บทที่ 8 คลื่นสัตว์อสูร
คืนนั้นต้าจี๋จับกระต่ายสามตัวนำมาย่างเป็นอาหาร ฉินจวินเห็นฉางห่าวที่ดูขัดหูขัดตาอยู่แล้วเลยทำเป็นไม่สนใจแบ่งให้จนชายหนุ่มแอบเคืองแต่พอฉางเฉียนเฉียนจะยื่นให้เขาก็ปฏิเสธเพราะเริ่มไม่พอใจไปแล้ว
ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย
ฉางห่าวเคี้ยวธัญพืชหยาบในมืออย่างเงียบๆ แต่ในใจก็แอบสาปแช่งบรรพบุรุษทั้งสิบแปดชั่วโคตรของฉินจวินไปอย่างเมามัน
หลังกินกระต่ายย่างกันไปจนอิ่มหนำ ฉินจวินที่เหนื่อยล้าและทั้งสองสาวงามก็เอนกายพิงต้นไม้ใหญ่ก่อนผล็อยหลับไป ต้าจี๋นั่งระหว่างกลางฉินจวินกับฉางเฉียนเฉียนให้ทั้งสองนั่งพิงไหล่ของนางคนละฝั่ง ส่วนฉางห่าวก็ได้แต่นั่งกัดฟันกรอดด้วยความชังน้ำหน้าปนอิจฉา
ทั้งสี่นอนเงียบตลอดทั้งคืนแม้จะมีเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังออกมาเป็นครั้งคราวในถิ่นทุรกันดารแต่ก็ไม่อาจทำลายความเหนื่อยล้าที่ฉินจวินมีตอนนี้ได้ เขาหลับสนิทเพราะเหนื่อยมากจากอะไรหลายๆอย่างที่เจอมาวันนี้
…..
รุ่งขึ้น ก่อนรุ่งสางฉินจวินรู้สึกคันจมูกจึงค่อยๆตื่นลืมตาขึ้น ดวงตาที่เริ่มปรับกับแสงจนชัดเจนจับจ้องไปยังใบหน้าอันงดงามของฉางเฉียนเฉียนที่กำลังก้มหน้าจ้องเขาอยู่จนลมหายใจแทบผสานกัน เขารีบยันตัวขึ้นด้วยความตกใจจนคนตรงหน้าถูกผลักออกไปล้มลงกับพื้น
“น้องเจ้าสิ! เล่นบ้าอะไรแต่เช้า”
ฉินจวินว่ากล่าวออกไปเสียงดังขณะที่ยกมือขึ้นลูบหน้าอกของตัวเองเบาๆจนรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจดวงน้อยๆของตัวเอง
“เจ้ากล้าดีอย่างไรว่าน้องหญิงข้า”
ฉางห่าวที่อยู่ไม่ไกลเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เขาเดินเข้าหาฉินจวินเพียงไม่กี่ก้าวราวกับกำลังจะเคลื่อนไหว
ฉินจวินผู้ซึ่งทะลวงผ่านชั้นที่สี่ของอาณาจักรก่อสร้างรากฐานไม่มีความกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย เขาส่งสายตาอาฆาตจ้องมองไปยังต้นเสียงนั้นทันที “เจ้าไม่พอใจงั้นหรือ เอาสิ”
ฉางห่าวตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาแค่อยากจะแสดงให้ฉินจวินได้เห็นว่าเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครแต่ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้
แม้ระดับอาณาจักรก่อสร้างรากฐานและอาณาจักรกลั่นลมปราณจะระดับต่างกันไม่มาก แต่ก็ถือว่าระดับพลังแตกต่างกันพอสมควรนับประสาอะไรกับเขาในตอนนี้ ขนาดในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะฉินจวินได้เลย
“ก็ได้ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตื่น”
ฉางเฉียนเฉียนปัดฝุ่นที่ก้นของนางแล้วยืนขึ้น สีหน้านางแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจเพราะนางก็แค่อยากจะแกล้งฉินจวินเล่นโดยไม่คิดว่าเขาจะตอบสนองรุนแรงขนาดนี้
ฉินจวินมองไปรอบๆก่อนจะเห็นต้าจี๋ที่กำลังยืนมองเขาอยู่ริมทะเลสาบด้วยรอยยิ้มแหยๆทำให้รู้ทันทีว่าเขาเป็นคนสุดท้ายที่ตื่น เมื่อมองไปยังดวงอาทิตย์ดวงใหญ่บนท้องฟ้าก็คาดว่าน่าจะสายไปมากแล้ว
พอรู้เช่นนั้นความอับอายก็โผลเข้ามาจนหน้าแดงเล็กน้อยก่อนเขาจะทำทีเป็นไอกลบเกลื่อนเรื่องขายหน้า “ไปกันเถอะ”
“เจ้าคงจะอับอายซินะ” ฉางเฉียนเฉียนทำทีเผลอหลุดถามก่อนจะปิดปากแล้วยิ้มพอใจกับสีหน้าเจื่อนๆของเขาที่มันปิดไม่มิด
ความจริงบางเรื่องไม่ต้องพูดออกมาก็ได้มั้ง
ฉินจวินรู้สึกใจคอแห้งเหี่ยวหลังถูกหักหน้าส่วนฉางห่าวที่เห็นการกระทำของทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเมื่อเห็นพวกเขาคุยแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ศิษย์น้องหญิง ศิษย์พี่สุดหล่อคนนี้ช่วยเจ้าระบายความโกรธทำไมเจ้าไม่สนใจข้าล่ะ”
ฉางห่าวคิดอย่างเศร้าใจพร้อมกับโมโหแต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงอาการนั้นออกมาให้นางได้เห็น เขาทำได้แต่ยืนอยู่ข้างหลังนางห่างๆพร้อมกับแสดงสีหน้าที่สดใสออกมาแทน
หลังฉินจวินล้างหน้าริมทะเลสาบเสร็จ เขาก็จากไปพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง
นิกายซวนหลิงตั้งอยู่ระหว่างทางไปเมืองหลวง
กลุ่มคนทั้งสี่หายไปในป่า ระหว่างทางฉินจวินก็ได้แต่คิดว่าเมื่อไรสุนัขเสี้ยวเทียนจะปรากฏตัว
เพราะนั่นคือผู้ที่แข็งแกร่งสุดในแดนสวรรค์
เขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อมีสุนัขเสี้ยวเทียนคอยเป็นผู้พิทักษ์และเอาชนะคนในอาณาจักรเฉียนเยว่ได้ทั้งหมด
“ว่าแต่ เหล่าทหารคนอื่นๆของเสี่ยวโหวอยู่ที่ไหนล่ะ”
ฉินจวินถามฉางเฉียนเฉียนขณะกำลังพากันเดินไปในป่า หัวของเสี่ยวโหวยังอยู่ในแหวนเก็บของ หากต้องเผชิญหน้ากับพวกทหารคนอื่นๆที่ยังคอยตามล่าอยู่ เขาก็จะได้นำหัวของมันออกมาข่มขู่เพื่อดึงความเกลียดชังก่อนแล้วจึงรวบรวมคะแนนประสบการณ์
ฉินจวินขยับไม้ขยับมือด้วยความตื้นเต้นอย่างมีความสุขกับแผนการต่อสู้อันสมบูรณ์แบบที่เขาคิด
“ข้าก็ไม่รู้ เพราะเขามักถูกนายพลหนานเหมิงตามล่าทหารของเขาก็ลดน้อยลงเรื่อยๆไม่มีใครรู้จักค่ายของเขาว่าอยู่ที่ใด แต่เขามักจะพาคนหลายสิบคนไปด้วยทุกครั้งที่เดินทาง” ฉางเฉียนเฉียนส่ายหัวขณะที่กล่าวออกมา
ฉินจวินพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเข้าใจ หากเสี่ยวโหวมีกองกำลังขนาดใหญ่จริงๆเขาคงก่อการกบฏไปนานแล้ว งั้นเขาจะถูกเหล่าทหารของอาณาจักรตามล่าตลอดทั้งปีได้อย่างไง
หรืออาชญากรรมที่โหดร้ายของเสี่ยวโหวอาจดึงดูดผู้คนให้เข้าร่วมกองกำลัง
“โธ่” ฉินจวินถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ฉางห่าวซึ่งกำลังเดินอยู่ข้างหลังยกยิ้มด้วยความสมเพช ในสายตาของเขาฉินจวินก็แค่แสร้งทำเป็นเก่งกาจเท่านั้น
เจ้าคิดว่าการฆ่าเสี่ยวโหวเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นหรือ
ถ้าไม่ใช่เพราะต้าจี๋ เจ้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสี่ยวโหวหรอก
แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเกลียดฉินจวินมากจนอยากจะทำลายให้หายไปแค่ไหนเขาก็คงไม่กล้าคิดทำอะไรโง่ๆ
หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดๆอีกเลยตลอดการเดินทาง
พอใกล้เที่ยง ทั้งสี่ก็ปีนข้ามเนินเขามาถึงดินแดนรกร้างที่มองออกไปกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตาอย่างไม่มีสิ้นสุด ทำให้ผู้ที่ได้มาเยือนถึงกับรู้สึกสิ้นหวังอยู่พอสมควร มีนกและสัตว์อสูรบินอยู่บนท้องฟ้าสีครามมากมาย ผู้ใดได้เห็นคงหวาดกลัวตัวสั่นเพราะรูปร่างหน้าตาที่น่าสะพรึงของพวกมันอยู่มากพอควร
“สัตว์อสูรแบ่งออกเป็นสิบระดับ แต่ละระดับมีเก้าชั้น ชั้นแรกเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรกลั่นลมปราณ ชั้นที่สองเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรก่อสร้างรากฐาน ชั้นที่สามเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรแก่นทองคำ ชั้นที่สี่เทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรเปลี่ยนแปลงมนุษย์และชั้นที่ห้าเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรปรับแต่งความว่างเปล่า ซึ่งในระดับนี้สัตว์อสูรสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้”
ต้าจี๋อธิบายให้ฉินจวินรู้จักกับสัตว์อสูรในระดับชั้นต่างๆจนเขาอดไม่ได้ที่จะทึ่งเมื่อได้ยิน
ฉางเฉียนเฉียนที่ฟังอยู่ด้วยก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “นอกเหนือจากอาณาจักรเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้ว ก็คืออาณาจักรปรับแต่งความว่างเปล่าใช่หรือไม่ นิกายซวนหลิงของเราไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับอาณาจักรนี้เลย”
ฉินจวินเม้มริมฝีปากด้วยความหมั่นไส้ นิกายของเจ้ามันก็แค่ขยะ
“ที่จริงมีแต่เป็นความลับ ศิษย์ธรรมดาไม่มีคุณสมบัติมากพอจะได้รู้” ฉางห่าวที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาราวกับคนชาญฉลาดอยากมีตัวตน แต่คำพูดนั้นที่ดันไปเข้าหูของฉางเฉียนเฉียนกลับทำให้นางเข้าใจในความหมายต่างออกไป
ในฐานะลูกสาวประมุขของสำนัก ข้านะหรือไม่มีคุณสมบัติมากพอจะรู้
ฉางเฉียนเฉียนแสดงสีหน้าไม่พอใจและเริ่มรู้สึกรังเกียจศิษย์พี่มากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะบรรยากาศเริ่มตึงเครียด อยู่ๆพื้นดินก็สั่นสะเทือนทำให้คนทั้งสี่หันไปมองอย่างรวดเร็วก่อนปรากฎเป็นเส้นสีดำสว่างขึ้นที่จุดตัดระหว่างสวรรค์และโลกทางทิศตะวันออก ฉินจวินขมวดคิ้วสงสัยในสิ่งที่เห็น เขาเพ่งมองอย่างระมัดระวังหาสาเหตุจนรู้แจ่มแจ้งและแทบกลัวจนเกือบฉี่ราด
บัดซบ!
สัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งเข้าหาพวกเขาทั้งมังกร งู เสือ เสือดาว หมี และอื่นๆ พวกมันล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่กว่าสัตว์บนโลกหลายเท่า ซึ่งมีสัตว์อสูรหลายสิบตัวที่ขนาดใหญ่พอๆกับเขาลูกหนึ่งและฉากนั้นก็ตระการตาอย่างยิ่ง
“วิ่ง!!!”
ต้าจี๋ตะโกนปลุกฉินจวินและคนทั้งสองให้ตื่นจากความตกตะลึงนั้นทันที
กลุ่มคนทั้งสี่เริ่มวิ่งไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกับสัตว์อสูรที่พากันวิ่งเป็นกลุ่มราวกับกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว
ฉินจวินที่ไม่อยากถูกเหล่าสัตว์อสูรบดขยี้จนทำให้ต้องออกนอกเส้นทางเดิมรีบตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญ “ต้าจี๋ พาฉางเฉียนเฉียนกับข้าลอยขึ้นไป”
ต้าจี๋เข้าใจทันที นางยื่นแขนออกไปคว้าเอวของฉินจวินกับฉางเฉียนเฉียนเหาะขึ้นไปอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องสนอีกคนข้างหลัง
แม่เจ้าสิ!
ฉางห่าวตะลึง แล้วข้าล่ะ
“รอข้าด้วย”
ฉางห่าวตะโกนด้วยความหวาดกลัว น่าเห็นใจที่ฉินจวินไม่ชอบเขามากพอจะปล่อยให้เผชิญกับชะตากรรมนั้นไปคนเดียวอย่างคนน่าสมเพช
ล้อเล่น ต้าจี๋นางมีแค่สองมือน้อยๆจะช่วยคนทั้งสามไว้ในทีเดียวพร้อมกันได้อย่างไร อีกอย่างภารกิจรองของเขาคือพาฉางเฉียนเฉียนกลับไปยังนิกายซวนหลิงซึ่งฉางห่าวไม่รวมในนั้นด้วย
สำคัญคือฉางห่าว เจ้าเด็กคนนี้มักแอบถ้ำมองต้าจี๋อยู่บ่อยครั้งจนทำให้ฉินจวินไม่พอใจและชังน้ำหน้านานแล้ว
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เห็นผู้บ่มเพาะกลุ่มหนึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้าเหล่าสัตว์อสูรด้วยสีหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งชายและหญิง ใบหน้าของทุกคนต่างโชกไปด้วยเลือดที่ดูน่าอัปยศอย่างยิ่ง
“วิ่งไปตรงนั้น มีคนอยู่นั่น”
ชายมีหนวดเคราชี้มาทางฉินจวินและคนทั้งสองพร้อมตะโกน สิ้นเสียงที่เขาพูดแบบนั้นเหล่าผู้บ่มเพาะที่เหลือต่างพากันรีบวิ่งตรงหาฉินจวินกับคนอื่นๆทันที
ในป่า เจ้าไม่จำเป็นต้องเร็วที่สุดเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของสัตว์อสูร ตราบใดที่เจ้าไม่ใช่คนที่ช้าสุดอะน่ะ
“แต่ท่านผู้เฒ่า มีแต่พวกขยะ”
ฉางห่าวซึ่งกำลังวิ่งไล่ตามกลุ่มของฉินจวินมาติดๆเห็นกลุ่มผู้บ่มเพาะพวกนั้นวิ่งตามหลังเขามาพร้อมกับคลื่นสัตว์อสูรพอดีจึงต้องรีบเร่งตัวเองอย่างถึงที่สุดจนเท้าแทบลุกเป็นไฟ
เวลาเดียวกันนั้นก็มีหมาดำเหมือนหมาบ้านธรรมดาตัวหนึ่งวิ่งนำหน้ากลุ่มผู้บ่มเพาะเหล่านั้นไปอย่างไม่สนใจสีหน้าแห้งเหี่ยวจากความเหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อไหลไคลย้อยของพวกเขาที่พยายามวิ่งกันอย่างสุดกำลังเลย ด้วยแขนขาที่เรียวยาวของมัน มันจึงวิ่งได้ค่อนข้างตลกพร้อมกับสายตาที่มุ่งตรงไปยังเป้าหมายคือฉินจวินไม่ต่างจากคนอื่นๆ
“เฮ้ย! เจ้าหมานี่วิ่งเร็วขนาดนี้ได้ยังไง”
“บัดซบ! ข้าทนไม่ไหวแล้ว โดนไอ้หมาดำนี่วิ่งทันจนได้”
“เอาชีวิตรอด ไม่ต้องไปสนใจ”
“มันคงไม่ใช่สัตว์อสูรถึงจะเร็วมากก็เถอะ แต่ช่างน่าโมโหนัก”
ขอตั๋วคำแนะนำด่วน