Chapter 416 ปีนเขา? สำเร็จ?
ค่ายกลที่เตรียมไว้ระหว่างทางขึ้นเทือกเขาหัวซานนั้นก็เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางผู้เข้าร่วม มีแรงกดดันที่คล้ายกับหอคอยเก็บประสบการณ์.
ไม่สงสัยเลยว่า เหล่าผู้ฝึกยุทธ์นิกายต่าง ๆ ที่ขึ้นเขาไปอย่างยากลำบาก หนึ่งชั่วยามไปได้ถึงครึ่งเทือกเขาเท่านั้น.
จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์ก้าวเข้าไปในค่ายกล เพียงแค่ก้าวเดียวก็ตระหนักได้ว่าในอากาศนั้นมีแรงโน้มถ่วงอยู่.
เพียงแค่รู้สึกเท่านั้นว่ามีแรงโน้มถ่วง.
ด้วยความคุ้นชิน กับระดับแรงโน้มถ่วงที่สูงกว่านี้จนบางครั้งก็แทบไม่รู้สึกแรงโน้มถ่วงของที่นี่เลย.
หอเก็บประสบการณ์ที่ชั้นหนึ่งนั้นมีแรงโน้มถ่วง 10 เท่า หากแต่แรงโน้มถ่วงของที่นี่นั้น น่าจะมีระดับสูงสุดเพียงห้าเท่านั้น.
ดังนั้นจึงไม่ควรค่าให้กล่าวถึง.
จุนซ่างเซียวที่เงยหน้าขึ้นมองเหล่าชาวยุทธ์นิกายต่าง ๆ จุนซ่างเซียวที่เอ่ยเสียงดัง “ไล่ตามพวกเขา แสดงความเหนือให้พวกเขาเห็น.”
“รับทราบ!”
ศิษย์ทุกคนที่รับคำสั่ง ก่อนที่จะกล่าวออกไปราวกับจะบินขึ้นบนเทือกเขา.
ศิษย์ที่เขานำมาล้วนแต่เป็นศิษย์ระดับสูง ถึงจะเปลี่ยนเป็นนำลี่ซางเทียน ซือหม่าจงต้าและอีกหลายคนที่ด้อยกว่า ทว่าก็สามารถก้าวผ่านไปได้โดยง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย.
ต้องไม่ลืมว่าศิษย์ของเขาที่เคยเข้าฝึกฝนที่ชั้นหนึ่งหอคอยเก็บประสบการณ์วันล่ะ 2 ชั่วยามเป็นประจำ.
ด้วยเหตุนี้.
หลี่ชิงหยางและเซียวจุ้ยจื่อจึงมั่นใจเป็นอย่างมาก.
ซูเซียวโม่ ลี่เฟยเองก็วิ่งขึ้นเขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน.
จุนซ่างเซียวที่ชื่นชมบรรยากาศขณะขึ้นเทือกเขา เขาสัมผัสได้ว่าความอุดมสมบูรณ์และความงดงามบนเทือกเขาแห่งนี้ บนเทือกเขาหัวซานที่โลกเดิมของเขาเทียบไม่ได้เลย.
ฟู่ ฟู่-
ในทุก ๆ ระยะทางที่สูงขึ้นไปดูเหมือนว่าจะมีแรงโน้มถ่วงเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ.
แต่ก็ไม่ส่งผลต่อจุนซ่างเซียว เจียงเซี่ยและคนอื่นแม้แต่น้อย ทุกคนยังคงก้าวขึ้นไปอย่างมั่นคง.
ด้วยความเร็วเช่นนี้ น่าจะใช้เวลาสิบกว่านาที คงจะตามทันกลุ่มแรกของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นิกายต่าง ๆ ได้.
......
เหล่าชาวยุทธ์นิกายต่าง ๆ ความเร็วลดลงเป็นอย่างมาก.
ในเวลานี้ แม้นว่าพวกเขาจะไปถึงกลางทางแล้ว แต่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยเหงื่อและหายใจแรงเร็ว.
แววตาของเจ้านิกายที่ยังคงสงบ ทว่าความรู้สึกของพวกเขาไม่ค่อยยินดีนัก.
การก้าวขึ้นเขาด้วยแรงโน้มถ่วงห้าเท่านั้น แรงกดทับที่บีบกดลงมา พลังบ่มเพาะที่สูงเองก็ไม่ได้เปรียบคนที่มีพลังบ่มเพาะที่ต่ำนัก ขึ้นกับความแข็งแกร่งร่างกายล้วน ๆ.
“เจ้าวัง.”
เหม่ยเอ๋อเอ่ย “ท่านสบายดีหรือไม่?”
เพราะว่าขณะปีนเขานั้น พวกนางที่พยุงแขนเจ้าวังไปด้วย ทำให้นางหลั่งเหงื่อออกมาเหมือนกัน.
ซีจิงเสวียนเอ่ย “ไม่เป็นไร.”
เป็นความจริงที่นางไม่เป็นไร เพราะว่าลมหายใจยังคงมั่นคง ทว่าใบหน้าของนางกับไร้อารมณ์.
เหม่ยเอ๋อที่กล่าวในใจ “เจ้าวัง แม้นว่าจะตาบอด แต่กับยังดูงดงาม ทว่าจิตใจที่เข้มแข็ง แรงโน้มถ่วงที่บีบทับนั้นไม่ส่งผลกับนาง.”
และ....ในอดีตนั้น เขาที่กลายเป็นตัวถ่วงนางด้วยซ้ำ.
เพราะการชุมนุมครั้งที่แล้ว เจ้าวังเมี่ยวฮัวก็เข้าร่วม.
ซีจิงเสวียนที่ราวกับว่าแรงโน้มถ่วงไม่ส่งผลใด ๆ กับนางเลย.
น่าเสียดาย ที่ศิษย์แต่ละคน แทบหมดเรี่ยวแรงเกือบล้มไปตาม ๆ กันแล้ว.
เหม่ยเอ๋อและศิษย์คนอื่น ๆ แม้นว่าจะมีประสบการณ์แล้วครั้งนี้ควรจะดีกว่าครั้งที่แล้ว ทว่าการจะขึ้นเขาให้เร็วกว่าครั้งที่แล้วก็คงเป็นไปไม่ได้.
“เฮ้อ.”
ซีจิงเสวียนถอยหายใจ “เจ้าสำนักจุนไม่เข้าร่วม ทำให้รู้สึกไม่สนุกเลย.”
“เจ้าวังของข้า.”
เหม่ยเอ๋อเอ่ย “โชคดีแล้วที่เขาไม่มา ไม่เช่นนั้น ตอนนี้คงหมดเรี่ยวแรงเป็นลมแล้วก็ได้.”
ความแข็งแกร่งของจุนซ่างเซียวและศิษย์นั้น แม้นว่านางจะยอมรับเล็กน้อย ทว่าการปีนเขาครั้งแรกนั้น เพียงแค่ครึ่งเขา ย่อมต้องหมดแรงอย่างแน่นอน.
ซีจิงเสวียนส่ายหน้าไปมา “เจ้าสำนักจุนนั้นไม่ธรรมดา บางทีการปีนเขาครั้งนี้ คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา.”
เหม่ยเอ๋อถึงกับพูดไม่ออก.
พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง เจ้าวังได้แต่คิดถึงเขา สนใจเขาอย่างงั้นรึ?!
“พรึด โครม!”
ในเวลานั้น ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง ที่แข็งขาอ่อน นั่งลงกับพื้นบันใด หายใจเหนื่อยหอบ กล่าวออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว.“....ไม่ไหว....ข้าขอพักครู่หนึ่ง.”
“เจ้าคนไม่ได้เรื่อง!”
เจ้านิกาย นิกายดังกล่าว เห็นศิษย์ตัวเองหมดแรงก่อนเพื่อน ก็เผยความโกรธออกมา.
หากแต่เขาก็ไม่กล้าตำหนิออกมามากมาย เพราะว่าตัวเองก็ต้องทนแบกรับแรงโน้มถ่วงด้วย ไม่เช่นนั้นหากลมหายใจติดขัด คงจะต้องลงไปนั่งหมดแรงเหมือนกัน.
การแบกรับแรงโน้มถ่วง ไม่ว่าอย่างไรย่อมมีขีดจำกัดเหมือนกัน.
ในเวลานี้ เหล่าชาวยุทธ์ไม่น้อย ที่ยากจะก้าวต่อ ต้องหยุดพัก หรือแม้แต่ก้าวขึ้นไปช้ากว่าเดิม.
เหล่านิกายระดับสูงบางนิกาย แม้นว่าตอนนี้จะกัดฟัน แบกรับก้าวต่อไปได้ ทว่าก็เป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่เหมือนกับตอนขึ้นมาแรก ๆ.
ในเวลาเดียวกัน.
การแข่งขันปีนขึ้นเขาครั้งนี้ แทบจะไม่มีใครยอมใคร ต่างก็ต้องการเหนือกว่าอีกฝ่ายทำให้ทุกคนต่างก็จริงจังเป็นอย่างมาก!
“เจ้านิกายซุน.”
เจ้านิกายหวังที่ก้าวตามสองก้าว เผยยิ้มออกมา “ศิษย์นิกายท่านดูเหมือนว่าจะอยู่ด้านหลังไม่น้อยเลย บางทีคงจะเทียบกับครั้งที่แล้วไม่ได้.”
เจ้านิกายซุนที่โกรธในใจ แต่ยังกล่าวออกมาว่า “ศิษย์เจ้านิกายหวังเอง อยู่ด้านหลังจำนวนมากเช่นกัน พวกเราต่างก็เท่ากัน.”
เจ้านิกายหวังเอ่ย “คอยดูเถอะ นิกายซั่งหลานของข้า จะต้องเร็วกว่านิกายหลานหยูหนึ่งก้าวเมื่อถึงยอดเขาอย่างแน่นอน.”
“เหลือเส้นทางกว่าครึ่ง ใครจะชนะก็บอกไม่ได้.”
เจ้านิกายซุนเอ่ย จากนั้นก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก เพราะแรงกดดันที่หนักหน่วงโถมทับลงมาจนหายใจลำบาก ทว่าภายในใจนั้นเขาต้องการเหนือกว่านิกายซั่งหลาน ต้องก้าวถึงเส้นชัยให้ได้ก่อนแน่นอน!
เจ้านิกายหวังก็คิดเช่นเดียวกัน.
การปีนเขาครั้งนี้ คือการแข่งขันที่จะยอมไม่ได้.
เหล่านิกายระดับเดียวกัน พวกเขาย่อมไม่มีทางยอมกันแน่นอน พวกเขาต้องการแสดงออก ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองเหนือกว่า.
แน่นอน.
คนที่นำอยู่ เป็นคนของนิกายระดับสี่.
เจ้านิกายและศิษย์อยู่ห่างกัน 50-60 สิบก้าว.
ไม่สามารถที่จะดูแคลนระยะทางได้.
ถึงจะมีการหยุดพัก ทว่าคนที่ตามหลังที่ต้องแบกรับแรงโน้มถ่วง ย่อมต้องใช้เวลามากขึ้นเรื่อย ๆ.
วังเมี่ยวฮัวนิกายระดับสี่ เพราะศิษย์ค่อนข้างอ่อนแอ ทำให้ตามหลังแม้แต่นิกายระดับห้าด้วยซ้ำ.
ไม่มีวิธีใด.
นิกายสตรี ร่างกายและความอดทน ย่อมไม่สามารถเทียบผู้ฝึกยุทธ์บุรุษได้.
“เจ้าวัง.”
เหล่าศิษย์นิกายระดับสี่แห่งหนึ่ง ที่กวาดตามองเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน เอ่ยกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “ดูเหมือนว่าพวกเราก็นำคนอื่น ๆ อยู่ก้าวหนึ่ง.”
เจ้าวังคนดังกล่าวเอ่ยอย่างภาคภูมิ “หากไม่มีนิกายระดับสามเข้าร่วม ชัยชนะครั้งนี้เป็นของพวกเราเก้าสิบเปอเซ็น.”
เมื่อครั้งที่แล้วเขานำศิษย์เข้าร่วมชุมนุมเทือกเขาหัวซาน ไปถึงกลุ่มที่สอง พ่ายแพ้ให้กับนิกายระดับสามไป.
การชุมนุมเขาหัวซานครั้งนี้ ไม่มีนิกายระดับสามเข้าร่วม ท้ายที่สุดเขาก็จะได้กลายเป็นคนที่ได้ลำดับหนึ่งอย่างภาคภูมิ!
เจ้าวังผู้นี้ แม้นว่าจะนำหน้าคนอื่น ๆ ทว่าก็ก้าวขึ้นไปอย่างยากลำบาก และยิ่งสูงเท่าไหร่ ความเร็วของพวกเขาก็ยิ่งลดลง.
......
“แย่แล้ว...ไม่ไหวแล้ว...ข้าก้าวต่อไปไม่ไหวแล้ว....”
“นี่มันไม่ได้ด้อยกว่าการล่าสัตว์ร้ายสามวันสามคืนโดยไม่พักเลย!”
“....ค่ายกลเขาหัวซาน ควรค่าต่อชื่อเสียง....”
ผู้ฝึกยุทธ์แต่ละนิกายที่เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก.
หลายคนที่หายใจอย่างหนัก ขาทั้งสองข้าที่หนักจนแทบยกไม่ขึ้น.
หากไม่พักเลย เกรงว่าคงจะก้าวต่อไปไม่ไหว.
“หืม?”
ในเวลานั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ ที่ราวกับว่าได้ยินเสียงก้าวเท้าดังขึ้น พวกเขาที่เงยหน้าหันกลับไปมองอย่างยากลำบาก.
“1-234.”
” กึก! กึก! กึก! „
“2-234.”
” กึก! กึก! กึก! „
“3-234......”
” กึก! กึก! กึก! „
„โอ้ว............สวรรค์......!!”
เสียงที่ดังจากด้านหลังที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ดวงตาของพวกเขาที่เบิกกว้าง หูสองข้างที่สั่นไปมา.