Chapter 403 รู้สึกสูญเสีย หรือว่ากำลังเศร้าอยู่?”
ซีจิงเสวียนที่นำศิษย์จากไป.
ระหว่างทางกลับนั้น นางที่เผยความสุขตื่นเต้นดีใจราวกับเด็ก ๆ.
เจ้าวังเมี่ยวฮัว ซีจิงเสวียนนั้นน้อยนักจะมีท่าทางเช่นนี้ และมีคนไม่กี่คนที่พูดคุยอย่างรู้ใจ ตลอดวันนางที่ต้องฝึกฝนบ่มเพาะและดูแลนิกาย.
ตั้งแต่เดินทางมายังสำนักไท่ก่าเจิ้ง ไม่มีอะไรต้องคิด ไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องทำ เจ้าสำนักจุนที่มาคุยกับนางอยู่ตลอด ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลาย อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน.
“เจ้าวังมีความสุขอะไรกัน.”เหม่ยเอ๋อที่ครุ่นคิดในใจ.
นางและซีจิงเสวียนนั้นมีอายุเท่า ๆ กัน อยู่ร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง.
เพราะว่านางตาบอดตั้งแต่เกิดและยังถูกทิ้งโดยบิดามารดา ผ่านมานานแล้ว เหม่ยเอ๋อไม่เคยเห็นนางยิ้มเลย ตลอดวันที่มีแต่ความเงียบ ชอบปิดกั้นอยู่ในโลกส่วนตัว.
หลังจากที่ ซีจิงเสวียนได้เป็นเจ้าวังแล้ว นับตั้งแต่เริ่มดูแลนิกาย นางถึงได้เรียนรู้ที่จะยิ้มออกมาได้ในที่สุด.
หากแต่รอยยิ้มของนางเป็นรอยยิ้มที่ฝืนใจ ไม่ใช่ยิ้มธรรมชาติ ทำให้ดูขัด ๆ ขาดเสน่ห์ไป.
จนกระทั่งพบกับจุนซ่างเซียวที่นิกายเซิ่งชวน เจ้าวังที่เริ่มเปลี่ยนไป และหลังจากมาเยือนสำนักไท่กู่เจิ้งครั้งนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถยิ้มออกมาจากหัวใจได้.
นอกจากนี้.
เจ้าสำนักจุนมีเสน่ห์อะไรกัน?
ไม่ใช่แค่เพิ่งสิ ตั้งแต่พบกันก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อครั้งกลับมาจากป่าเมเปิล ในครั้งนั้นซีจิงเสวียนเคยเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนักจุนดูแลสำนักคงจะเหนื่อยมากรึไม่?”
ในครั้งนั้นนางไม่เคยพูดกับศิษย์และไม่เคยพูดกับอาวุโสมาก่อน.
ในวันนั้นคำพูดของทั้งสองคนที่ดูเข้าอกเข้าใจกัน เพราะว่าทั้งสองมีอายุใกล้เคียงกัน และยังเป็นผู้ปกครองสำนักด้วยกัน.
“ใช่แล้ว.”
จุนซ่างเซียวที่เอ่ย “งานรับผิดชอบเยอะ งานหนัก การเป็นผู้ปกครองสำนักนับว่าเหนื่อยจริง ๆ.”
ตั้งแต่แรกหากไม่มีระเบิดเวลาที่ผูกติดกับจิตวิญญาณ เขาคงจะสามารถเบาสบายเหมือนกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดคนอื่น ๆ ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี.
ระบบที่เอ่ยแทงใจดำ “อืม ใช้ชีวิตอย่างเบาสบายถูกข่มเหงรังแกไปทั่วทวีปชิงหยุน.”
กล่าวตามตรง.
เพราะว่าเขามีระบบ ทำให้พัฒนาความแข็งแกร่งได้เร็ว และยังมีของวิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งมากมาย.
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัด ก็คงจะใช้ชีวิตไม่ต่างจากพวกเขา.
ต้องตระเวนไปทั่วเทือกเขาเพื่อล่าสัตว์ร้าย เก็บเกี่ยวประสบการณ์ สามารถถูกสังหารได้ตลอดเวลา แม้แต่ถูกกดขี่จากคนที่แข็งแกร่งกว่า.
แน่นอน.
การเริ่มต้นเป็นเจ้าสำนักเลย.
พัฒนาสำนัก รับศิษย์ คิดย้อนกลับไปก็ถือว่ามีความสุขเหมือนกัน.
แม้นว่าบางครั้งที่ต้องคิดหนัก เอาตัวรอดจากสำนักอื่นที่มารังแก ทว่าเขาก็มีครอบครัวที่อบอุ่น.
ที่เหมือนกับครอบครัวที่มีลูกหลานมากมาย แม้นว่าแต่ละคนจะแตกต่างกัน มีเรื่องราวของตัวเอง ทุกคนที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขาก็เติบโตขึ้นทีละน้อย ๆ.
ถึงจะมีเรื่องราวยากลำบากที่ต้องแก้ไข ทว่าก็อบอุ่นเป็นชีวิตที่เหมือนดั่งครอบครัวที่ดี.
“เจ้าวังซี.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “สิ่งสำคัญที่สุดในการฝึกฝนคือความสุข ถึงแม้นว่าจะอยู่ภายใต้ความกดดันอันใหญ่หลวง ก็ต้องยิ้มเอาไว้มาก ๆ.”
“เหมือนกับนามของท่าน จุนซ่างเซียว(ยิ้มบ่อย ๆ หัวเราะบ่อย ๆ)อย่างงั้นรึ?”ซีจิงเสวียนเอ่ย.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ใช่แล้ว.”
ซีจิงเสวียนที่กลายเป็นเงียบงัน.
“สตรีที่ชอบยิ้ม จะไม่ขาดโชค.”
จุนซ่างเซียวเผยยิ้ม “ดังนั้น เจ้าวังซีไม่ควรกดดันตัวเองด้วยปัญหาต่าง ๆ ทุก ๆ วัน โปรดเผยยิ้มออกมาเถิด.”
สตรีที่ชอบยิ้ม จะไม่ขาดโชค.......
คำพูดเหล่านั้นที่ประทับจิตของซีจิงเสวียนเป็นอย่างมาก ขณะกลับนิกายเวลานี้ นางจึงเผยยิ้มอย่างจริงใจออกมานั่นเอง.
......
“เฮ้อ.”
จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่ในห้องโถง กล่าวเสียงเบา “ไม่ควรให้เม็ดยาฟื้นฟูระดับกลางให้กับนางรึ?.”
ระบบเอ่ย “เม็ดยาฟื้นฟูไม่สามารถรักษาอาหารเจ็บป่วยได้ ไม่สามารถรักษาการตาบอดได้นั่นเอง.”
จุนซ่างเซียวแน่นอนย่อมรู้ดี.
ดังนั้น เขาจึงไม่ได้มอบเม็ดยาให้กับซีจิงเสวียนด้วยเหตุผลดังกล่าวนั่นเอง.
“ไปกันหมดแล้วสินะ.”
ลู่เชียนเชียนที่ไม่รู้โผล่มาตั้งแต่ตอนใหน กอดอกก้าวเข้ามา “ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักจะรู้สึกสูญเสีย หรือว่ากำลังเศร้าอยู่?”
“สูญเสียอะไร มีอะไรให้เศร้ากัน.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ไม่ใช่สิ!
คิดว่าข้ารู้สึกสูญเสีย หรือแม้แต่เศร้า ว่าแต่เกี่ยวอะไรกับนางกัน?
หืม ๆ หรือว่ากำลังหึงข้าอย่างงั้นรึ?
เขาที่จ้องมองลู่เชียนเชียนที่เย็นชา กล่าวออกมาด้วยความสงสัย “มาดูข้า เพราะคิดว่าเปิ่นจั้วกำลังเศร้าเพราะเจ้าวังซีจากไปอย่างงั้นรึ?”
“ไม่.”
ลู่เชียนเชียนเอ่ย “ศิษย์กังวลว่า เจ้าสำนักจะไม่สามารถขึ้นจากหลุมเสน่ห์ของเจ้าวังที่งดงามเลิศล้ำได้นะสิ.”
จุนซ่างเซียวที่หมดคำจะพูด “ภายในสำนักเราก็มี เจ้าและถางจู่ลี่ที่เป็นสาวงามที่เลิศล้ำ เปิ่นจั้วไม่เห็นต้องเศร้าอะไร หรือต้องการสตรีอื่นมาเพิ่มเลย.”
“.”
ในเวลานั้น ลี่ลั่วฉิวที่เดินเข้ามาจากด้านนอก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จู่ ๆ เจ้าสำนักก็มากล่าวชมอย่างไร้เหตุผลเลย.”
ลู่เชียนเชียนที่ก้าวออกไป.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ถางจู่ลี่ มีเรื่องอันใดอย่างงั้นรึ?”
ลี่ลั่วฉิวขยิบตาให้ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้ามารบกวนท่านอย่างงั้นรึ?”
จุนซ่างเซียว “......”
ลี่ลั่วฉิวที่ไม่ได้กล่าวล้ออีก กลับเข้าสู่หัวข้อ “เจ้าสำนักที่ให้ข้าตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องชุมนุมพูดคุยวิถียุทธ์บนเทือกเขาหัวซานใช่หรือไม่?”
“อืม.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.
ภารกิจสนับสนุน ที่ให้คะแนนสนับสนุน แน่นอนว่าเขาจำเป็นต้องไป.
ลี่ลั่วฉิวเอ่ย “เท่าที่ข้ารู้มา นี่คือการชุมนุมใหญ่ที่มีนิกายระดับห้าขั้นต่ำสุด กล่าวได้ว่าหากเราไปนั้น ดูจะไม่เหมาะสมเล็กน้อย.”
บนเทือกเขาหัวซาน เป็นงานชุมนุมของเจ้านิกายพูดคุยกันอย่างงั้นรึ?
คงจะกล่าวได้ว่าเป็นงานชุมนุมของเจ้านิกาย ที่มีระดับสูงขั้นที่ห้าขึ้นไป.
สำนักไท่กู่เจิ้งในเวลานี้ แม้นว่าจะมีชื่อเสียงยกระดับขึ้นมากมาย ทว่าก็ยังเป็นสำนักระดับเจ็ด.
“ถึงจะยกระดับสำนักในเวลานี้ ก็คงเป็นเพียงสำนักระดับหก.”
จุนซ่างเซียวที่เรียกหลี่ชิงหยาง มาสอบถามเกี่ยวกับพลังบ่มเพาะของศิษย์ หลังจากได้รับรายงาน ว่าศิษย์ใหม่นั้นได้ยกระดับเพียงพอที่จะยกระดับเป็นสำนักขั้นหกได้แล้ว.
ไม่จำเป็นต้องรออะไรอีก ถึงเวลาเรียกสมาคมรับรองสิทธิ์มาประเมิน!
“ถางจูลี่.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “แจ้งไปยังผู้จัดการร้านอาหารสัตว์ชิงหยาง ให้ไปติดต่อจวีซือรับรองสิทธิ์เจา เดินทางมาทดสอบระดับของสำนักไท่กู่เจิ้งด้วย.”
“ทราบแล้ว.”
ลี่ลั่วฉิวที่ถอยออกไป.
......
สมาคมรับรองสิทธิ์ เมืองชิงหยาง.
เจาซิงเหมิงที่ดูลังเลขึ้นมาเหมือนกัน.
เขาที่ได้รับข้อมูลจากจุนซ่างเซียว ขอให้เดินทางไปประเมินรับรองสิทธิ์สำนักไท่กู่เจิ้ง เขาที่เกิดความสงสัย เขาไปเอง หรือว่าต้องแจ้งไปยังสำนักงานใหญ่ให้มาประเมินดี?
“ศักยภาพ 3 A ย่อมเป็นที่จับตามองจากสำนักงานใหญ่รับรองสิทธิ์เป็นอย่างมาก เขาจึงไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดได้.”
เจาซิงหมิงที่เร่งรีบแจ้งไปยังสำนักงานใหญ่สมาคมรับรองสิทธิ์อย่างรวดเร็ว.
เช้าวันถัดมา.
จดหมายจากสำนักงานใหญ่ เกี่ยวกับการยกระดับสำนักไท่กู่เจิ้ง สามารถให้เขารับผิดชอบด้วยตัวเอง.
เจาซิงหมิงที่เผยความตื่นเต้นดีใจออกมา.
กับสำนักที่มีประสิทธิภาพสูง สำนักงานใหญ่ที่มอบหมายให้เขารับผิดชอบด้วยตัวเอง อธิบายได้ว่าเขาได้รับการเชื่อใจเป็นอย่างมาก!
“หวังว่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น การยกระดับครั้งนี้ทำให้คาดหวังได้!”
เจาซิงหมิงที่กุมจดหมายแน่น เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ.
แน่นอน.
เขารับรู้ดี หากทำผลงานได้ดี เขาก็จะได้รับการขึ้นเงินเดือน ทว่าก็ต้องดูศักยภาพของสำนักไท่กู่เจิ้งด้วย!
“จวีซือ.”
สมาชิกรับรองสิทธิ์คนหนึ่งที่ก้าวเข้ามา “คนของสำนักหลิงเสอได้มารอรับรองระดับ ตอนนี้รออยู่ด้านนอกห้าวันแล้ว.”
“สำนักหลิงเสอ?”
เจ้าซิงหมิงที่กล่าวในใจ “ไม่ใช่สำนักระดับเก้าของพันธมิตรร้อยสำนักหรอกรึ?”
สมาชิกคนดังกล่าวเอ่ยออกมาด้วยว่า “ผู้นำฉินได้ส่งจดหมายแนะนำมาด้วย.”
เจ้าซิงหมิงที่รับจดหมายออกมา เนื้อหาเอ่ยออกมาว่า จวีซือเจา สำนักหลิงเสอนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉินโหมว โปรดอำนวยความสะดวกด้วย แล้วฉินโหมวจะเตรียมของขวัญขนาดใหญ่เข้าเยี่ยมเยือน.
ก่อนหน้านี้ หากได้ยินคำว่า ของขวัญขนาดใหญ่ จวีซือเจาต้องตื่นเต้นเปี่ยมด้วยความดีใจอย่างแน่นอน.
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาที่ขยี้จดหมายไปในทันที เอ่ยออกมาว่า “บอกเจ้าสำนักหลิงเสอ ให้เขารอคอยที่เมืองชิงหยางก่อน จวีซือผู้นี้มีงานสำคัญที่ต้องทำ.”
“ครับ.”
เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวที่ถอยออกไป.
เจาซิงหมิงที่แค่นเสียงเย็นชา “ฉินเห่าหราน ฮึ เหล่าจื่อและเจ้าเคยตกลงกันลับ ๆ แล้วไง หากไม่เพราะว่าสำนักไท่กู่เจิ้งได้การประเมินสามA บิดาอาจจะทำตาม ตอนนี้ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าสั่งข้า!”
ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักจุนเคยกล่าวชี้แนะเขามาก่อนแล้ว.
ดังนั้น หากเป็นคนของสมาคมร้อยสำนักล่ะก็ เขาจำเป็นต้องปล่อยให้รอคอยและทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัดที่สุด.
เช้าวันถัดมา.
เจาซิงหมิงที่เตรียมอุปกรณ์ประเมิน พร้อมกับเดินทางไปยังสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยความเร็วสูง.