ตอนที่แล้วบทที่ 5: ปรมาจารย์ผู้สร้าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7: เรือเหาะยักษ์ ตั้งใจหน่อย~

บทที่ 6: จางเว่ยหยุน


บทที่ 6: จางเว่ยหยุน

เช้ามาถึงแล้ว และฝนเริ่มตกลงมาจากท้องฟ้า

ซูฟ่านซึ่งได้รับการปกป้องภายใต้ผ้าคลุมกันฝนโดยเฉพาะกำลังรีบไปยังหุบเขาน้องใหม่

หากยังไม่ถึงขอบเขตฝึกปราณ ศิษย์ใหม่ทุกคนก็จะถูกจัดให้เรียนรวมกันในหุบเขาขนาดใหญ่ ซึ่งมันก็มีศิษย์ใหม่หลายพันคนในทุกๆ ปี

ลึกเข้าไปในเทือกเขา เมืองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาซูฟ่าน ไม่เพียงแต่มันจะมีการรับสมัครศิษย์ใหม่ที่นี่เท่านั้น แต่มันยังมีคนธรรมดาจำนวนมากที่รับใช้นิกายและผู้ฝึกตนบางส่วนที่ทำงานค้าขายกันอยู๋ที่นี่ด้วย

ซูฟานอดไม่ได้ที่จะชื่นชมภาพกำแพงเมืองขนาดมหึมาทุกครั้งที่ได้เห็น

“กำแพงใหญ่ขนาดนี้มีประโยชน์อะไร?”

เมื่อมาถึงประตูเมือง ซูฟ่านก็หยิบตราออกมาและเข้าไปในเมือง เขามุ่งหน้าไปยังบริเวณโรงสอนเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมาก่อนหน้านี้

หลังจากผ่านมาสามปี เขาก็คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดีแล้ว

“เฮ้! นี่มันซูฟ่านไม่ใช่หรอ? เจ้ากลับมาหาหยุนน้อยแล้วใช่ไหม!”

ลุงวัยกลางคนหยุดซูฟ่านที่กำลังเดินผ่าน

ใบหน้าของซูฟ่านมีรอยยิ้มที่น่าอึดอัดใจซึ่งไม่ได้ปราศจากความสุภาพ

“ลุงจาง ไม่เจอกันนานเลย ท่านดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยนะ”

เมื่อมองดูคนตรงหน้า ซูฟานก็นึกถึงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนกรานจะแต่งงานกับเขา ในเวลานั้น เขาพบว่ามันเป็นเรื่องน่าขบขันจึงตอบตกลงกลับไป “เอาล่ะ ในอนาคต ข้าจะเป็นสามีให้เจ้า และหลังจากนี้ข้าจะไปมอบของหมั้นให้พ่อของเจ้าเอง”

คำพูดหยอกล้อของเขาถูกได้ยินโดยพ่อของเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งบังเอิญกำลังตามหาเธออยู่ นั่นจึงเป็นผลให้ซูฟ่านได้รับพ่อตามาโดยปริยาย

“ไม่ต้องสนใจเรื่องสุขภาพข้าหรอก แค่มอบของขวัญหมั้นมาให้ข้าก่อนก็พอ หยุนน้อยอยากพบเจ้าจะแย่แล้ว”

“ข้าคิดว่าอีกไม่นานคุณจะได้เห็นหยุนน้อยในนิกายด้านนอก”

ขณะพูด ลุงวัยกลางคนหยิบนกกระเรียนกระดาษออกมา และติดพลังทางจิตวิญญาณไว้ด้วยท่าทางมือ

“ลุงจาง อย่าแจ้งหยุนน้อยเลยนะ ข้าแค่มาทำงานแล้วก็จะจากไปแล้ว อย่างที่ท่านทราบ ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก” ซูฟ่านรีบหยุดลุงจางในขณะที่เขาหยิบนกกระเรียนกระดาษออกมาจากอก

“สายไปแล้ว” ลุงจางกล่าว

เมื่อพูดจบ นกกระเรียนกระดาษก็บินออกไปไกลแล้ว

“ในฐานะลูกผู้ชาย เจ้าต้องรักษาคำพูด ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งป้าหลินและข้าก็ยังพอใจในตัวเจ้ามาก”

รอยยิ้มอันแสนหวานของลุงจางทำให้ซูฟ่านรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ย้อนกลับไปในเวลานั้น ลุงจางไม่ควรโกรธหรอที่ผู้ชายหน้าไหนก็ไม่รู้มาสัญญากับลูกสาวของเขาว่าจะแต่งงานด้วยกัน นอกจากนี้ ทำไมเขาถึงมองฉันราวกับว่าฉันเป็นลูกเขยของเขาไปแล้วกัน?

“เอาล่ะ เราอย่าพูดถึงมันอีกต่อไปเลย ข้ายังมีทุ่งวิญญาณให้ต้องรดน้ำ”

ลุงจางตบไหล่ซูฟ่านแล้วเดินไปที่ขอบเมือง

“นี่เขาไม่สนใจลูกสาวตัวเองเลยรึยังไงกันนะ?” ซูฟ่านพึมพำขณะมองดูร่างที่เดินหายไปของลุงจาง

เมื่อซูฟ่านมาถึงโรงสอน เขาก็พบว่าศิษย์ใหม่ทั้งหมดได้มารวมตัวกันแล้ว มีเด็กกว่าร้อยคน และแต่ละคนก็อายุ 10 ปีขึ้นไป พวกเขาต่างเฝ้าดูเขาอย่างกระตือรือร้น

“ปีนี้มีศิษย์ใหม่เยอะจัง” ซูฟ่านอุทานกับอาจารย์เฒ่าที่เป็นคนคุมที่นี่

“ปีนี้มีอัจฉริยะปรากฎตัวขึ้นมากมายในโถงยุทธ์ และมันก็ค่อนข้างจะมากจนเกินไป ดังนั้นนิกายจึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถด้านการปรุงยา การสร้างอุปกรณ์ และการปลูกพืช นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมตอนนี้จึงมีศิษย์มาเรียนหลักสูตรนี้เยอะนัก” อาจารย์เฒ่าอธิบายอย่างช้าๆ

ซูฟ่านพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเขาเดินเข้าไป เขาก็เริ่มสอนบทเรียนแรกโดยทันที

ในห้องเรียน ซูฟ่านจ้องมองดวงตาที่ไร้เดียงสาคู่หนึ่งและสัมผัสถึงความหลัง มันชวนให้นึกถึงฉากที่เขาเข้ามาในนิกายเป็นครั้งแรก

“ข้าเป็นอาจารย์ที่จะมาสอนวิชานทีวิญญาณให้กับพวกเจ้าในวันนี้”

ขณะที่ซูฟ่านพูด ม่านแสงก็ปรากฏขึ้นบนผนังด้านหลังเขา

เคล็ดลับและทักษะที่จำเป็นสำหรับวิชานทีวิญญาณปรากฏขึ้นบนม่านแสง

ขณะเดียวกัน ม่านแสงอีกม่านก้ปรากฏขึ้น มันนำเสนอแผนภาพของร่างกายมนุษย์ที่มีเส้นสมปราณเสมือนจริง

“อย่างน้อยๆ พวกเจ้าก็คงจะถึงขอบเขตฝึกปราณขั้นหนึ่งแล้วหากพวกเจ้าสามารถลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรนี้ได้”

“ตอนนี้ ข้าจะสอนเคล็ดลับสำหรับวิชานทีวิญญาณ และสิ่งที่พวกเจ้าควรใส่ใจเมื่อใช้ผนึกมือให้ก่อน”

“ความเร็วและระดับพลังปราณที่พวกเจ้าระดมเรียกนั้นมีความสัมพันธ์กับความเร็วที่พวกเจ้าสร้างผนึกมือ”

“ดังนั้นแค่เพียงพวกเจ้าขยับและสร้างผนึกมือเฉยๆ พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์การใช้วิชานี้ได้หรอกนะ”

ขณะที่ซูฟ่านอธิบายอย่างลึกซึ้ง ดวงตาของเหล่าศิษย์ใหม่ก็สว่างขึ้น

“ในที่สุด เราก็เจออาจารย์ที่รู้วิธีสอน!” นี่คือความคิดของศิษย์ใหม่ทุกคนในชั้นเรียน

ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ถูกรวบรวมมาจากตัวการฝึกวิชานทีวิญญาณด้วยตัวของเขาเอง ในสมัยนั้น พวกอาจารย์ก็จะบอกแต่ให้ขยันฝึก และบอกวิธีแก้ปัญหาแค่เฉพาะจุดใหญ่ๆ เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์บางคนก็ยังเอาแต่บอกว่าพรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญ

ในขณะนี้ อาจารย์เฒ่าที่ยืนอยู่นอกห้องเรียนและกำลังฟังบทเรียนอยู่ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แม้วิชานี้จะซับซ้อนอยู่เล็กน้อย แต่ซูฟ่านก็ยังสามารถอธิบายมันได้เป็นอย่างดี

หลังจากเรียนจบ ลูกศิษย์กลุ่มต่อไปก็รออยู่ข้างนอกแล้ว

“คารวะท่านอาจารย์!”

ลูกศิษย์ทุกคนยืนขึ้นและโค้งคำนับซูฟ่าน

ซูฟานรู้สึกยินดีแปลกๆ เมื่อได้เห็นสิ่งนี้

“ข้ายังสอนไม่จบเลย ตามข้าออกไปข้างนอกก่อน” ซูฟานพาลูกศิษย์ใหม่ออกไปนอกห้องเรียน

ตอนนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว และดวงอาทิตย์ก็ส่องลงมาทะลุช่องเมฆแล้ว

“ข้าจะสาธิตวิชานทีวิญญาณให้พวกเจ้าดูอย่างช้าๆ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้เห็นตัวอย่าง”

ขณะที่เขาพูด ร่างกายของซูฟ่านก็เริ่มเปล่งประกาย เขาใช้วิชาแสงและเงาเพื่อแสดงเส้นลมปราณที่จำเป็นสำหรับวิชานทีวิญญาณ

เงาสูงสี่เมตรปรากฏขึ้น เงาที่คล้ายมนุษย์ก่อตัวเป็นผนึกมืออย่างช้าๆ โดยประสานกับแผนภาพเส้นลมปราณของร่างกาย

วิชานทีวิญญาณที่ดำเนินการไปอย่างสมบูรณ์แบบได้ถูกสร้างขึ้น

“ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วพวกเจ้ายังไม่สามารถใช้วิชานี้ได้อีก พวกเจ้าก็อาจจะต้องยอมแพ้ให้กับวิชานี้แล้ว”

จากนั้น ซูฟ่านก็สอนบทเรียนต่อไปให้กับลูกศิษย์ใหม่

...

หลังจากจบบทเรียนทั้งสองบทแล้ว ซูฟ่านก็กำลังจะออกจากเมือง แต่แล้วเขาก็ถูกเด็กสาวแสนสวยจับตัวเอาไว้ก่อน

“สามีที่รัก ในที่สุดข้าก็พบท่านแล้ว!” เสียงน่ารักดังออกมา

ซูฟ่านพยายามผลักเด็กสาวออกไปอย่างช้าๆ แต่เขาก็พบว่าเธอแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจและต้องยอมแพ้ลงในที่สุด

“หยุนน้อย ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าแค่ล้อเล่นในตอนที่ข้าสัญญากับเจ้า” ซูฟ่านกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

“มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านเราแล้ว เราสองคนก็ได้แลกเปลี่ยนสัญลักษณ์แห่งรักกันแล้ว บัดนี้ เราสองคนก็เป็นสามีภรรยากันตลอดชีวิตแล้ว!”

จางเว่ยหยุนหยิบจี้คิตตี้ออกมาให้ซูฟ่านดู

“ ดูสิสามี นี่คือสัญลักษณ์แห่งรักที่ท่านมอบให้ข้าไง?”

“นั่นมันของเล่น มันไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งรักอะไรสักหน่อย” ซูฟานพูดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ข้าไม่สนเรื่องนั้นหรอก ท่านเป็นสามีของจางเว่ยหยุนแล้ว”

“……”

ในท้ายที่สุด ซูฟ่านก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะหนีจากจางเว่ยหยุนได้

“ถ้าฉันเจอสถานการณ์แบบนี้ในชาติที่แล้ว ฉันก็คงจะดีใจมากจนน้ำตาไหลไปแล้ว”

“แต่ก็เอาเถอะ เฮ้อ ลืมเรื่องความรักไปซะดีกว่า มันถูกกำหนดเอาไว้แล้วให้เป็นโศกนาฏกรรม”

หลังจากเข้าเรียนช่วงบ่ายที่ยอดเขาไท่เยว่แล้ว ซูฟ่านก็กลับมาที่ยอดเขาเล็กๆ ของเขา

“ในอีกเจ็ดถึงแปดวัน ต้นข้าววิญญาณก็จะพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว”

“ด้วยหินวิญญาณที่ได้มา ฉันก็จะสามารถเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักปรุงยาของฉันได้สักที” ซูฟ่านรำพึงขณะมองไปที่นาข้าวหน้าบ้านของเขา...

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด