บทที่ 7: เรือเหาะยักษ์ ตั้งใจหน่อย~
บทที่ 7: เรือเหาะยักษ์ ตั้งใจหน่อย~
สามวันต่อมา เมื่อซูฟ่านรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้ว เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
วันข้างหน้าคงจะสบายขึ้นถ้าเขาได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ
หลังจากกลับมาที่ยอดเขาเล็กๆ ของเขาแล้ว ซูฟ่านก็หยิบเก้าอี้ออกมา นั่งในศาลาริมเนินเขา และเริ่มเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันสวยงามโดยรอบ
ในเวลาว่าง ซูฟ่านมักจะคิดถึงประสบการณ์ชีวิตในอดีตของเขา
“ถ้าฉันสามารถนำคอมพิวเตอร์มาได้สักเครื่องล่ะก็ ฉันก็คงจะหาอะไรทำแก้เบื่อได้แล้ว”
“ในทุกวันนี้ การฝึกตนก็ทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงาจนแทบบ้าอยู่แล้ว”
ซูฟ่านมองไปที่ศิษย์ชั้นในที่บินข้ามท้องฟ้าไปมาเป็นครั้งคราว
“ในการเดินทางอันยาวนาน ฉันก็อยากจะเป็นเซียน~~”
...
ในขณะนี้ เรือเหาะขนาดยักษ์ยาวหนึ่งหมื่นเมตรก็ได้บินข้ามท้องฟ้า มันมุ่งหน้าไปยังนิกายชั้นใน
เรือเหาะยักษ์ถูกล้อมรอบด้วยเรือรบที่มีความยาวหลายพันเมตร และมีนกเพลิงสีทองขอบเขตแก่นแท้ทองคำหลายร้อยตัวคอยบินลาดตระเวนน่านฟ้ารอบพวกมัน
ซูฟ่านจ้องมองกองเรือบนท้องฟ้าด้วยท่าทางที่ชวนหลงใหล เรือรบ เรือเหาะยักษ์ ยานอวกาศ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบและสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ในชีวิตที่แล้ว เขาเคยสร้างแบบจำลองโมเดลยานอวกาศในจินตนาการขึ้นมา แต่แล้วแม่ของเขาก็เอามันไปทิ้งเพราะมันไม่สามารถเอามาทำเป็นอาชีพได้
“ฉันสงสัยจังว่าเมื่อไหร่ฉันจะมีโอกาสได้ขึ้นเรือเหาะยักษ์นั่นบ้าง”
“เมื่อฉันได้เรียนวิธีสร้างสิ่งประดิษฐ์แล้ว ฉันจะสามารถสร้างเรือเหาะของตัวเองขึ้นมาได้ไหมนะ?” ซูฟ่านเฝ้าดูเรือขนาดยักษ์และเรือรบที่หายตัวไปพลางคิด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือเหาะยักษ์ของนิกาย จากการสังเกตการณ์ของเขา เรือเหาะยักษ์นี้ก็มักจะบินเข้าออกนิกายในทุกๆ เจ็ดถึงแปดเดือน
ซูฟ่านคาดเดาว่าเรือเหาะยักษ์นี้อาจจะออกไปค้นหาทรัพยากรมา
และในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้นเอง ค่ายกลที่เขาวางไว้ก็ได้ส่งสัญญาณแจ้งเตือน ซึ่งบ่งบอกว่ามีคนมาเยี่ยมเขา
ซูฟ่านยิงลำแสงออกมาจากฝ่ามือและเปิดประตูยอดเขาให้มีขนาดใหญ่พอที่คนๆ หนึ่งจะสามารถเดินเข้ามาได้
“วันนี้เป็นไงบ้างล่ะ เจ้าทำการทดสอบเสร็จแล้วรึ?”
แม้จะหลับตาอยู่ แต่ซูฟ่านก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือหวังยู่หลุน
ในขณะนี้ หวังยู่หลุนก็กำลังเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามายังศาลาที่ซูฟ่านนั่งอยู่
“ข้าได้รับบาดเจ็บมาขณะทำการทดสอบ ดังนั้นข้าจึงต้องพักผ่อนสักสองสามวัน และจึงมาดูว่าพี่ซูอยู่รึเปล่า”
หวังยู่หลุนนั่งลงในศาลาแล้วหายใจเข้าลึกๆ
ซูฟ่านเหลือบมองกลับไปที่หวังยู่หลุน จากนั้นก็หันกลับไปมองทิวทัศน์ด้านนอกภูเขาและพูดอย่างสบายใจว่า “เจ้าควรฝึกวิชาขี่ลมขนนกที่ข้าให้ไปให้ดีกว่านี้นะ ด้วยวิชานี้ แม้แต่สัตว์อสูรขอบเขตฝึกปราณขั้นเจ็ดก็จะยังไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้หากเจ้าไม่โง่ไปให้มันทำร้าย”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูฟ่าน หวังยู่หลุนก็เกาหัวและยิ้มกว้าง “สัตว์อสูรนั่นมีการป้องกันที่แข็งแกร่งมาก และมีเพียงวิชาที่ท่านให้มาเท่านั้นที่จะสามารถทำลายการป้องกันของมันลงได้”
“ดังนั้นแล้วเพื่อที่จะโจมตีสัตว์อสูรนั่นให้ตาย ข้าจึงจำเป็นต้องยอมเลือกที่จะโง่และเอาตัวเข้าแลก”
หลังจากเป็นเพื่อนกับซูฟ่านมาสองปี หวังยู่หลุนก็สามารถเข้าใจเจตนาที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของซูฟ่านได้
“ไม่เลย นั่นหมายความว่าความสามารถในการต่อสู้ของเจ้ามันแย่มากต่างหาก” ซูฟ่านส่ายหัวและพูด
“เจ้ารู้จักวิธีการต่อสู้อื่นนอกเหนือจากการต่อสู้กันตรงๆ บ้างไหม? ลอบโจมตี? วางยา? โจมตีจากระยะไกล? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แนวคิดที่ข้าเคยบอกเจ้าไปตั้งนานแล้วหรอกหรอ?”
“และถึงข้าจะสอนวิชาการป้องกันหรือการต่อสู้ระยะประชิดให้กับเจ้า แต่กว่าจะถึงตอนนั้น เจ้าก็คงจะลืมมันไปหมดแล้ว”
“ฮ่าฮ่า ก็ตอนนั้นข้าคิดแต่จะฆ่าสัตว์อสูรนั่นลงให้ได้” หวังยู่หลุนหัวเราะเบาๆ
ซูฟ่านมีอิทธิพลอย่างมากต่อทักษะการต่อสู้ของหวังยู่หลุน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาก็มักจะได้รับคำแนะนำมาโดยไม่รู้ตัวในระหว่างการสนทนา
มิฉะนั้นแล้ว หวังยู่หลุนก็คงจะไม่สามารถฆ่าสัตว์อสูรขอบเขตฝึกปราณขั้นหกได้ด้วยความแข็งแกร่งขอบเขตฝึกปราณขั้นสี่ของเขา
“ลืมมันไปซะ เจ้าคงต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้”
ซูฟ่านรู้สึกเหนื่อยใจกับการสอนและแนะนำอีกฝ่าย
“เอาน่าพี่ซู วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อเรียนรู้วิธีจัดการกับสัตว์อสูรที่มีพลังป้องกันและความว่องไวสูงเหล่านั้น” หวังยู่หลุนรีบพูด เนื่องจากนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญในการมาเยี่ยมซูฟ่านในครั้งนี้
“เจ้าซึ่งเป็นศิษย์โถงยุทธ์กำลังมาขอเรียนรู้จากข้าซึ่งเป็นคนเก็บตัวที่ไม่เคยออกจากนิกายเลยงั้นหรอ? นี่เจ้าเสียสติไปแล้วรึไงกัน?”
ซูฟ่านพูดโดยไม่หันศีรษะกลับไปมอง เขามองว่าทักษะการต่อสู้นั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ดังนั้นการสอนเรื่องแบบนี้จึงค่อนข้างจะยุ่งยาก
ในขณะนี้ ใบหน้าของหวังยู่หลุนก็เริ่มเขินอาย เราใช้เวลาร่วมกันมามากมาย แบบนั้นแล้วเขาจะไม่รู้ได้ไงว่าซูฟ่านเอาแต่อยู่ในนิกาย?
“พี่ซู หยุดล้อข้าเล่นได้แล้ว ข้ารู้ความสามารถในการต่อสู้ของท่านดี”
ย้อนกลับไปในตอนที่ซูฟ่านช่วยหวังยู่หลุน บาดแผลบนหน้าผากของสัตว์อสูรทั้งสามก็ยังคงทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงพวกมัน
ผู้ฝึกตนขอบเขตฝึกปราณขั้นสี่สามารถจัดการกับสัตว์อสูรที่กำลังเคลื่อนที่อยู่สามตัวพร้อมๆ กันได้
ในเวลานี้ ซูฟ่านก็นึกถึงตัวตนของหวังยู่หลุนซึ่งเป็นอัจฉริยะจากครอบครัวเล็กๆ และจากนั้นเขาก็ส่ายหัว
“เอาล่ะ ข้าจะบอกวิธีจัดการกับสัตว์อสูรเหล่านั้นให้เจ้าทราบก็ได้”
“แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าจะต้องบอกข้ามาว่าเจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรือเหาะที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเมื่อสักครู่นี้” ซูฟ่านกล่าว เขาเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรือเหาะยักษ์ลำนั้นมาก่อนแล้ว แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย
“ท่านกำลังพูดถึงเรือเหาะยักษ์หรอ? ไม่มีปัญหา ข้ารู้เรื่องนี้ดี” หวังยู่หลุนตอบอย่างรวดเร็ว
ซูฟ่านโยนเก้าอี้ไปทางหวังยู่หลุนและส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายนั่งลง
แสงสีม่วงเปล่งประกายออกมาจากนิ้วชี้ของเขา จากนั้นเขาก็แตะเบาๆ ไปที่จุดกลางระหว่างคิ้วของหวังยู่หลุน
ชั่วขณะหนึ่ง โลกก็กลับหัวกลับหาง และร่างของซูฟ่านกับหวังยู่หลุนก็ปรากฏขึ้นในโลกสีขาวบริสุทธิ์
“พี่ซู ศาสตร์ลวงตาของท่านนี่มันช่างท้าทายสวรรค์จริงๆ นี่เป็นวิชามายาใช่ไหม?” หวังยู่หลุนถามด้วยความประหลาดใจและมองไปรอบๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถฝึกวิชานี้ทั้งที่ยังอยู่ในขอบเขตฝึกปราณได้
“ใช่แล้ว มันเป็นวิชามายา ในพื้นที่นี้ เจ้าก็สามารถใช้กำลังของเจ้าได้เต็มที่เลย”
“เอาล่ะ ถึงเวลาสอนบทเรียนแล้ว ข้าไม่สามารถรักษามันไว้ได้นานนักด้วยพลังของข้าในตอนนี้” ซูฟ่านกล่าว
ท้องฟ้าสีคราม ทุ่งหญ้า แม่น้ำ และภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขา
ขณะเดียวกัน ตั๊กแตนตำข้าวหินซึ่งอยู่ในขอบเขตฝึกปราณขั้นเจ็ดก็ปรากฏตัวขึ้น
“เท่าที่ข้ารู้ สัตว์อสูรที่มีพลังป้องกันและความว่องไวสูงที่สุดก็คือเจ้านี่”
“เจ้ามีเวลาหนึ่งก้านธูป มาดูกันซิว่าเจ้าจะสามารถฆ่ามันได้หรือไม่ แล้วจากนั้นข้าจะค่อยชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของเจ้า”
เมื่อซูฟ่านพูดจบ ตั๊กแตนตำข้าวหินก็ยกแขนที่เหมือนคมมีดขึ้นและกลายเป็นเงา พุ่งไปทางหวังยู่หลุผ
“บ้าเอ๊ย! ท่านไม่ได้พูดคำว่า 'เริ่ม!' ด้วยซ้ำ”
หวังยูหลุนกลายเป็นเงาและเริ่มต่อสู้กับตั๊กแตนตำข้าวหินโดยทันที
ขณะใช้วิชาขี่ลมขนนกจนถึงขีดสุด หวังยู่หลุนก็ยังสร้างผนึกมือและหอกเพลิงก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา มันพุ่งตรงไปที่ตั๊กแตนตำข้าวหินที่อยู่ข้างหลังเขา
ทันใดนั้นร่างของตั๊กแตนตำข้าวหินก็เร่งความเร็วขึ้น โดยหลบวิชาหอกเพลิงของหวังยู่หลุนได้
“ความเร็วของเจ้าถือว่าใช้ได้ แต่ความเร็วในการร่ายวิชาหอกเพลิงของเจ้าก็ยังช้าเกินไป และความแม่นยำของเจ้าก็ดูราวกับเด็กปาของเล่น” ซูฟ่านชี้ข้อดีข้อเสียของหวังยู่หลุนอย่างไร้ความปราณี
หวังยู่หลุนเสียสมาธิไปครู่หนึ่งและถูกตั๊กแตนตำข้าวหินฉวยโอกาสโจมตี มันทิ้งบาดแผลไว้บนร่างกายของเขา
“และเจ้าก็ยังฟุ้งซ่านในระหว่างการต่อสู้ด้วย”
“ตั้งใจหน่อย~”