บทที่ 8: ต้นกำเนิดของเรือเหาะลอยล่อง
บทที่ 8: ต้นกำเนิดของเรือเหาะลอยล่อง
สี่ชั่วโมงต่อมา ซูฟ่านโบกมือเพื่อควบคุมตั๊กแตนตำข้าวหิน
หวังยู่หลุนซึ่งมีบาดแผลเต็มตัวยืนเคียงข้างซูฟ่านด้วยความอับอาย
พื้นดินและท้องฟ้าได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง และทั้งสองก็กลับสู่โลกเดิม
หวังยู่หลุนมองไปที่ร่างกายของเขาด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “พี่ซู วิชามายาของท่านไปถึงระดับสูงสุดแล้วหรอ?”
ในโลกที่สร้างโดยซูฟ่าน ทุกบาดแผลที่เขาได้รับก็ให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก ทว่าเมื่อโลกนั้นหายไป ทุกอย่างก็เหมือนเป็นเพียงฝันเท่านั้น
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย เรามาพูดถึงความบกพร่องของเจ้าในระหว่างการต่อสู้กันดีกว่า”
ซูฟ่านโบกมือและม่านแสงก็ปรากฏขึ้นเพื่อแสดงฉากการต่อสู้ของหวังยู่หลุน
“ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ผลงานของเจ้าก็นับได้ว่าล้มเหลว เจ้าเพิ่งจะถูกทุบตีอย่างกับวัวกับควาย”
“นี่คือข้อเสนอแนะจากข้า หากเจ้าพบกับสัตว์อสูรเช่นนี้เพียงลำพังในอนาคต เจ้าก็ทำเพียงแค่วิ่งซะ” ซูฟานกล่าว
“แต่ก็เอาเถอะ เรามาพูดถึงสิ่งแรกที่เจ้าต้องปรับปรุงกันก่อนดีกว่า”
หน้าจอเปลี่ยนไปเป็นฉากเมื่อตอนที่หวังยู่หลุนใช้วิชาหอกเพลิง
“การร่ายวิชาของเจ้าไม่ได้เป็นปัญหามากนัก และความเร็วของตั๊กแตนตำข้าวหินเองก็ไม่ได้เร็วมากเช่นกัน”
“อย่างไรก็ดี สัตว์อสูรตัวนี้ก็ฉลาดมาก ดังนั้นในระหว่างการต่อสู้ เจ้าจึงควรหามุมดีๆ เพื่อปิดผนึกการเคลื่อนไหวของศัตรูให้ได้ก่อนแล้วจึงค่อยโจมตี”
ขณะที่ซูฟานพูด หน้าจอก็เริ่มเปลี่ยนไป หวังยู่หลุนบนหน้าจอได้ปรับทิศทางการร่ายของเขาเล็กน้อย และหวังยู่หลุนที่เฝ้าดูจากด้านข้างก็ตกตะลึงโดยทันที
“มุมนี้มัน..” ดวงตาของหวังยู่หลุนลุกเป็นไฟโดยทันทีเมื่อเขามองไปที่หน้าจอ
“ถ้าเจ้าเปลี่ยนมาโจมตีจากมุมนี้แทน ตั๊กแตนตำข้าวหินก็จะไม่สามารถหลบหอกเพลิงนี้ได้แน่” ซูฟ่านกล่าวต่อไป
ฉากบนหน้าจอยังคงเล่นต่อไป และหวังยู่หลุนก็เฝ้าดูอย่างระมัดระวัง โดยรู้ว่าโอกาสในการเรียนรู้ดังกล่าวนั้นหาได้ยากมาก
หน้าจอเปลี่ยนไปจนถึงกระบวนท่าที่ห้าของหวังยู่หลุนและภาพก็หยุดค้าง
“ในจุดนี้ ความคิดในการต่อสู้ของเจ้าได้เริ่มเปลี่ยนไป และการเคลื่อนไหวของมือและขาของเจ้าก็เริ่มไม่สอดประสานกัน”
“และไม่ต้องพูดถึงตัวเจ้าเองเลย ตั๊กแตนตำข้าวหินสามารถหลบการโจมตีของเจ้าได้ถึงสี่ครั้งแล้ว แต่กระนั้นเจ้าก็ยังหาทางแก้มันไม่ได้เลย”
ซูฟ่านกล่าวในขณะที่เขาสร้างกระบี่ขึ้นมาด้วยนิ้วของเขาและชี้ไปที่หน้าผากของหวังยู่หลุย
หวังยู่หลุนหลบไปทางขวาโดยสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันกลับมามองซูฟ่านอีกครั้ง นิ้วของอีกฝ่ายก็ได้หยุดลงบนหน้าผากของเขาแล้ว
และเป็นอีกครั้งที่ซูฟ่านบรรลุเป้าหมาย
“ดูสิ ทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณเป็นของตัวเอง และนั่นก็รวมถึงการหลบหลีกด้วย”
“เมื่อเจ้าไม่สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ เจ้าก็สามารถหันไปดูจากพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของศัตรูได้”
หลังจากที่ซูฟ่านพูดจบ เขาก็โบกมือเพื่อลบม่านแสงที่สร้างขึ้นโดยวิชาแสงและเงา
“พี่ซู แค่นั้นเองหรอ? ข้ารู้สึกว่าข้ามีข้อบกพร่องมากมาย เชิญท่านพูดต่อไปเถอะ” หวังยู่หลุนกล่าวอย่างเร่งรีบ เนื่องจากโอกาสดังกล่าวมีไม่ได้มีให้พบเห็นได้บ่อยๆ
“ที่เหลือนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถเรียนรู้ได้จากการฟังข้าพูดเพียงเท่านั้น”
“นั่นคือทั้งหมดสำหรับตอนนี้แล้ ว เราจะพูดถึงมันอีกครั้งเมื่อเจ้าตระหนักและเข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว” ซูฟานพูดอย่างเฉยเมย เขาดูลึกลับและสูงส่ง
“เจ้าสามารถมาเพื่อฝึกที่นี่อีกก็ได้ ถ้าในอนาคตเจ้าสะดวกจะมา” ซูฟ่านกล่าวต่อ
“ขอบพระคุณพี่ซู” หวังยู่หลุนพูดอย่างมีความสุข เขาเชื่อว่าการมาที่นี่เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนจะทำให้อนาคตของเขาในภายภาคหน้าสดใสขึ้น
หลังจากที่ซูฟ่านพูดจบ เขาก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
“เอาล่ะ ทีนี้บอกข้ามาเกี่ยวกับเรือเหาะยักษ์นั่นได้แล้ว” ซูฟ่านกล่าวด้วยความสนใจ
หวังยู่หลุนเองก็นั่งลงบนเก้าอี้เเช่นเดียวกับซูฟ่าน
“เรือเหาะยักษ์ลำนั้นเรียกว่าเรือเหาะลอยล่อง เมื่อห้าพันปีที่แล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายเราได้นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนิกายไปยังทวีปกลางและมอบหมายให้นิกายประดิษฐ์สวรรค์ช่วยสร้างมันขึ้นมา”
“เพื่อเรือเหาะลอยล่องลำนี้ นิกายของเราก็ต้องใช้เวลาทั้งหมด 50 ปีในการฝึกตนและใช้จ่ายอย่างประหยัด และนอกจากนี้ มันก็ยังไม่มีการรับศิษย์ใหม่เข้ามาเพิ่มอีกด้วยในตลอดระยะเวลานี้”
“ในตอนนั้น ศิษย์บางส่วนก็แทบจะไม่เคยได้จับหินวิญญาณเลยด้วยซ้ำ”
“หลังจากที่เรือเหาะลอยล่องได้รับการสร้างเสร็จแล้วเท่านั้น นิกายของเราจึงกลับมาผงาดขึ้นได้ในที่สุด และต่อมาพวกเราก็กลายเป็นนิกายชั้นนำ”
“ทำไมพวกเขาถึงต้องซื้อสิ่งนี้กลับมาในตอนนั้นด้วย? มันมีไว้สำหรับการต่อสู้หรือเพื่อค้นหาทรัพยากรกัน?” ซูฟ่านถามด้วยความสับสน
“แน่นอนว่ามันเป็นเพื่อการค้นหาทรัพยากร ครึ่งหนึ่งของเขตเฟยหยูเป็นพื้นที่มหาสมุทร และเรียกรวมๆ กันว่ามหาสมุทรอนันต์ ว่ากันว่ามันกว้างใหญ่จนไร้ขอบเขต และมีทรัพยากรมากกว่าที่อื่นๆ มาก”
“และที่สิ่งสำคัญที่สุดคือ มันมีทรัพยากรในส่วนลึกของมหาสมุทรอนันต์ซึ่งที่บนพื้นดินของเราไม่มี”
“แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตเหนือความทุกข์ยากก็ยังไม่กล้าที่จะเสี่ยงเข้าไปในส่วนลึกของมหาสมุทรอนันต์เพียงลำพัง” หวังยู่หลุนกล่าว
“ดังนั้นแล้ว เพื่อค้นหาทรัพยากรในมหาสมุทรอนันต์ เรือเหาะยักษ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นงั้นสินะ?” ซูฟ่านกล่าวเสริม
“ถูกต้องแล้ว เรือเหาะลอยล่องลำนี้สามารถต้านทานการโจมตีของสัตว์อสูรขอบเขตมหายานได้ และว่ากันว่าส่วนลึกของมหาสมุทรอนันต์นั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่อยู่ในขอบเขตสกัดสูญและสูงกว่านั้น”
“มิฉะนั้นแล้ว ผู้อาวุโสในนิกายเทียนฉัวของเราที่อยู่ในขอบเขตตัวอ่อนวิญญาณก็คงจะตายลงไปนานแล้ว”
“นั่นเป็นเพียงแง่มุมหนึ่ง ที่สำคัญกว่านั้นคือเรือเหาะลอยล่องนี้ไม่เพียงแต่สามารถเข้าไปในมหาสมุทรอนันต์ได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถเข้าไปในเขตแดนมหาสูญในตำนานได้อีกด้วย”
“เขตแดนมหาสูญ?”
หวังยู่หลุนชี้ไปที่ท้องฟ้า และบ่งบอกว่ามันเป็นส่วนที่สูงที่สุดของท้องฟ้า
“นั่นไม่ใช่อวกาศหรอ?” ซูฟ่านคิด
“อย่างไรก็ตาม มันก็มีเพียงนิกายชั้นนำเท่านั้นที่จะกล้าเสี่ยงเข้าสู่เขตแดนมหาสูญ ขณะที่เราทำได้เพียงสำรวจพื้นผิวในส่วนลึกของมหาสมุทรอนันต์ได้เท่านั้น”
ด้วยคำอธิบายของหวังยู่หลุน ซูฟ่านก็ค่อยๆ เข้าใจถึงความสำคัญของเรือเหาะลอยล่องลำนี้
ในแง่หนึ่ง สิ่งนี้ก็เปรียบเสมือนกับอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นสัญลักษณ์ของทั้งสถานะและอำนาจ”
“ยู่หลุน มีวิธีใดบ้างที่เราจะขึ้นไปบนเรือเหาะลอยล่องลำนี้ได้?” ซูฟ่านถาม
“โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สามารถขึ้นเรือเหาะลอยล่องได้นั้นก็จะถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม”
“กลุ่มแรกคือผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนวิชาตรวจจับเป็นหลัก ซึ่งรับผิดชอบในการขับเรือเหาะลอยล่อง”
“กลุ่มที่สองคือผู้ฝึกตนจากโถงยุทธ์ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นคนจากโถงระดับ A”
“กลุ่มที่สามคือนักปรุงยาและนักสร้างสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งรับผิดชอบในการแปรรูปวัสดุเบื้องต้น”
“และกลุ่มที่สี่คือขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่มีระดับการฝึกตนอยู่ที่ขอบเขตสูญและสูงกว่า ซึ่งโดยปกติแล้วจะรับหน้าที่เป็นประธานเหนือแกนกลางของเรือเหาะ”
“พี่ซู ถ้าท่านต้องการจะขึ้นไปบนนั้น มันก็ง่ายมาก ท่านเพียงแค่มาเข้าร่วมกับโถงระดับ A ในโถงยุทธ์ของเรา และท่านก็จะสามารถเข้าไปได้หลังจากไปถึงขอบเขตแก่นแท้ทองคำแล้ว”
“หรือไม่ ท่านก็จะต้องเป็นนักปรุงยาหรือผู้สร้างสิ่งประดิษฐ์ขั้นสามขึ้นไป”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซูฟ่านก็พูดอย่างผิดหวัง “ข้าต้องรอจนถึงขอบเขตแก่นแท้ทองคำเลยหรอ? งั้นก็ลืมมันไปเถอะ”
เขาจะต้องใช้ชีวิตจนกว่าจะอายุ 250 ปี จึงจะไปถึงขอบเขตแก่นแท้ทองคำได้ ซึ่งแค่คิดก็น่าหดหู่ใจแล้ว
“อืม ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ข้าก็พึงพอใจแล้ว” ซูฟ่านพูดช้าๆ
“พี่ซู ท่านจะไม่ไปโถงยุทธ์จริงๆ หรอ?”
“ไม่ ข้าไม่สนใจที่จะต่อสู้ และข้าก็สนใจวิธีการสร้างเรือเหาะลอยล่องลำนี้มากกว่า เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อหินวิญญาณของข้าพร้อมเมื่อไหร่ ข้าก็จะลงเรียนการสร้างสิ่งประดิษฐ์ด้วย” ซูฟ่านกล่าว และตั้งตารอคอยช่วงเวลาที่เขาจะได้เรียนรู้วิธีการสร้างสิ่งประดิษฐ์
“เรียนการสร้างสิ่งประดิษฐ์? ด้วยทรัพย์สมบัติของพี่ซูในตอนนี้ ข้าเกรงว่ามันคงจะยังไม่เพียงพอ” หวังยู่หลุนกล่าวพร้อมกับมองไปที่ทุ่งข้าววิญญาณที่หน้าลานเล็กๆ ข้าววิญญาณเหล่านี้สามารถครอบคลุมค่าเล่าเรียนสำหรับหลักสูตรการปรุงยาได้เป็นอย่างมากที่สุด
“ฮ่าฮ่า เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น” ซูฟ่านพูดด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามีพรสวรรค์รอบด้าน
“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าพี่ซูเป็นอัจฉริยะ และในอนาคต สมบัติทั้งหมดที่ข้าหามาได้ ข้าก็จะมอบให้พี่ซูเป็นคนจัดการ”
“ฮ่าฮ่า แน่นอน แน่นอน!”