Chapter 418 คนเหล่านี้คือใคร?
ยอดเขาด้านหน้าเหลือเพียง 30-50 ก้าวแล้ว.
เจ้านิกายซ่างกานที่คำนวณเสร็จเรียบร้อย คิดว่าตัวเองต้องเป็นคนแรกแน่ จนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ตะโกนด้วยความอัดอั้นที่มากล้นเอาไว้ออกมา.
แต่ว่า.
ในเวลานั้น จุนซ่างเซียวที่พยุงซีจิงเสวียน ก้าวแซงเขาไปอย่างง่ายดาย.
เจ้านิกายซ่างกานถึงกับแข็งค้างไปในทันที.
อารมณ์ของเขาที่ถูกสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างกายแทบพังทลายลงทันที แม้แต่ขาสั่นอย่างแรง พยุงร่างตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ทรุดลงนั่งราวกับหมดเรี่ยวแรงไปเฉย ๆ.
“ไม่...เป็นไปไม่ได้....”
หนึ่งชายหนึ่งหญิงที่ปีนขึ้นเขาแซงหน้าเขาไป เจ้านิกายซ่างกานที่ไม่อยากเชื่อแม้แต่น้อย “เป็น....เป็นไปไม่ได้.....”
หากเป็นคนอื่นแซงเขาไป เขาก็พอยอมรับได้.
ต้องไม่ลืมว่าคนของนิกายระดับสามที่เอาชนะนิกายของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า.
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ก้าวแซงเขาไปเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้!
เหล่าศิษย์นิกายซางกวนก็หมดเรี่ยวแรงไปพร้อม ๆ กัน.
เจ้าสำนักจุนและเจ้าวังซีที่สั่นคลอนจิตใจของพวกเขาอย่างรุนแรง จนทำให้จิตใจของพวกเขาพังทลายลง.
“กึก.”
จากนั้น หลี่ชิงหยาง เซียวจุ้ยจื่อและศิษย์คนอื่น ๆ ก็ก้าวแซงศิษย์ของเจ้านิกายซ่างกานเช่นกัน.
พวกเขาที่จิตใจพังทลายไปก่อนแล้ว ตอนนี้ถึงกับอ้าปากค้างแทบหมดสติ.
มุมปากของศิษย์นิกายซางกานที่กระตุกไปมา.
คนเหล่านี้เป็นใคร?
พวกเขาจวนจะถึงยอดเขาแล้ว ความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม!
ชัยชนะที่อยู่ในมือนิกายซ่างกานเห็น ๆ กับถูกจุนซ่างเซียวและศิษย์ก้าวแซงไปทีละคน ๆ ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้อีกแล้ว เป็นความพ่ายแพ้ที่ถูกยัดเยียดให้อย่างไม่เต็มใจ.
เรื่องมันเศร้าเหลือคนา.
“กึก.”
บนยอดเขา จุนซ่างเซียวที่พยุงซีจิงเสวียน ก้าวขึ้นไปบนยอดเขาอย่างราบรื่น ลมหนาวที่พัดผ่าน ทำให้อารมณ์ผ่อนคลายยิ่งนัก.
“ติ๊ง! ยินดีกับโฮสน์ที่สำเร็จภารกิจลับ【คนที่มาทีหลังแซงผู้นำหน้าไป】ได้รับแต้ม 500 แต้ม.”
“ติ๊ง! คะแนนสนับสนุน : 5461 / 5000.”
“ติ๊ง! คะแนนสนับสนุนล้น.....”
จุนซ่างเซียวที่ตกใจขึ้นมา “นี่...เป็นภารกิจลับด้วยอย่างงั้นรึ?”
“เจ้าสำนักจุน.”
ซีจิงเสวียนเอ่ย “พวกเรามาถึงแล้วรึ?”
“อืม.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ไม่เพียงแค่มาถึง ยังเป็นที่หนึ่งอีกด้วย.”
“จริงรึ?”
ใบหน้าของซีจิงเสวียนที่เบิกบานเผยความดีใจออกมา.
แม้นว่านางจะไม่ได้หวังที่จะได้ที่หนึ่ง ทว่าในเมื่อได้รับมา แน่นอนว่าย่อมยินดี.
ก่อนหน้านี้ ซีจิงเสวียนมั่นใจว่าสามารถก้าวมาถึงก่อนหน้าคนอื่นได้แน่ ทว่าศิษย์ของนางนั้นไม่ได้ทรงพลังพอ.
ตอนนี้จุนซ่างเซียวไม่ได้เผยความเหนื่อยล้าออกมาเลย แม้นว่าจะพยุงแขนของนางขึ้นจนมาถึงยอดเขาหัวซานแล้วก็ตาม และนางเองก็ไม่เผยท่าทางเหนื่อยล้าออกมาเลยเหมือนกัน.
ต้องไม่ลืมว่าร่างกายของบุรุษและสตรีนั้นแตกต่างกัน.
แต่นางกลับยังสดชื่นก้าวขึ้นมาได้ในสภาพไม่ต่างจากเขาเลย.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เจ้าวังซี จุนโหมวเพียงนำทางท่านมาถึงยอดเขาหัวซาน ไม่ใช่เรื่องยากอะไร.”
“ข้า....ข้ารู้.”
ใบหน้าของซีจิงเสวียนที่กล่าวเสียงเบา คิดถึงว่าระหว่างทาง นางถูกเขาพยุงแขนขึ้นมา ใบหน้าก็แดงระเรื่อ.
ตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่นางใกล้ชิดบุรุษถึงเพียงนี้.
“ฟู่!”
จุนซ่างเซียวที่เอ่ยกล่าวออกมาว่า “ที่นี่อากาศสดชื่นยิ่งกว่าที่เชิงเขาอีก.”
ซีจิงเสวียนเอ่ย “ได้ยินมาว่าสภาพแวดล้อมที่นี้งดงามเป็นอย่างมาก.”
จุนซ่างเซียวที่เงยหน้ามองเมฆบนท้องฟ้า อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาว่า “งดงามอลังการ.”
จากนั้น เขาก็คิดได้ในทันที ถึงแม้นว่าบนยอดเขาจะงดงามเท่าใด ซีจิงเสวียนก็ไม่สามารถมองเห็นได้.
“เจ้าวังซี.”
จุนซ่างเซียวที่เกรงว่านางจะเศร้า จึงเร่งรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “ที่ด้านหน้าคงเป็นเวทีหินที่สร้างขึ้น เพื่อปรึกษาพูดคุยวิถียุทธ์ของนิกายต่าง ๆงั้นรึ?”
“อืม.”ซีจิงเสวียนที่พยักหน้ารับ.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ให้ข้าพยุงแขนท่าน ไปยังที่นั่นดีหรือไม่?”
ใบหน้าของซีจิงเสวียนที่เผยใบหน้าแดงขึ้นมา.“ข้าจะไปเอง.”
พื้นดินที่ราบเรียบไม่มีสิ่งกีดขวาง การก้าวไปของนางจึงไม่มีปัญหาใด ๆ.
“เชิญ.”
จุนซ่างเซียวที่ก้าวตามไปติด ๆ โดยระวังไม่ให้นางสะดุดหินใด ๆ ได้.
ไม่ต้องใส่ใจอารมณ์ของชายหญิง ทว่าการที่นางตาบอด ทำให้ดูน่าทะนุถนอม แน่นอนว่าบุรุษเช่นเขาย่อมต้องดูแลนางอย่างดี.
ระหว่างทางนั้น.
จุนซ่างเซียวที่ครุ่นคิดว่า จะลองมอบเม็ดยาฟื้นฟูระดับกลางให้นาง เพื่อเสี่ยงโชคดีหรือไม่?
ทว่าหากว่าไม่สามารถรักษาอาหารเจ็บป่วยได้ ไม่กลายเป็นว่าเขาขาดทุนเปล่าหรอกรึ?
หลี่ชิงหยางและศิษย์คนอื่น ๆ ที่ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว ทว่าไม่มีใครสนใจที่จะชมทิวทัศน์ พวกเขาที่ก้าวตามเจ้าสำนักมาเท่านั้น.
......
พื้นที่ตรงกลางนั้นมีลานหินที่กว้าง จนดูเหมือนลานยุทธ์.
ขณะที่ปล่อยให้เจ้าวังซีเดินด้วยตัวเอง เจ้าสำนักจุนที่เตรียมก้าวเข้าไปพยุงซีจิงเสวียนก้าวต่อ.
“เจ้าสำนัก.”
ลู่เชียนเชียนก้าวเข้าไปหา พยุงร่างของซีจิงเสวียนก่อน กล่าวออกมาเล็กน้อย “เรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ศิษย์เอง.”
“เอิ่ม....ตกลง.”
ศิลาที่ปูพื้นนั้นเป็นเงาวับวาว.
จุนซ่างเซียวเอ่ยออกมาว่า “เจ้าวังซี การเข้าร่วมชุมนุมครั้งนี้ มีสิ่งต้องการหรือไม่?”
“ยังไม่มี.”
ซีจิงเสวียน กล่าวออกมาว่า “เพียงแค่เข้าร่วมพูดคุยวิถียุทธ์เท่านั้น.”
เป็นความจริง.
การชุมนุมแลกเปลี่ยนวิถียุทธ์ที่เทือกเขาหัวซานแห่งนี้ เป็นงานที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก.
......
“ฟิ้ว ฟิ้ว!”
ราว ๆ ครึ่งชั่วยาม เจ้านิกายซ่างกาน และศิษย์ก็ขึ้นมาถึงยอดเขาอย่างยากลำบาก เห็นจุนซ่างเซียวและคนอื่น ๆ ที่ขึ้นมาก่อนยืนอยู่ที่แท่นหินแล้ว น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุดกับอารมณ์ที่พังทลายลงของพวกเขายังคงค้างอยู่.
หลังจากนั้น..
เหล่านิกายต่าง ๆ ก็ตามมาถึง.
บนลานศิลานั้นสามารถจุคนได้ 200-300 คน.
ก่อนที่จะเริ่มงานแลกเปลี่ยนวิถียุทธ์กัน พวกเขาที่จ้องมองไปยังจุนซ่างเซียวและกลุ่มของหลี่ชิงหยางเป็นสายตาเดียวกัน.
“เจ้าวังซี.”
เจ้านิกายซ่างกานที่พักเหนื่อยแล้วเอ่ยออกมาว่า “คนเหล่านี้ที่จริงแล้วเป็นใคร?”
เหล่าชาวยุทธ์จากนิกายอื่น ๆ ต่างก็จดจ้องมองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ.
พวกเขาต่างก็สนใจเช่นกัน คนที่แซงและทิ้งพวกเขาไม่เห็นฝุ่น มาถึงยอดเขาก่อนใคร แท้จริงแล้วเป็นใครมาจากใหนกัน!
ไม่รอให้ซีจิงเสวียนได้แนะนำ จุนซ่างเซียวที่ก้าวออกมายื่นมือประสานไปด้านหน้า “เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง จุนซ่างเซียว.”
ในเวลานั้น ทุกคนที่กลายเป็นเงียบงัน.
ในเวลานั้นเหล่าเจ้านิกายต่างก็จ้องมองด้วยแววตาคาดไม่ถึง.
เจ้านิกายซ่างกานที่เผยท่าทางประหลาดใจ ”นำศิษย์ไปทำลายสี่สำนักมารติดต่อกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยังขับไล่กษัตริย์ยุทธ์ขั้นปลายของหอเทพสังหารกลับไปอีกอย่างงั้นรึ?
“ไม่ผิด.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
“เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว!”เจ้านิกายซ่างกานที่เอ่ยออกมาทั้งที่ภายในใจเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ.
ไม่คาดคิดเลยว่า กลุ่มคนที่แซงเขาและศิษย์ จะเป็นเจ้าสำนักระดับเจ็ดเท่านั้น.
ใบหน้าของเหล่าเจ้านิกายที่แข็งค้างไปตาม ๆ กัน.
หลายวันมานี้ เรื่องของสำนักไท่กู่เจิ้งนั้น พวกเขาได้ยินมาเหมือนกัน รับรู้ว่าพวกเขานั้นมีจักรพรรดิยุทธ์ดูแล ทว่าระดับของพวกเขานั้น เป็นเพียงสำนักระดับเจ็ดเท่านั้น.
“เจ้าสำนักจุน.”
เจ้านิกายระดับห้าคนหนึ่งเอ่ยกล่าว “เกี่ยวกับงานชุมนุมเทือกเขาหัวซานนั้น ทุกกลุ่มที่เข้าร่วมล้วนแต่ต้องเป็นนิกายใหญ่ สำนักไท่กู่เจิ้งของท่านมายังสถานที่แห่งนี้ ดูไม่เหมาะสมหรือไม่?”
“ดูเหมือนว่า ไม่จำเป็นต้องต้องเคร่งครัดขนาดนนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิเสธสำนักที่ต่ำกว่าระดับห้าในการเข้าร่วมชุมนุมปรึกษาวิถียุทธแต่อย่างใด.”
“ก่อนหน้านี้เปิ่นจั้วก็คิดว่า ไม่ควรจะเคร่งครัดกฎเกณฑ์ขนาดนั้น.”
“หากไม่เคร่งครัด ไม่กลายเป็นว่าใครก็เข้าร่วมได้ งานแลกเปลี่ยนวิถียุทธ์เทือกเขาหัวซานไม่กลายเป็นงานทั่วไปเอาหรอกรึ?”
ผู้คนต่างก็พูดคุยกันไปมา เกี่ยวกับสำนักไท่กู่เจิ้งที่เข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้ จนส่งเสียงดังอื้ออึง.
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นดั่งที่จุนซ่างเซียวคาดการณ์เอาไว้.
“ทุกท่าน.”
เขาที่ส่ายหน้เอ่ยกล่าวอย่างมั่นใจ “เข้าใจผิดแล้ว.”
เข้าใจผิดอย่างงั้นรึ?
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เปิ่นจั้วมาเทือกเขาหัวซานนั้น ไม่ได้เข้าร่วมพูดคุยวิถียุทธ์ขยะที่ไร้ความหมายในวันนี้ เปิ่นจั้วเพียงแค่นำศิษย์มาชมทิวทัศน์เท่านั้น.”