ตอนที่ 31 : การ์ดรักษาใบเอกของแรนช์
อีกด้านหนึ่งของที่ราบอันกว้างใหญ่ไอเลวิน
เฟอร์ราตซึ่งกำลังรุดไปทางแรนช์มีหน้าตาที่บิดเบี้ยวและดุร้ายโดยไม่สนใจการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของแรนช์
ดวงตาที่แดงก่ำของเขาเปล่งประกายด้วยเปลวไฟอันบ้าคลั่ง เหมือนหมาป่าผู้หิวโหยปกคลุมไปด้วยบาดแผลในคืนที่มืดมน ทั้งอันตรายและดุร้าย ความเกลียดชังที่แผดเผาอยู่ในอก ราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออกมาแผดเผาโลกทั้งใบ
แม้ว่าแรนช์ต้องการใช้เอฟเฟ็กต์พิเศษของเขา แต่การ์ดแค่ใบเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้เปลี่ยนแปลงอะไรได้
แม้แต่การตอบโต้ที่ค่อนข้างรุนแรงก็ยังต้องใช้การ์ดอย่างน้อยสามใบ
เฟอร์ราตรู้ดีว่าถึงแม้เขาจะฝ่าฝืนเจตจำนงของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นและปล่อยไฮพีเรียนไป แต่เขาจะไม่มีวันปล่อยแรนช์หนีไปเด็ดขาด!!
“ให้ตายเถอะ!! ใครจะไปปกป้องนายได้ในเมื่อนายเยาะเย้ยเขาหนักขนาดนั้น!”
ขณะที่ไฮพีเรียนกำลังไล่ตามเฟอร์ราต เธอรู้สึกว่าทุกอย่างคงจบลงแล้ว
การเยาะเย้ยของพยาบาลเปียกอย่างแรนช์มันรุนแรงเกินกว่าจินตนาการของไฮพีเรียนมาก แถมเขายังทำให้เฟอร์ราตตกอยู่ในสภาพเกรี้ยวกราดสุดขีดอีก
ดูเหมือนว่าเฟอร์ราตผู้บ้าคลั่งจะปลุกศักยภาพบางอย่างขึ้นมา ไฮพีเรียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฟอร์ราตจะน่ากลัวได้ขนาดนี้
ห่างออกไป
แรนช์ที่ยืนนิ่งอยู่ทางด้านอีกฝั่ง
“อาจารย์เฟอร์ราต ขอบคุณอย่างยิ่งที่เป็นห่วงผม”
แรนช์มองดูเฟอร์ราตที่บินเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ อย่างจริงใจ
เดิมทีแรนช์คิดว่าการสอบจะง่ายกว่านี้ แค่ร่วมมือกับเพื่อนร่วมทีมแล้วร่าย [การสื่อสารที่เป็นมิตร] ใส่ผู้คุมสอบ โดยพื้นฐานแล้วเขาก็น่าจะสามารถสอบผ่าน
น่าเสียดายที่เขาได้พบกับผู้คุมสอบที่เข้มงวด
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขายังคงให้ความเคารพผู้คุมสอบเป็นอย่างมาก
เมฆดำทะมึนเข้าปกคลุมท้องนภา ราวกับว่าต้องการทำให้ที่ราบไอเลวินทั้งหมดตกอยู่ภายใต้ความเงียบอันน่าแปลกประหลาด แสงแดดถูกบดบังอย่างแน่นหนา เหลือเพียงแสงสลัวจางๆ ที่กรองผ่านช่องว่างในหมู่เมฆจนแทบส่องไม่ถึงพื้นของทุ่งหญ้า
ในสายตาของแรนช์ ร่างของเฟอร์ราตนั้นน่ากลัวราวกับพายุโหมกระหน่ำ ทั้งไม่อาจหยุดยั้งและไม่อาจต้านทานได้
“อาจารย์โปรดใจเย็นก่อน!”
เสียงของแรนช์นั้นชัดเจนและฟังดูนุ่มนวล เขามองไปยังเฟอร์ราตด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ราวกับว่าเขาต้องการบรรเทาความโกรธของอีกฝ่าย
หรือไม่บางทีเขาอาจต้องการใช้การ์ดเวทมนตร์ในมือใบนี้รักษาเยียวยาหัวใจของเฟอร์ราตที่ถูกกลืนหายไปด้วยความโกรธ
ขณะที่พลังเวทย์ของแรนช์ถูกฉีดเข้าไปในการ์ดใบนี้ แสงสีส้มที่ลุกโชติช่วงก็ล้นทะลักออกมาจากมือของแรนช์ทันที
ประกายแสงกระจัดกระจายสาดออกไปทุกทิศทาง ก่อตัวเป็นโทเท็มสีทองกลางอากาศ!
การ์ดเวทมนตร์ในมือของแรนช์ก็ค่อยๆ จางหายไปและเริ่มกลายเป็นสิ่งที่มีตัวตนอยู่จริง
ทันใดนั้นหมอกแห่งแสงก็พวยพุ่งเข้าสู่ทุ่งหญ้า กระจายไปทั่วราวกับพรของเหล่าทวยเทพ ปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดินในคราวเดียว ปลุกพลังชีวิตที่ถูกเมฆดำทะมึนบดบังไว้ให้ฟื้นตื่น
ตามมาด้วยกลิ่นอายอันอ่อนโยนของเสียงนกร้องและหมู่มวลบุปผา
บนขอบฟ้า ท้องนภาอันมืดมิดแต่เดิมเริ่มสว่างขึ้น
แสงที่ส่องลงมาจากช่องว่างในหมู่เมฆราวกับเสาแสงสีทอง ทะลุผ่านเมฆดำพร้อมกับมอบแสงสว่างให้แก่ทุ่งหญ้า
ในเวลานี้ดอกไม้ต่างบานสะพรั่ง มวลหมู่เมฆเคลื่อนมารวมตัวกัน!
และศูนย์กลางของปาฏิหาริย์ดังกล่าวก็อยู่ตรงหน้าแรนช์
...
ห้องประชุมของสถาบันนักปราชญ์ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยเสียงอุทานเท่านั้น ฉากต่างๆ ยังเริ่มกลายเป็นชุลมุนวุ่นวาย แม้แต่ช่างฝีมือเวทมนตร์และอาจารย์หลายคนของสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์ที่สังเกตการณ์อยู่เบื้องหลังก็ยังมองดูการสอบในหน้าจอด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“เขาใช้การ์ดมหากาพย์จริงๆ งั้นเหรอ!”
“มหากาพย์ยังแบ่งออกเป็นการ์ดเสื่อมทรามและการ์ดศักดิ์สิทธิ์ด้วย ไม่รู้ว่าการ์ดของเขาจะเป็นยังไง”
ทอดตามองทั่วโรงเรียนชื่อดังหลายแห่งในทวีปทางใต้ นักเรียนที่สามารถครอบครองการ์ดเกรดมหากาพย์ได้นั้นมีไม่มาก
[สีส้มมหากาพย์] คือการ์ดเวทมนตร์ระดับสูงสุดที่สิ่งมีชีวิตสามารถพบเห็นได้ในโลกใบนี้!
การ์ดมหากาพย์แต่ละใบต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นสิ่งที่คงอยู่มาเป็นเวลานานและดำเนินไปตามประวัติศาสตร์โลก
เมื่อมันถูกผูกมัดกับจิตวิญญาณของตนเองแล้ว จะไม่สามารถปลดออกได้เว้นแต่ว่าจะทำลายมัน ซึ่งส่งผลให้ความเสียหายตรงส่วนนั้นไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างถาวร
ดังนั้น การ์ดเกรดมหากาพย์ส่วนใหญ่จึงสูญหายไปในหน้าประวัติศาสตร์เมื่อผู้ถือครองเสียชีวิต และไม่ถูกส่งต่อไปยังรุ่นต่อไป
ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจำนวนอันน้อยนิดของพวกมันในทุกยุคสมัย
“การ์ดเกรดมหากาพย์อาจไม่เหมาะกับคนคนหนึ่งเสมอไป การผูกมัดกับมันก็เท่ากับพื้นที่ว่างในจิตวิญญาณถูกครอบครองอย่างถาวร การเลือกการ์ดเกรดมหากาพย์เข้ากับโครงสร้างทักษะของตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ อาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป”
สิ่งที่ทำให้คนผู้หนึ่งแข็งแกร่งได้คือการ์ดเกรดศักดิ์สิทธิ์และมหากาพย์ แต่สิ่งที่สามารถทำลายผู้แข็งแกร่งได้ก็เป็นการ์ดเกรดศักดิ์สิทธิ์และมหากาพย์เช่นกัน!
ยิ่งเกรดของการ์ดสูงเท่าไหร่ การผูกมันเข้ากับจิตวิญญาณก็จะยิ่งยากขึ้นและอิสระในการปรับโครงสร้างทักษะก็จะน้อยลงเท่านั้น
นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการ์ดสองเกรดนี้อย่าง [สีชมพูศักดิ์สิทธิ์] และ [สีส้มมหากาพย์]
เมื่อมีการผูกมัดกับมันมากเกินไป พื้นที่สำหรับผูกการ์ดก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งการปรับโครงสร้างทักษะ และการปรับเปลี่ยนกลวิธีตามสถานการณ์การต่อสู้ที่ได้จากการรวมการ์ดเวทมนตร์อย่างอิสระจะหายไป
ดังนั้นการเลือกการ์ดเวทมนตร์เกรดสูงสักใบจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
คนหนุ่มอย่างแรนช์จะไม่ค่อยพิจารณาอย่างถี่ถ้วนสักเท่าไหร่เมื่อผูกการ์ดเวทมนตร์เข้ากับจิตวิญญาณ
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องที่การ์ดเกรดมหากาพย์ใบนี้จะเหมาะกับเขาหรือเปล่า การ์ดอัญเชิญอ่อนโยนแบบนี้จะหยุดเฟอร์ราตที่กำลังเกรี้ยวกราดได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
ในห้องประชุมของสถาบันนักปราชญ์ เหล่าอาจารย์อดไม่ได้ที่จะกังวล
การ์ดเกรดมหากาพย์มักจะกลายเป็นแกนหลักของโครงสร้างทักษะได้
แต่เห็นได้ชัดว่าวัตถุอัญเชิญของแรนช์ไม่ใช่สิ่งที่ดุดันและทรงพลัง
มันคือวัตถุอัญเชิญประเภทสนับสนุนที่ดูอ่อนแอ
ทุกคนเห็นมันหน้าจอเวทมนตร์
สายลมพัดพากลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ น้ำค้างบนยอดหญ้าใสกระจ่างราวกับไข่มุกโปร่งใสนับไม่ถ้วนสะท้อนแสงหลากสี
เช่นเดียวกับภาพเทพธิดาลงมาเยือนโลก ทุ่งหญ้าเปลี่ยนจากมืดมนและหดหู่เป็นฉากที่สวยงามหลังฝนตก แม้กระทั่งแลดูคล้ายกับโลกแห่งเทพนิยายที่เต็มไปด้วยความกลมกลืนและความเงียบสงบ
เทพธิดาท่ามกลางหมู่มวลบุปผาที่แรนช์อัญเชิญออกมาสะท้อนทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและถูกย้อมด้วยแสงของดวงอาทิตย์
ดูเหมือนว่าเวลาจะถูกกดปุ่มหยุดไว้ชั่วคราวเพื่อเธอโดยเฉพาะ
“ช่างเป็นการ์ดที่สวยงามจริงๆ”
ในห้องประชุม ทั้งชายและหญิงอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความสับสนเมื่อเห็นวัตถุอัญเชิญของแรนช์
เช่นเดียวกับงานศิลปะ มันถือเป็นผลงานชิ้นเอกของผู้สร้าง
มันช่วยรักษาเยียวยาจิตใจได้ตั้งแต่แรกเห็น
ในที่สุดแสงสลัวและหมอกก็หายไป
พร้อมกับเสียงอันสดใส —
“โลกนี้ไม่เคยมีภัยพิบัติใดๆ มีแต่ความรักอันยิ่งใหญ่!”
ร่างของหญิงสาวผมสีเทาสวมไว้ด้วยชุดสีแดงสด บนศีรษะมีมงกุฏที่ทำจากหนาม เธอหลับตาแน่น กุมมือไว้เบาๆ ราวกับกำลังขับขานบทกวีอะไรบางอย่าง
ในเวลาเดียวกัน ร่างของเฟอร์ราตกลายเป็นแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ เขารู้สึกเหมือนกับว่าในร่างกายมีอะไรบางอย่างแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
“อ๊ากกกก!!!”
เขาคำรามเสียงแหบแห้งคล้ายกับเสียงร้องอย่างสิ้นหวังของสัตว์ประหลาด กล้ามเนื้อใบหน้าของเขากระตุกอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าเขาไม่สามารถระบายความอัดอั้นที่อยู่ในหัวใจออกมาได้
ช่วงเวลาต่อมา ทันใดนั้นเฟอร์ราตก็ร่วงหล่นจากท้องฟ้าราวกับนกที่ปีกหัก!
แม้แต่ความสนใจของไฮพีเรียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดโดยวัตถุอัญเชิญอันตระการตาที่แรนช์เป็นผู้เรียกออกมา
เมื่อเธอได้ยินเทพธิดาแห่งมวลบุปผาขับขานบทกวี เธอเองก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยเช่นกัน
จิตสังหารที่อดกลั้นมานานดูเหมือนจะเริ่มสูญเสียการควบคุม เธอแทบอดใจไม่ไหวที่จะปรี่ขึ้นไปใช้กริชผ่าเปิดหัวใจของเฟอร์ราตไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
เธอรีบกุมหน้าอกที่สั่นเทาของตัวเองอย่างรวดเร็ว พยายามควบคุมการเต้นของหัวใจที่สับสนวุ่นวายของเธอให้สงบลง
เธอรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเฟอร์ราตและความผิดปกติของเธอในเวลานี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการ์ดอัญเชิญระดับมหากาพย์ใบนี้แน่นอน
มันไม่เพียงส่งผลต่อศัตรูเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเพื่อนร่วมทีมอีกด้วย!
ดูเหมือนว่าเทพธิดาแห่งมวลบุปผาคนนี้จะมีผลกระทบทางจิตวิญญาณต่อเป้าหมายทั้งหมดในพื้นที่!
ในที่สุด.
เมื่อไฮพีเรียนพยายามตั้งสมาธิและจ้องมองไปยังวัตถุอัญเชิญของแรนช์ รูม่านตาของเธอก็หดตัวลงอย่างกะทันหัน
หากมองใกล้ๆ จะพบว่าหญิงสาวที่ถูกอัญเชิญมาซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนเทพธิดาและดูบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้น
แท้จริงแล้วคือซัคคิวบัสที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่บนริมฝีปาก!
[กวีแห่งความรักผู้ยิ่งใหญ่]
[ประเภท: การ์ดอัญเชิญ]
[เกรด: สีส้มมหากาพย์]
[ระดับ: 1]
[เอฟเฟกต์: มีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดผ่านเวทมนตร์เสียง ขยายอารมณ์ของพวกเขาขึ้นสิบเท่า]
[หมายเหตุ: “ความรักสามารถสร้างและทำลายได้ทุกสิ่ง!”]
อย่างไรก็ตาม
ในเวลานี้ ผู้คุมสอบเฟอร์ราตซึ่งร่วงกระแทกพื้นอย่างแรงไม่มีโอกาสได้ใช้เวทย์ตรวจสอบเหมือนกับไฮพีเรียน
ความมีเหตุผลของเขาพังทลายลงทันทีที่เสียงของ “กวีแห่งความรักผู้ยิ่งใหญ่” ดังขึ้น
อารมณ์ที่เกินขีดจำกัดระเบิดออกมาจากจิตใจของเขาพร้อมกับการไหลเวียนของโลหิต
ส่งผลให้เฟอร์ราตประสบภาวะเลือดออกในสมอง
(จบตอน)