Chapter 401 เจ้าวังเมี่ยวฮัวมาเยือน.
“เจ้าวัง.”
เหม่ยเอ๋อที่ชี้ไปยังพื้นที่แห่งหนึ่งด้านหน้า “นั่นคือสนามประลองเป็นตาย.”
แม้นว่าการประลองกับสำนักปิศาจจะจบไปแล้ว ทว่าจุนซ่างเซียวก็ไม่ได้ให้ศิษย์ทำลายเก็บกวาดพื้นที่ ทว่ายังคงเก็บไว้เป็นอนุสรณ์อยู่นั่นเอง.
เพราะว่ามีเหล่าชาวยุทธ์ของมนทลชิงหยางที่ผ่านมาชมอยู่เรื่อย ๆ พวกเขาต่างก็ชื่นชมตัวอักษรที่เป็นเหมือนกับมังกรเหิน หงส์เพลิงร่ายรำ ที่เขาได้เขียนแขวนเอาไว้.
เพราะที่นี่ไม่มีกล้อง ไม่มีมือถือ.
ไม่เช่นนั้นสนามประลองเป็นตายนี้ คงจะมีคนมาถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกเป็นจำนวนมากแน่.
เกี่ยวกับเรื่องที่สำนักไท่กู่เจิ้งมีจักรพรรดิยุทธ์ และยังขับไล่กษัตริย์ยุทธ์ขั้นปลายจากไป เจ้าวังซีได้ยินมาระหว่างทาง จึงรู้เรื่องราวกับกับสนามประลองเป็นตายแห่งนี้นั่นเอง.
“เหม่ยเอ๋อ ป้ายทางเข้าสนามประลอง เจ้าสำนักจุนเขียนขึ้นด้วยตัวเอง ตัวอักษรเจ้าสำนักจุนเป็นอย่างไรบ้าง?”ซีจิงเสวียนที่เอ่ยกล่าวด้วยความสงสัย.
เหม่ยเอ๋อเอ่ย “งั้น ๆ ล่ะ.”
เป็นคำพูดที่ขัดกับใจของนางเป็นอย่างมาก.
ตัวอักษรของเจ้าสำนักจุนที่ดูมั่นคง สง่างาม เป็นรูปแบบที่เหมือนดั่งปรมาจารย์อย่างแน่นอน.
เหม่ยเอ๋อที่ต้องกล่าวเช่นนั้น เพราะเจ้าวังนั้นชื่นชอบในการเขียนอักษร หากรู้ว่าคนผู้นี้เขียนอักษรได้งดงาม จะต้องหลงใหลเขาแน่นอน.
“น่าเสียดายจริง ๆ.”ซีจิงเสวียนที่เศร้าขึ้นมาทันที่ “ที่ไม่ได้เห็นตัวอักษรที่เจ้าสำนักจุนเขียน.”
เหม่ยเอ๋อและศิษย์คนอื่น ๆ ที่เปลี่ยนเป็นกระวนกระวายใจขึ้นในทันที.
“เจ้าวัง ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องเดินทางต่อแล้วรึ?”
“เจ้าวัง ท่านจะทำเป็นเศร้าไม่ได้ มันดูไม่งดงาม เจ้าสำนักจุนเห็นจะต้องขำแน่นอน.”
คำพูดดังกล่าวที่ราวกับได้ผลทันที ท่าทางห่อเหี่ยวของซีจิงเสวียน ทันใดนั้นก็ยิ้มแย้มขึ้นมาทันที จากนั้นก็กล่าวออกไปว่า “ตอนนี้ข้างดงามรึยัง?”
“......”
เหม่ยเอ๋อและศิษย์คนอื่น ๆ ถึงกับพูดไม่ออกไปในทันที.
......
ซีจิงเสวียนที่มีศิษย์พยุงแขนก้าวขึ้นเขาไท่กู่ จุนซ่างเซียวที่ได้รับการแจ้งเตือน เขาที่สวมชุดสำนักพร้อมกับหวีผมเรียบแป้ มารอที่หน้าประตูทางเข้าสำนัก.
สตรีที่งดงามกลุ่มหนึ่งที่มาเยือน.
สำหรับสภาพบุรุษแล้ว ต้องมาต้อนรับเป็นธรรมดา อ๊าก!
“มาแล้ว มาถึงแล้ว.”
“ว้าว มีศิษย์สตรีมาด้วย อ๊าก!”
“งดงามไม่ได้ด้อยกว่าศิษย์พี่หญิง......”
ซูเซียวโม่ยังเอ่ยไม่จบด้วยซ้ำ ต้องหุบปากไปในทันที เพราะว่าหลิงหยวนเสวี๋ยและศิษย์หญิงคนอื่น ๆ ที่ส่งสายตาอันเย็นเยือบเสียดแทงเขา.
ในโลกนี้ เพียงแค่สายตาของสตรี ก็เพียงพอจะทิ่มแทงสังหารผู้อื่นได้แล้ว.
“เจ้าวัง.”
เหม่ยเอ๋อเอ่ย “เจ้าสำนักจุนมารอต้อนรับเรา.”
ซีจิงเสวียนกล่าวตะกุกกัก “เหม่ยเอ๋อ หัวใจของเปิ่นกงเต้นเร็วไปมาทำไมไม่รู้.”
เห็นเจ้าวังที่ใบหน้าแดงระเรื่อ เหม่ยเอ๋อแทบล้มทั้งยืน ลอบคิดในใจ “จบ จบแล้ว เจ้าวังมีใจให้เจ้าคนผู้นี้จริง ๆ.”
ไม่นาน.
กลุ่มสตรีก็มายืนอยู่ที่ทางเข้าหน้าประตูสำนักไท่กู่เจิ้ง.
จุนซ่างเซียวที่ก้าวเดินมา คล้ายกับว่าจะมาจับมือทักทาย ทว่ากับถูกเหม่ยเอ๋อที่เอาร่างขวาง กล่าวออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา “เจ้าสำนักจุน โปรดรักษาระยะห่างด้วย.”
“ใช่ ใช่ เสียมารยาทแล้ว.”
จุนซ่างเซียวที่ถอยออกไปสองก้าว ยกมือขึ้นประสาน “ยินดีต้อนรับเจ้าวังและศิษย์วังเมี่ยวฮัว ที่เดินทางไกลมาเยี่ยมเยือนสำนักครั้งนี้.”
“ยินดี ยินดีต้อนรับ ด้วยใจ!”
ซูเซียวโม่และศิษย์ที่ตะโกนเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง.
ซีจิงเสวียนที่เผยยิ้ม เอ่ยออกมาว่า “เปิ่นกงที่นำศิษย์มาเยือน ไม่รบกวนการฝึกฝนของเจ้าสำนักจุนและศิษย์ใช่ใหม?”
“ไม่เลย.”
จุนซ่างเซียวที่ผายมือขึ้นกล่าวออกมาว่า “เจ้าวังซี เชิญ.”
“แปะ แปะ แปะ!”
ซูเซียวโม่และศิษย์คนอื่น ๆ ที่ยืนปรบมืออย่างอบอุ่น กลุ่มของซีจิงเสวียนและศิษย์ที่มาเยือนสำนักไท่กู่เจิ้ง.
......
แม้นว่าบนยอดเขาไท่กู่จะมีการพัฒนาพลังวิญญาณรอบ ๆ แล้ว ทว่าก็ยังกล่าวได้ว่าธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แม้แต่ควรเรียกว่าธรรมดาอยู่เล็กน้อย.
ทว่าขณะเหล่าศิษย์วังเมี่ยวฮัวก้าวเข้ามาด้านใน เห็นลานยุทธ์ที่กว้างขวาง สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตโอ่อ่า ก็ทำให้ทุกคนเผยความประหลาดใจออกมา.
ก่อนหน้านี้พวกเขาพอจะคาดเดาได้ว่า สำนักระดับเจ็ดนั้น สภาพแวดล้อมและบรรยากาศสำนักควรเป็นอย่างไร ดูเหมือนว่าจะทำให้พวกนางผิดคาดไปเหมือนกัน.
ทว่าเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาว่าสามารถขับไล่สำนักปิศาจ 20 สำนักออกไปได้ แม้แต่กษัตริย์ยุทธ์ขั้นสูง การที่สำนักมีสิ่งก่อสร้างเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร.
“เหม่ยเอ๋อ.”
ซีจิงเสวียนกล่าวเสียงเบา “สำนักของเจ้าสำนักจุนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ก็งั้น ๆ”เหม่ยเอ๋อกล่าว.
นางไม่ต้องการให้เจ้าวังหลงใหลในตัวเจ้าสำนักจุน นางจึงไม่มีทางชมอีกฝ่ายนั่นเอง.
จากนี้ จุนซ่างเซียวจะไม่สามารถเข้าใกล้เจ้าวังได้ ตราบเท่าที่มีศิษย์นามเหม่ยเอ๋ออยู่ จะคอยสกัดเขาเอาไว้ให้ได้อย่างแน่นอน.
“เปิ่นจั้วได้เตรียมอาหารที่อร่อย ไว้ต้อนรับเจ้าวังซีและศิษย์ที่ทรงเกียรติของท่านแล้ว.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย.
การมีคนมาเยี่ยมเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องต้อนรับอย่างอบอุ่น นี่คือมารยาทที่เจ้าบ้านควรมี.
......
ภายในโรงอาหารที่จัดเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว.
เหม่ยเอ๋อและศิษย์คนอื่นของวังเมี่ยวฮัวที่สงสัยเล็กน้อย ว่าก่อนหน้านี้สำนักไท่กู่เจิ้งมีงานฉลองใหญ่ยังงั้นรึ? ถึงไม่ได้เก็บของตกแต่งเหล่านี้ออกไป?
“โอ้วสวรรค์!”
ศิษย์คนหนึ่งที่นั่งลงชิมอาหารบนโต๊ะก่อนที่จะอ้าปากค้าง กล่าวเสียงเบา “ศิษย์พี่ ลองชิมเร็วเข้า อาหารนี้โคตรอร่อยเลย!”
“......”
เหม่ยเอ๋อที่ต้องขมวดคิ้วไปมาเล็กน้อย.
จะดีจะร้ายนางก็มาจากนิกายระดับสี่ คาดไม่ถึงการมาเยือนสำนักไท่กู่เจิ้ง ทำให้นางรับรู้ราวกับว่าไม่เคยเห็นโลกนี้มาก่อน.
“อร่อยมาก ไม่คิดเลยว่าจะอร่อยขนาดนี้.”
เหม่ยเอ๋อที่ใช้ตะเกียบ คีบผักมากมายเข้าปากไม่หยุด.
ในเวลานี้ หลังจากที่กินไปหลายคำแล้ว นางที่บอกได้ว่าอาหารเหล่านี้อร่อยมาก ทำให้นางตื่นตะลึงเล็กน้อย.
“......”
หลังจากชิมดูแล้ว เหม่ยเอ๋อที่เข้าไปนั่งบนม้านั่ง รู้สึกอบอุ่นราวกับยืนอยู่กลางแดดท่ามกลางทะเลเวลาเช้า จิตวิญญาณที่กำลังสั่นไหวไปมา.
อร่อย.
อร่อยมาก!
หอม กลมกล่อม รสชาติยอดเยี่ยม.
เหม่ยเอ๋อที่กินจนลืมเจ้าวังซีไปเลย ใบหน้าของนางที่ราวกับจมอยู่ในโลกของอาหาร นางที่คิดว่านี่ไม่ใช่อาหารแล้ว นางกำลังกินสมบัติล้ำค่าของสวรรค์และปฐพีอยู่!
เพียงแค่อาหารเข้าปาก รู้สึกน้ำตาคลอเบ้าด้วยความอร่อย.
“เจ้าวังซี.”
จุนซ่างเซียวที่นั่งฝั่งตรงข้าม เอ่ยออกมา “ท่านไม่กินอย่างงั้นรึ?”
“เอิ่ม....”
ซีจิงเสวียนที่ใช้นิ้วของนางกำลังหมุนวนไปบนพื้นโต๊ะ “ข้า...ข้าไม่หิว...”
ไม่ใช่ว่านางไม่หิวด้วยท่าทางไม่งามเกรงว่าการกินอาหารไป กลัวว่าจุนซ่างเซียวจะหัวเราะนาง.
เจ้าสำนักจุนที่คีบอาหารขึ้นพร้อมกับวางไว้บนจานของนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สำนักไท่กู่เจิ้งของข้านั้น แม้นว่าจะไม่มีอะไรโดดเด่นนัก ทว่าอาหารที่นี่ไม่ธรรมดา เจ้าวังซีลองชิมดู.”
“เอิ่ม....ได้.”
ซีจิงเสวียนที่หยิบตะเกียบ พร้อมกับสัมผัสจานอาหารที่อยู่ด้านหน้าด้วยจิตสัมผัส.
จุนซ่างเซียวที่จ้องมองนางอย่างอาดูร.
สตรีผู้นี้ไม่เคยเห็นแสงตั้งแต่เด็ก อยู่ในโลกของความมืดตลอดเวลา ช่างน่าสงสารจริง ๆ.
หากว่าเม็ดยาฟื้นฟูระดับกลางสามารถรักษาตาของนางได้ เขายินดีที่จะมอบมันให้เป็นของขวัญให้กับนางเลย.
“ว้าว!”
ในเวลานั้น ซีจิงเสวียนที่กล่าวด้วยความประหลาดใจ “อาหารของเจ้าสำนักจุน เอ่อ สำนักไท่กู่เจิ้งทำอาหารได้อร่อยมากเลย!”
“อร่อยก็กินเถอะ.”จุนซ่างเซียวเผยยิ้ม.
“อืม อืม.”
ซีจิงเสวียนที่ไม่เก้อเขินอีกต่อไป นางที่คีบอาหารเข้าปาก แม้นว่านางจะมองไม่เห็น และดูยากลำบากกว่าคนทั่วไป แต่นางก็สามารถทำได้ทุกอย่างแม้นว่าจะช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง.
“อาหารจานนี้ ต้องกินพร้อมกับซุบด้วย.”
จุนซ่างเซียวที่หยิบซ้อนตักซุบ ทว่าทันใดนั้นเหม่ยเอ๋อก็แย่งช้อนไปในทันที “เจ้าสำนักจุน ให้ข้าเอง.”
“ได้.”
จุนซ่างเซียวที่ยังนั่งเผยยิ้ม “เจ้าวังซี วังเมี่ยฮัวห่างจากสำนักไท่กู่เจิ้งประมานเท่าใดรึ?”
“เดินทางราว ๆ หกพันลี้.”
“เฮ้ย ไกลขนาดนั้นเลย!”
ซีจิงเสวียนที่เงยหน้าจ้องมองมายังจุนซ่างเซียว “เจ้าสำนักจุนจะไปเยือนวังเมี่ยวฮัวของเราหรือไม่?”
จุนซ่างเซียวที่แทบล้มตกเก้าอี้.
เฮ้ย.
งามเข้าแล้วไง!
“เอ่อ....”
เขาที่เกาศีรษะเอ่ยออกมาว่า “หากมีเวลา แน่นอนว่าต้องไปเยือนวังเมี่ยวฮัวแน่.”
ซีจิงเสวียนเอ่ยอย่างคาดหวัง “แล้วเมื่อไหร่เจ้าสำนักจุนจุนจะมีเวลาว่างล่ะ?”
“เรื่องนี้......”
ดูเหมือนว่านางต้องการให้เขากลับไปเยือนวังเมี่ยวฮัวกลับขนาดนั้นเลยรึ?
จุนซ่างเซียวที่ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยออกมาว่า “บางทีอาจจะ 2-3 เดือน หรืออาจจะ 2-3 ปี.”
ซีจิงเสวียนเผยยิ้ม “เช่นนั้นกล่าวแล้วอย่าได้คืนคำ เมื่อไหร่ที่เจ้าสำนักจุนไปเยือน เปิ่นกงก็จะเตรียมพ่อครัวที่ดีที่สุด ทำอาหารต้อนรับเจ้าสำนักจุนอย่างอบอุ่นเลย.”
เห็นรอยยิ้มที่เฉิดฉายของเจ้าวัง เหม่ยเอ๋อหมดคำจะพูดจริง ๆ ลอบคิดในใจ “ไม่ไหว ไม่ไหวจะขวางจริง ๆ....”