราวกับว่ามันไม่สำคัญอะไร
ทนายทั้งสองพูดไม่ออกแล้ว
ไม่ต้องพูดถึง โรงแรมฮิลส์ แม้แต่ โรงน้ำชา เซียนเฮ่อ แห่งนี้ก็มีมูลค่ามากกว่าร้อยล้านแล้ว ถูกต้องไหม?
และนี่.. เป็นธุรกิจเล็กๆ?
ประธานซู คุณ.. คุณดูเหมือนจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับธุรกิจเล็กๆ…
ระหว่างการพูดคุย บริกรคนนั้นก็ได้มาถึงพร้อมกับพาผู้จัดการมาด้วย
เพราะเป็นผู้จัดการของที่นี่, ก่อนหน้านี้ที่ ซูเหวิน เข้ามารับหน้าที่ดูแลโรงน้ำชาแห่งนี้ เขาก็เคยเจอเช่นกัน
พอเห็นว่าเจ้านายอยู่ที่นี่จริงๆ เขาก็ทําหน้ายิ้มแย้มทันทีแล้วพูดว่า : “เถ้าแก่ ท่านมาที่นี่ ทำไมไม่แจ้งผมให้ทราบก่อน ผมจะได้เตรียมมารอต้อนรับล่วงหน้า!”
“ไม่จำเป็น ผมแค่มาเพื่อดื่มชา”
“เหตุผลที่ผมเรียกคุณมาคือเพื่อให้คุณช่วยแพ็คชาที่ดีที่สุดในร้านของเรามาสองกล่องให้ที”
ซูเหวิน กล่าวออกไปโดยตรง
“ฮ่าฮ่าๆ เรื่องเล็กน้อยๆ ครับ”
พูดพลาง ผู้จัดการก็หันไปมองบริกรคนเมื่อกี้ทันทีแล้วพูดว่า : “ไปที่ตู้ชาหลังร้าน แล้วใส่ราชาชาที่ดีที่สุดของเรา เถี่ยกวนอิน (铁观音) มาสองกล่อง”
“ครับ ผู้จัดการ”
บริกรไม่กล้าละเลย และรีบไปที่หลังร้านทันที
ไม่นานนัก ก็หยิบกล่องใบชาที่มีการบรรจุหีบห่อมาอย่างสวยงามสองกล่องใหญ่เดินเข้ามา แล้วส่งมอบให้กับ ซูเหวิน
ซูเหวิน หยิบกล่องใบชา และวางไว้ต่อหน้าทนายความทั้งสองคนโดยตรง : “วันนี้ลําบากพวกคุณทั้งสองคนแล้ว ใบชาสองกล่องนี้ผมมอบให้พวกคุณ ถือว่าเป็นของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ครับ”
“นี่…เกรงใจมากเกินไปไหม?”
ทนายทั้งสองมองหน้ากัน แล้วยิ้มอย่างปลื้มใจ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ใบชานิดหน่อยเท่านั้น”
ซูเหวิน กล่าวอย่างไม่แยแส
จากนั้นเขามองไปที่ ผู้จัดการ แล้วพูดว่า : “เมื่อกี้ได้ยินบริกรบอกว่าคุณอยู่กับลูกค้ารายใหญ่ คุณไปเถอะ ทางผมไม่มีอะไรแล้ว”
“เถ้าแก่ ท่านล้อเล่นแล้ว ถึงลูกค้าจะสำคัญแค่ไหนก็เทียบท่านไม่ได้หรอกครับ!”
“นอกจากนี้ตอนที่ผมจากมาเมื่อกี้ พวกลูกหลานตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็ดื่มเกือบจะหมดแล้วครับ คาดว่าจะจากไปทันที และคงไม่ต้องการให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนแล้ว”
ผู้จัดการ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่เขาเพิ่งพูดจบ บริกรอีกคนหนึ่งก็วิ่งลงมาจากชั้นบนมาอย่างเร่งรีบ มาถึงหน้า ผู้จัดการ แล้วพูดอย่างหอบเหนื่อยว่า : “ไม่ดีแล้ว ผู้จัดการ คุณชายหลายคนที่ชั้นบนมีเรื่องขัดแย้งกับลูกค้าคนอื่นๆ แล้ว”
“อะไรนะ?” ผู้จัดการตกตะลึง แล้วก็ตกใจมาก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ซูเหวิน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และถามออกไป
“เป็นกลุ่ม คุณชายจาง ครับ เมื่อกี้พวกเขาดื่มชาเสร็จกําลังจะลงชั้นล่าง แต่เผลอไปโดนชนเข้านิดหน่อย เลยขอให้อีกฝ่ายคุกเข่าลง เพื่อเป็นการขอโทษเขา ไม่งั้นเขาจะไม่อนุญาตให้ใครจากไป”
บริกรคนนั้นกล่าวอีกครั้ง
“นี่น่าจะเป็นเรื่องไม่ดีจริงๆ นายน้อยพวกนี้มีนิสัยไม่ดีเสมอ การไปยั่วยุพวกเขาเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าหาที่ตายเหรอไง?”
ผู้จัดการดูเป็นกังวล
“พวกเขาเป็นใคร? มีอำนาจขนาดนั้นเลย?”
เมื่อเห็นผู้จัดการมีท่าทางกังวล หวาดกลัว ซูเหวิน ก็รู้สึกกระหายอยากรู้ และกลุ่มคุณชายจาง ..ที่ว่า ไม่ใช่ว่าดูเย่อหยิ่งไปหน่อยหรือ?
“เถ้าแก่ ท่านไม่รู้ พวกคุณชายเหล่านี้มีภูมิหลังไม่ธรรมดา พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นนายน้อยจากตระกูลที่ร่ำรวย”
“โดยเฉพาะกับ คุณชายจาง ..คนนั้น ซึ่งเป็น นายน้อยคนโตของ เฟยฉือ กรุ๊ป”
“ประธานของ เฟยฉือ กรุ๊ป ซึ่งก็คือ พ่อของ คุณชายจาง ก็ยังรู้จักกับพี่ใหญ่ในโลกใต้ดินมากมาย อำนาจของเขากว้างขวางมาก ดังนั้นแม้แต่ เถ้าแก่คนก่อนของเราเวลาเจอ คุณชายจาง ยังให้ความเคารพ…”
ผู้จัดการรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่คําพูดนี้ออกมา ซูเหวิน ไม่ได้ตกใจ แต่ทนายความทั้งสองคนที่นั่งตรงข้ามกลับสะดุ้งเล็กน้อยแล้ว
ใครจะไม่รู้จัก เฟยฉือ กรุ๊ป?
นั่นเป็นบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองม่อ อยู่ในอันดับมากกว่า 100 ของประเทศ และเป็นหนึ่งใน 500 อันดับแรกของโลก
บวกกับความสัมพันธ์ในวงสังคมของ ตระกูลจาง ในเมืองม่อแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าพูดได้ว่า มือเดียวไม่สามารถปิดฟ้าได้(1) และเขาก็ถือว่าเป็นเจ้าเหนือหัวฝ่ายหนึ่งแล้ว แล้วใครจะกล้ายั่วยุเขา?
“เถ้าแก่ ท่านอยู่ที่นี่ และดื่มชาต่อไปเถอะครับ ผมจะไปดูข้างบนเองว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่แน่พูดไปอาจจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยได้”
ผู้จัดการ กล่าวอย่างรวดเร็ว
“ไม่ ผมจะขึ้นไปดูด้วย”
“ตอนนี้ผมเป็นเถ้าแก่ของที่นี่แล้ว และคงจะให้ผมทำเป็นเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร้านนี้ไม่ได้หรอก จริงมั้ย?”
เมื่อพูดเช่นนั้น ซูเหวิน ก็ลุกขึ้นยืน
หลังจากเขาพูดสองสามคำกับเพื่อนทนายความทั้งสองคนแล้ว เขาก็ได้จ่ายค่าตอบแทนให้อีกฝ่ายผ่าน VX แล้วเดินตามผู้จัดการขึ้นไปชั้นบน
ขณะเดียวกันบนชั้นห้า
เห็นได้ชัดว่าควรเป็นสถานที่ที่ควรเงียบกว่าชั้นด้านล่าง แต่บรรยากาศในตอนนี้กลับดูหนักหน่วงมาก..
“ฉันจะพูดอีกครั้ง คุกเข่าลงให้กับ เล่าจื๊อ และยอมรับความผิดพลาด ไม่งั้นวันนี้ก็อย่าได้คิดออกไปจากที่นี่”
ในห้องโถงของโรงน้ำชา ชายหนุ่มที่แต่งตัวดีหลายคน กําลังขัดขวางชายวัยกลางคนสองคน ด้วยทัศนคติที่หยิ่งผยอง
คนที่พูด คือ คุณชายจาง ที่ผู้จัดการเพิ่งพูดถึงก่อนหน้านี้
ลักษณะ ท่าทางที่หยิ่งผยองของเขาในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ผู้จัดการพูด ยุ่งด้วยยากมาก
“ฮ่าฮ่าๆ กล้ายั่วยุ คุณชายจาง กลัวว่าต่อให้แกมีกี่ชีวิตก็ไม่พอ ตอนนี้ก็รีบคุกเข่าโขกหัวยอมรับความผิดซะ! ไม่แน่บางทีแกอาจยังมีโอกาสรอด..”
“ใช่แล้ว อยู่เอาตัวรอด สู้ตายเสียดีกว่า(2) เฮ้ย.. ลุง ทำไมถึงคิดเรื่องแค่นี้ไม่ได้?”
ทันใดนั้น เพื่อนของคุณชายจาง หลายคนก็หัวเราะไปพร้อมกับมองดู แล้วพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
สิ่งที่พวกเขาพูดดูเหมือนจะเพื่อประโยชน์ของกัน และกัน แต่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของการเยาะเย้ย และดูเป็นแค่การแสดงที่ดีของอีกฝ่ายเท่านั้น
และในบรรดาลุงสองคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา หนึ่งในนั้นไม่ใช่ เซี่ย เฉินตง พ่อของเพื่อนร่วมชั้น เซี่ย แล้วจะเป็นใคร?
(1)[มือเดียวบังฟ้า (一手遮天)] - ปิดท้องฟ้าด้วยมือเดียว พรรณนาถึงการอาศัยอำนาจ เล่นกล และหลอกลวงประชาชน
(2)[อยู่เอาตัวรอด สู้ตายเสียดีกว่า (赖活着不如好死)] - ตายแบบดี ดีกว่าใช้ชีวิตแบบไร้ประโยชน์ หมายถึง การมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีเกียรติ เป็นหนึ่งในปรัชญา และสุภาษิตจีน
แต่กลับเน้นว่า มีชีวิตอยู่ดีกว่าตาย เพราะไม่ว่าตายจะดีแค่ไหน นี่แสดงให้เห็นถึงจุดสิ้นสุดของความเป็นจริงทั้งหมด รวมไปถึง ‘ความหวัง’ ด้วย แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าชีวิตจะเจ็บปวด และสิ้นหวังมาก แต่ก็มี ‘ความหวัง’ อยู่เสมอ บางที ‘ความหวัง’ นี้อาจเป็นจริงได้ในอนาคตอันไกลโพ้น แต่จะพูดอย่างไรได้ นี่ก็คือ ‘ความหวัง’ อยู่ดี แต่พอตายไปก็จะไม่เหลืออะไรเลย
ดังนั้น แทนที่จะ ‘ตายดี’ สู้ ‘เอาชีวิตรอด’ ดีกว่า