Chapter 12: สอบสวน
"นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ?" คอลลีนคำรามใส่ฉินหราน
"เปล่า" เขาตอบ
ดวงตาของคอลลีนเบิกกว้างราวกับเธอคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
"ผมรู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรและรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผมรู้ว่าฐานของอีแร้งน่าจะมีการป้องกันแน่นหนา ผมรู้ว่ามันอันตรายแต่ผมต้องทำ มันเป็นโอกาสที่ดีมาก!" ฉินหรานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "อีแร้งส่งคนของมันมาตามล่าพวกเรา เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันไม่ต้องการให้พวกเรามีชีวิตอยู่และหลังจากที่ล้มเหลวคราวนี้มันจะส่งคนมามากกว่าเดิม เหมือนที่คุณบอก มันจะไม่หยุดจนกว่าจะฆ่าพวกเราได้ ไอ้คนสารเลวนั่นจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาศักดิ์ศรีและอัตตาของมัน แสดงให้มันรู้ว่าพวกเราก็มีเขี้ยวเล็บดีกว่าเอาแต่วิ่งหนีเหมือนหนูสกปรก" ฉินหรานพูด
เขาเตรียมตัวมาก่อนแล้วนิดหน่อยดังนั้นจึงสูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดต่อ
"ตอนที่อีแร้งส่งคนมาครั้งหน้า มันจะไม่เหมือนที่พวกเราเพิ่งจัดการไป พวกมันจะระแวดระวังกว่าเดิมจากผลงานของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจะลงมือกับพวกมันได้ยากขึ้น! และอย่าได้คิดจะแอบลอบลงมือกับพวกมันได้อีก พวกมันต้องสวมเกราะที่ดีขึ้น และพกอาวุธที่ดีขึ้น อย่าบอกผมนะว่าก่อนที่จะเกิดสงครามนี่ตำรวจใช้แค่ปืนกระจอก ๆ พวกนี้ในการรักษาความสงบน่ะ!" ฉินหรานพูดในขณะมองไปที่ของที่เพิ่งลูทมาได้
"แต่... แต่ว่า..." คอลลีนขมวดคิ้ว เหมือนเธออยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูด เธอรู้ว่าฉินหรานกำลังพูดความจริง แม้ว่าเธอจะรังเกียจอีแร้งแต่เธอก็ปฏิเสธความจริงว่ามันมีอำนาจไม่ได้
"พวกเราจำเป็นต้องเป็นฝ่ายลงมือก่อนที่พวกมันจะทันรู้ตัวและลากพวกมันออกมา พวกมันทั้งหมดเลย" ฉินหรานพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"ได้! ฉันเข้าใจที่นายพูดแต่นายต้องรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่งานง่าย ๆ นะ!" คอลลีนยกมือยอมแพ้ให้กับแผนของฉินหราน แต่คำพูดของเธอก็ยังแฝงการโน้มน้าว คอลลีนอยากมีคู่หูระยะยาวที่เธอสามารถพึ่งพาได้ คำพูดของฉินหรานนั้นมีเหตุผลเธอก็ได้แต่หวังว่าแผนการของเขาจะสำเร็จได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด
ตอนนี้พวกเขานำอีแร้งอยู่หนึ่งก้าว
คอลลีนกระทั่งหวังจะได้แลกเปลี่ยนของที่พวกเขาได้มาเพื่อสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันเพื่อให้เธอมีโอกาสรอดนานขึ้นอีกสักนิดในสงครามบ้า ๆ นี้ เธออยากมีชีวิตรอดต่อให้มันจะหมายถึงว่าเธอต้องใช้ชีวิตแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ
อย่างไรเสียเธอก็อยู่รอดมาได้สี่เดือนด้วยวิธีนี้
แต่ว่าฉินหรานนั้นเป็นคนละกรณีกัน เขาเป็นผู้เล่น ผู้เล่นที่ต้องดิ้นรนหาของในเกมไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อให้เขาได้เข้ารับการรักษาโรค เพื่อการนั้น เขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น จัดการกับ NPC มากเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ได้ของในเกมเยอะ ๆ ได้เงินเพียงพอกับค่ารักษาพยาบาล ในสายตาฉินหราน อีแร้งดูเหมือนบอสในดันเจี้ยนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป
ส่วนจะให้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ น่ะเหรอ? ถ้าเขาเป็นผู้เล่นทั่วไปก็อาจจะทำแบบนั้น แต่นี่ไม่ใช่
"ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องทำให้แน่ใจว่าแผนของเราจะได้ผลและดำเนินไปอย่างราบรื่น คุณช่วยผมจับตามองข้างนอกนั่นหน่อยได้ไหม? อ้อ แล้วผมก็ต้องขอยืมมีดของคุณด้วย" ฉินหรานบอกคอลลีนพลางชี้นิ้วไปที่ตัวประกัน
"ได้สิ" คอลลีนตอบ เธอถอนหายใจก่อนที่จะเดินออกไปอีกด้านของซากตึก
ซากปรักหักพังนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์หนึ่ง มีจุดสังเกตการณ์ที่ได้เปรียบ มุมมองกว้างพอที่จะเห็นศัตรูที่จะเข้ามาแต่ก็ยังมีที่กำบังอยู่ ก่อนที่เธอจะออกไปเฝ้าข้างนอก คอลลีนก็ทิ้งมีดเอาไว้ให้ตามที่ฉินหรานขอ
เดิมทีมันก็เป็นมีดของเขาอยู่แล้ว ก็แค่ยืมมาใช้ในแผนการคืนนี้เท่านั้น คอลลีนไม่ได้ปฏิเสธหากเขาต้องการมีดคืนไป ก้เขาจะเอามันไปทำอะไรกันล่ะ? เธอรู้ แต่ก็ยังสนับสนุนเขาที่
หลังจากเกิดสงคราม คอลลีนเปลี่ยนไปมาก เธอไม่ได้ดื้อรั้นยึดติดกับความถูกต้องในความคิดของเธอเหมือนที่เคยเป็น สิ่งเดียวที่เธอสนใจคือการเอาตัวรอด การมีชีวิตรอดคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนาในระหว่างสงคราม และเธอเองก็ด้วย
เมื่อฉินหรานเห็นคอลลีนออกไปประจำจุดแล้วเขาก็หันมาหาโจรที่จับมาได้ เขาไม่รู้ว่าคอลลีนคิดอย่างไรและไม่จำเป็นต้องรู้ ทั้งหมดที่เขาต้องรู้ก็คือว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้วและเธอก็เชื่อถือได้ ฉินหรานเตะปลุกโจรให้ได้สติ
"ได้โปรด ได้โปรดเถอะ ได้โปรดปล่อยฉันไป!" โจรร้องขอทันทีที่ฟื้นขึ้นมา
"ฉันจะปล่อยแกไปหลังจากที่แกบอกสิ่งที่ฉันอยากรู้" ฉินหรานบอกมันด้วยน้ำเสียงสงบ แต่ว่าน้ำเสียงแบบนั้นดูเหมือนจะทำให้โจรที่ถูกจับมาหวาดกลัวมากกว่าเดิมเพราะมันฟังไม่ออกเลยว่าฉีนหรานตั้งใจจะทำอะไร สิ่งที่ฉินหรานพูดนั้นจะจริงหรือเท็จ มันไม่มีทางเลือก ฉินหรานเป็นฝ่ายควบคุมชีวิตของมัน
"แกอยากรู้อะไร?" มันถามเสียงเบา
"ทุกอย่างที่แกรู้เกี่ยวกับอีแร้ง ที่ตั้งแน่นอนของรังของพวกแกและจำนวนลูกน้องของมันที่นั่น!" ฉินหรานพูด
"ฉันรู้เรื่องอีแร้งไม่มาก แต่รังอยู่ที่บรอดเวย์ที่หก ที่พื้นที่เก็บของชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า พวกเรามีกัน 20 คน...อ๊ากกกก!" ก่อนที่มันจะพูดจบ มันก็กรีดร้องอย่างทรมาน
ฉินหรานใช้มีดตัดนิ้วของมันออกทิ้งนิ้วหนึ่ง
"หุบปาก! ไม่ต้องบอกฉันเรื่องพื้น ๆ โง่ ๆ ที่ทุกคนก็รู้ดี! บอกในสิ่งที่ฉันยังไม่รู้! แกมีโอกาสอีกสองครั้ง!" ฉินหรานพูด ถือมีดไว้ในมือแล้วมองไปที่มัน
"ฉันไม่รู้เรื่องมันจริง ๆ ก่อนสงครามมันไม่ได้เป็นที่รู้จัก แต่มีชื่อเสียงขึ้นมาตอนสงครามเริ่มขึ้น ฐานที่มั่นอยู่ห้องเก็บของชั้นใต้ดินจริง ๆ แต่ฉันคิดว่าที่นั่นอาจจะมีคนประมาณสามสิบ เจ้านายเพิ่งเลือกลูกน้องเพิ่มเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา!" ความเจ็บปวดและความกลัวทำให้โจรนั่นคายข้อมูลออกมามากขึ้น
สามสิบคน?
ฉินหรานหรี่ตา
สามสิบคนนั้นเป็นคนละเรื่องเลย คนเพิ่มมากสิบคนนั้นทำให้ทุกอย่างต่างออกไปมาก ถ้าอีแร้งมีลูกน้องแค่ยี่สิบคน ฉินหรานก็ต้องเผชิญหน้ากับคนอีกแค่สิบเอ็ดคนหักที่เขาเพิ่งฆ่าไปกับอีกสองคนเมื่อวันก่อน แต่ตอนนี้ยังต้องสู้กับคนอีกยี่สิบเอ็ดคน
ระดับความเครียดของเขาพุ่งพรวด จากนั้นเขาขมวดคิ้ว
"พวกแกเลี้ยงคนตั้งสามสิบกว่าคนได้ยังไงในสถานการณ์แบบนี้ถ้าไม่ใช่ว่ามีน้ำและอาหารไม่จำกัด? ต่อให้ฐานที่มันของพวกแกอยู่ในห้าง แต่ที่นั่นก็ไม่ใช่ซูเปอร์มาร์เก็ต! อย่าบอกฉันนะว่าอีแร้งไดำอาหารและน้ำมาจากสถานีตำรวจ! แกกำลังโกหกฉัน!" พอพูดจบฉินหรานก็ยกมีดขึ้นอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาอันสงบสุข สงครามดำเนินมาได้สักระยะแล้ว ผ่านมา 4 เดือน อาหารและน้ำในพื้นที่สงครามใกล้จะหมดแล้ว ฉินหรานเองก็ได้รู้ถึงความสำคัญของน้ำและอาหารแล้วในตอนนี้แม้ว่าเขาจะเพิ่งมาที่นี่ได้เพียงแค่สองวัน แล้วเจ้าโจรนี่ก็ไม่ได้มีท่าทีหิวโหยหรือกระหาย ตรงกันข้าม มันดูแข็งแรงและมีชีวิตชีวา ถ้าแค่คนสองคน มันก็ดูเป็นไปได้ แต่นี่ทุกคนที่ฉินหรานฆ่าไปก็ดูสุขภาพปกติทั้งหมด มันเหมือนกับว่าโจรพวกนี้มีอาหารและน้ำเพียงพอ หรืออาจจะมีเหลือเฟือเลยด้วยซ้ำ สงครามอาจจะดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง และการหาอาหารและน้ำให้เพียงพอต่อผู้ชายโตเต็มวัยอย่างน้อย 30 คนไม่ใช่เรื่องง่าย อีแร้งต้องวางแผนล่วงหน้าไปอีกอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์เพื่อให้กองกำลังของมันรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้
นี่น่าจะทำได้ยากเมื่อคิดถึงจำนวนและอาวุธที่อีแร้งมีอยู่ พวกมันไม่สามารถบุกเข้าไปเอาอาหารและน้ำพวกนี้มาจากร้านขายส่งได้ เพราะร้านพวกนี้ก็คงถูกกวาดเรียบไปก่อนแล้ว ตั้งแต่เกิดสงคราม ชาวเมืองคงเข้าไปกวาดข้าวของตามร้านแบบนี้ออกมาจนหมดก่อนแล้ว
เพราะเหตุนี้ฉินหรานจึงรู้ว่าโจรกำลังพูดโกหก
"เปล่า ฉันไม่ได้โกหก! ไม่! อีแร้งใช้เส้นสายของเขาหาน้ำและอาหารเข้ามา!" โจรหดตัวหนีเมื่อเห็นฉินหรานยกมีดขึ้นอีกครั้ง
"เส้นสายอะไร?" ฉินหรานถาม
โจรลังเล แต่ฉินหรานไม่ เขากดมีดลง ตัดนิ้วของมันออกมาอีก
"อ๊ากกก!" โจรกรีดร้องอีกครั้ง
"เหมือนว่าแกจะยังไม่ค่อยเข้าใจ ให้ฉันถามอีกทีไหม?" เขาพูดก่อนที่จะยกมีดขึ้นอีกครั้ง
"จากกบฏ! จากพวกกบฏ!" โจรรีบตอบ
"พวกกบฏ?" ฉินหรานเริ่มงง
เขาไม่เคยคิดว่าอีแร้งจะมีการติดต่อกับกลุ่มก่อจราจล ตามที่เขารู้มา อีแร้งเป็นแค่โจรกระจอกที่ไหนก็ไม่รู้ตอนก่อนเกิดสงคราม แล้วมันจะไปสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มก่อจราจลได้ยังไง?
"อีแร้งจับตัวพวกผู้หญิง็ส่งให้พวกนั้นเป็นการแลกเปลี่ยน!" โจรรีบอธิบายเพิ่มเพื่อหยุดไม่ให้ฉินหรานตัดนิ้วอื่นของมันออกอีก
ข้อมูลนี้ทำให้ฉินหรานโมโห เขากำมีดแน่นเมื่อได้รู้ว่าข้อแลกเปลี่ยนระหว่างอีแร้งกับหัวหน้ากลุ่มก่อจราจลคือะไร ความโมโหเปลี่ยนเป็นความอยากลงมือฆ่า แต่ว่าเขาก็ยังใจเย็นอยู่
"ดีมาก ดูเหมือนว่าแกจะเข้าใจวิธีการพูดคุยระหว่างเราขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ฉันอยากให้แกเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับสภาพฐานที่มั่นของพวกแกกับตำแหน่งเวรยาม ทุกอย่าง! เดี๋ยวนี้!" ฉินหรานพูด
"ได้.. ได้เลย!" โจรที่ถูกจับตัวไว้พยักหน้าและคายความลับออกมา มันไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาของฉินหรานเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง
.
.
.
.