บทที่ 9 สุนัขเสี้ยวเทียนปรากฏ
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง”
ท่ามกลางเสียงร้องคร่ำครวญอย่างเศร้าสลดปนขุ่นเคืองของกลุ่มผู้บ่มเพาะ หมาดำตัวนั้นยังคงวิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้นโดยไม่ใส่ใจสีหน้าฉุนเฉียวที่แสดงออกมาจากเหล่าผู้บ่มเพาะเลย ลิ้นยาวที่ยื่นออกปากจนน้ำลายกระเซ็นไปทั่วของมันกลับชวนตลกขบขันเสียมากกว่าจะดูน่าขุ่นแค้นใจกับมันเสียอีก
คำราม เสียงคำราม...
สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนส่งเสียงคำรามครั้งแล้วครั้งเล่าสั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าทั่วแผ่นดินทำให้จิตใจของเหล่าผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรกลั่นลมปราณถึงกับตึงเครียดหน้าถอดสี ทุกคนต่างแช่งด่าที่ขาทั้งสองข้างวิ่งเร็วได้เพียงแค่นี้
ฉินจวินที่กำลังถูกต้าจี๋กอดลอยอยู่เหนือพื้นมองลงไปยังกระแสคลื่นจากเหล่าสัตว์อสูรที่วิ่งกรูกันมาราวกับสึนามิ เขานึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามสิ่งที่อยู่ในใจ “ระบบ การฆ่าสัตว์อสูรจะได้รับคะแนนประสบการณ์หรือไม่”
“ได้ แม้พลังจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่คะแนนประสบการณ์ที่ได้รับจากการสังหารสัตว์อสูรนั้นจะน้อยกว่า”
คำตอบของระบบทำให้จิตใจฉินจวินถึงกลับฮึกเหิมขึ้นมาทันที ที่นี่มีสัตว์อสูรตั้งมากมายหากพวกมันถูกฆ่า เขาคงได้รับคะแนนประสบการณ์คุ้มค่ามากอยู่สมควร
หลังคิดถึงผลได้ผลเสียของเรื่องนี้อยู่สักพัก เขาก็เอ่ยถามต้าจี๋ “เจ้าสามารถจัดการสัตว์อสูรพวกนี้ทั้งหมดได้หรือไม่”
ต้าจี๋ที่ได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับมุมปากกระตุกสั่นฝืดๆก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “นายท่าน นั่นสัตว์อสูรทั้งฝูงนะเจ้าคะ ข้าจะจัดการมันคนเดียวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันมากันเป็นกลุ่มใหญ่เช่นนี้ หากไม่เกิดจากภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติทางโลกก็อาจเกิดจากราชาปีศาจ”
ราชาปีศาจหรือ
ฉินจวินถามอีกอย่างระมัดระวัง “ราชาปีศาจแข็งแกร่งมากงั้นหรือ”
“ราชาปีศาจทุกตน ล้วนมีพลังอยู่ในระดับอาณาจักรปรับแต่งความว่างเปล่าเป็นอย่างต่ำ ยิ่งสัตว์อสูรมาเป็นฝูงใหญ่เช่นนี้ ราชาปีศาจก็จะต้องแข็งแกร่งมากยิ่งไปกว่านี้อีก”
คำพูดของนางทำให้ฉินจวินถึงกับเหงื่อตก ในความเห็นของเขา แม้ต้าจี๋จะอยู่ในระดับอาณาจักรปรับแต่งความว่างเปล่าเช่นเดียวกันแต่นางก็เป็นสตรี ซึ่งในการต่อสู้กับมหาอำนาจแห่งอาณาจักรปรับแต่งความว่างเปล่า นางต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอนอยู่แล้ว
หลังคิดถึงผลเสียเรื่องนี้แล้ว เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารเหล่าอสูรทันที
“ช่วยด้วย!!! อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว”
เสียงร้องอันน่าหดหู่ของฉางห่าวดังตามมาจากด้านหลังจนฉินจวินที่ได้ยินถึงกับพูดไม่ออก ฉางเฉียนเฉียนที่หันกลับไปมองทางต้นเสียงก็เห็นว่าเขากำลังวิ่งตามอย่างกับสุนัขใกล้ตายโดยปราศจากความสง่างามในอดีตไปเลย
พอได้เห็นภาพที่น่าเวทนาเช่นนั้นนางก็รู้สึกว่าศิษย์พี่ผู้เคยมีอำนาจทุกอย่างในตอนนั้นช่างน่าสงสารเสียจริง
แต่หากฉางห่าวรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในใจของศิษย์น้องหญิง เขาคงได้กระอักเลือดกับความน่าสังเวชที่นางคิดแน่นอน
“ฉินจวิน ช่วยศิษย์พี่ข้าด้วยได้หรือไม่ เขากำลังจะถูกกลุ่มของเหล่าสัตว์อสูรกลืนหายไปแล้ว” ฉางเฉียนเฉียนถามอย่างเศร้าสลดใจ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ถือว่าเป็นศิษย์ในนิกายเดียวกัน ซึ่งนางคงทนไม่ได้หากต้องเห็นศิษย์พี่ของนางถูกคลื่นจากสัตว์อสูรฉีกเป็นชิ้นๆ
ฉินจวินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ทำไมข้าต้องช่วยเขา”
“หากเขากลับทางเดิมและซ่อนตัวอยู่ในป่าก็คงไม่ต้องลำบาก แต่เขายืนกรานที่จะตามไปกับเราเอง”
ดวงตาของฉางเฉียนเฉียนเบิกกว้างด้วยความโกรธกับสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลจากฉินจวิน นางอยากจะพูดมากกว่านี้ แต่ถูกฉินจวินเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “ข้าสัญญาจะส่งเจ้ากลับ ไม่ใช่เขา”
ที่จริง หากไม่ใช่เพราะภารกิจเขาคงไม่ลดตัวคุยกับนางด้วยซ้ำ
แม้ฉางเฉียนเฉียนจะงดงามเพียงใด แต่เมื่อเทียบกับต้าจี๋แล้วนางยังห่างไกลเยอะ ประกอบกับความจริงที่ว่าทั้งสองไม่ใช่ญาติกันและฉินจวินก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับนางนานเกินไปด้วย
รอให้ข้าได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิเสียก่อนเถอะ เมื่อนั้นเจ้าจะเอื้อมไปไม่ถึง
ฉางเฉียนเฉียนได้แต่กัดฟันและนิ่งเงียบ ตอนนี้นางทำได้เพียงแต่ภาวนาให้ศิษย์พี่ของนางวิ่งเร็วขึ้นและล้มเลิกความคิดที่จะตาม
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง”
ทันใดนั้น เจ้าสุนัขตัวนั้นก็เห่าขึ้นจากทางด้านหลังเขาอีกครั้ง ฉินจวินหันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัวก่อนจะเห็นสุนัขสีดำวิ่งตามพวกเขา
พอฉางห่าวเห็นหมาดำตัวนั้นวิ่งแซงหน้าเขาไป เขาก็โกรธจนแทบบ้าที่แม้แต่หมาธรรมดายังมีปัญญาวิ่งไล่ทัน
เขาเป็นถึงศิษย์ผู้มีเกียรติแห่งนิกายซวนหลิง แต่บัดนี้กลับไม่อาจเอาชนะหมาเพียงตัวเดียวได้เชียวหรือ
“สุนัขเสี้ยวเทียนงั้นหรือ”
อยู่ๆสีหน้าของฉินจวินก็แปลกไป ถึงเจ้าสุนัขสีดำตัวนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าสุนัขทั่วไปแต่รูปลักษณ์ก็ยังมีความแตกต่างจากสุนัขศักดิ์สิทธิ์มาก ดังนั้นมันจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว ท่องพิภพสยบมารได้
“นายท่าน อย่าเพิ่งไป ข้าเอง สุนัขเสี้ยวเทียน!”
ทันทีที่เจ้าสุนัขสีดำตัวนั้นร้องเรียกฉินจวิน เขาที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เบิกกว้างกับสิ่งที่ไม่คาดคิด
บัดซบ!
สุนัขเสี้ยวเทียนจริงๆด้วย
รับไม่ได้ สุนัขเสี้ยวเทียนในจินตนาการข้ามันควรจะปรากฎตัวออกมาบนเมฆเจ็ดสีซิ
ฉินจวินบ่นด้วยคำหยาบคายในใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอมีความสุขที่ได้เห็นมันปรากฎตัวออกมา แม้จะต่างจากที่คิดแต่ยังไงเราก็ไม่ควรตัดสินใครจากรูปร่างหน้าตา ใช่ ไม่ควรตัดสินเจ้าสุนัขนั้นจากรูปลักษณ์ภายนอก ยังไงมันก็คือสุนัขเสี้ยวเทียนที่มีความแข็งแกร่งเหนือแดนสวรรค์และไหนๆมันก็อยู่ตรงนี้แล้ว คลื่นเหล่าสัตว์อสูรก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด
พอคิดได้เช่นนั้นเขาก็เอ่ยบอกต้าจี๋ทันที “หยุดก่อน เราลงไปกันเถอะ”
“ทำไมหรือเจ้าคะ” ต้าจี๋ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ หากถูกล้อมด้วยกลุ่มสัตว์อสูรทั้งฝูงเช่นนี้ เราคงหาโอกาสรอดยาก
ฉางเฉียนเฉียนก็มองเขาอย่างสงสัยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ฉินจวินจึงยิ้มเบาๆก่อนกล่าวว่า “ราชาปีศาจที่เจ้าพูดถึงมาแล้ว”
อย่างที่ต้าจี๋พูดไว้ก่อนหน้า ราชาปีศาจที่สามารถระดมกำลังจากเหล่าสัตว์อสูรได้น่าจะเป็นเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนที่ดูธรรมดาๆตัวนี้แหละ
สุนัขเสี้ยวเทียนดูเหมือนจะมีทักษะที่เรียกว่า "คำสั่งจากราชาสุนัข" อยู่ซึ่งการระดมกำลังจากเหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดนี้ก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง
ดวงตาของต้าจี๋และฉางเฉียนเฉียนถึงกับเบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน ฉินจวินรู้จักราชาปีศาจตัวนั้นงั้นหรือ
สำหรับสุนัขเสี้ยวเทียนตัวนั้น พวกเขาไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน มันก็ดูไม่เหมือนราชาปีศาจเอาเสียเลย
ถึงอย่างนั้น ต้าจี๋ก็เชื่อใจและปล่อยฉินจวินกับฉางเฉียนเฉียนที่อยู่ในอ้อมแขนลงมาพร้อมกับนาง เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนเดินช้าๆเข้าหาฉินจวินก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงและลูบหัวของมัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของต้าจี๋กับฉางเฉียนเฉียนด้วยความรู้สึกที่ประหลาดใจยิ่ง
ก่อนหน้านี้ เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนส่งเสียงเรียกฉินจวินซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ยิน ดังนั้นพวกนางจึงไม่เข้าใจว่าทำไมฉินจวินถึงเป็นมิตรกับเจ้าสุนัขธรรมดาตัวนี้อย่างกับรู้จักมันมาก่อนได้
“เจ้า... ในที่สุด... ก็หยุดแล้ว...”
ฉางห่าววิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสามพร้อมหายใจหอบไม่หยุดโดยใช้มือยันไว้บนเข่าจนลืมไปด้วยซ้ำว่ามีคลื่นลูกใหญ่จากเหล่าสัตว์อสูรใกล้เข้ามาข้างหลัง
“อยู่นี่ เราไม่ต้องหนี” ฉินจวินยืนขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มก่อนหันมองไปที่เจ้าสุนัข ขณะที่เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนเดินวนรอบตัวเขาซึ่งดูไม่ต่างจากสุนัขบ้านทั่วไปโดยไม่มีเค้าจะเป็นสัตว์อสูรเลยแม้แต่น้อย
“นี่ ก็แค่หมาดำตัวหนึ่ง”
ฉางห่าวเอ่ยขึ้นพร้อมเย้ยหยัน เพราะหากมีต้าจี๋คอยอยู่ด้วยเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ตราบใดที่ติดตามต้าจี๋เขาก็จะปลอดภัย
หญิงงามผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่แม้แต่เสี่ยวโหวก็ไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ
พอเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนได้ยินฉางห่าวกล้าเรียกมันว่าเป็นเพียงหมาดำธรรมดา มันก็หยุดและจ้องมองฉางห่าวด้วยสายตาเยือกเย็นทันที ฉางห่าวที่รู้สึกได้ถึงเจตนาอันน่าสะพรึงพร้อมไอสังหารพุ่งเข้าหาเหมือนกระแสน้ำเขาก็เหมือนตกอยู่ในห้องใต้ดินเย็นๆจนไม่กล้าเอ่ยวาจาอันใดอีกเลย..
จะเป็นไปได้ยังไงกัน...
ฉางห่าวมองไปยังเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนด้วยความหวาดกลัว เขารู้สึกถึงไอสังหารอันน่ากลัวจากมันที่มีมากกว่าเสี่ยวโหวและต้าจี๋เสียอีก เขาคุกเข่าลงพร้อมกราบร้องขอชีวิตจากมันทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าเป็นอะไรไป” ฉางเฉียนเฉียนถามพร้อมคิ้วขมวดมึนงงกับสิ่งที่ได้เห็น ไอสังหารของมันมุ่งเป้าไปที่ฉางห่าวเพียงคนเดียวเท่านั้น นางจึงไม่รู้สึกหรือรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉางห่าวคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมมีเหงื่อเย็นหยดลงมาจนไม่สามารถรับรู้คำพูดใดๆจากฉางเฉียนเฉียนได้เลย
ในทางตรงกัน ต้าจี๋ก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในตัวเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนเพราะรับรู้ได้ถึงอันตรายจากมันที่แผ่ออกมาเช่นกัน
โชคดีที่เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนตัวนี้ไม่เป็นศัตรูกับฉินจวิน
“ข้าขอเตือน หากเจ้าไม่ให้เกียรติต่อสุนัขเสี้ยวเทียนของข้า ระวังข้าจะปล่อยให้มันฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”
ฉินจวินตะคอกอย่างเย็นชา เจ้ากับพวกมนุษย์ธรรมดาๆกล้าดีอย่างไรดูถูกเหยียดหยามสัตว์อสูรของเทพแห่งสงคราม
ฉางห่าวได้แต่เงียบและหมอบลงกับพื้นเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
การได้เห็นศิษย์พี่ใหญ่ไร้เกียรติเช่นนี้ ฉางเฉียนเฉียนก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองด้วยท่าทางและสีหน้าผิดหวัง
ขณะนั้นเอง เหล่าผู้บ่มเพาะกลุ่มนั้นก็ต่างพากันวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยังคงแตกตื่นและหวาดกลัว
“เหล่าสัตว์อสูรกำลังมา ทำไมพวกเจ้ายังเฉย”
“ยังเฉยอยู่ได้ ปล่อยให้พวกเขาทำเฉยไปเถอะ คงอยากตายกันมาก”
“ไปเถอะ ข้ายังไม่อยากตายอยู่ที่นี่”
“ใช่ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”
ฉินจวินชำเลืองมองเหล่าผู้บ่มเพาะทั้งสิบแปดคนในกลุ่มนี้ ฐานการบ่มเพาะของพวกเขาทั้งหมดต่างอยู่เหนือระดับที่เจ็ดของอาณาจักรกลั่นลมปราณ สังเกตจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ จะเห็นได้ว่าไม่ได้อยู่ในระดับขั้นเดียวกัน