บทที่ 4: โถงระดับ A
บทที่ 4: โถงระดับ A
ซูฟ่านมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม สวัสดิการอย่างเดียวของระบบของเขาก็คือ มันสามารถสร้างภาพมายาเพื่อป้องกันการตรวจสอบทุกประเภทจากผู้ฝึกตนที่ทรงพลังได้ ด้วยสิ่งนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ฝึกตนที่ทรงพลังเหล่านั้นที่จะตรวจจับความผิดปกติใดๆ
“เอาจริงๆ นะ พวกเขาว่างขนาดมาตรวจดูความปลอดภัยของนิกายในทุกๆ สองสามวันเลยอย่างงั้นหรอ?”
นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดเกี่ยวกับนิกานเทียนฉัวสำหรับซูฟ่าน แม้แต่ยอดเขาเล็กๆ อย่างเขาก็ยังถูกตรวจสอบอย่างระมัดระวังโดยผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง ตอนแรกเขาคิดว่าพวกเขาค้นพบความผิดปกติของเขาแล้ว แต่ต่อมา เขาก็พบว่าทุกคนล้วนได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน
หลังจากบ่นเสร็จ ซูฟ่านก็หยิบเอาแผ่นหยกที่ยืมมาออกมาดู จากนั้นเขาก็เริ่มวิเคราะห์มันอย่างจริงจัง นี่คือหนึ่งในงานอดิเรกของเขา มันคือการเรียนรู้วิชาใหม่ๆ จากนั้นก็แยกโครงสร้างและสร้างมันขึ้นใหม่
สิ่งที่ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มองว่าเป็นไปไม่ได้นั้นง่ายราวกับการกินและดื่มสำหรับเขา
“วิชารวมวิญญาณ รวบรวมแก่นแท้วิญญาณของสัตว์อสูร”
“วิชารักษาวิญญาณ รักษาพลังชีวิตและความทรงจำของจิตวิญญาณ”
“ วิชาคุมดิน สามารถสร้างและปรับรูปร่างดินได้ตามใจต้องการ
“วิชาทั้งสามนี้น่าสนใจมาก หากรวมพวกมันเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมแล้วล่ะก็ ฉันก็อาจจะสามารถสร้างวิชาอัญเชิญออกมาได้ก็ได้”
“หากฉันใช้วิชาอัญเชิญ วิชารักษาวิญญาณในตอนนี้ก็สามารถรักษาวิญญาณเอาไว้ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ถ้าฉันจะรักษามันไว้นานๆ มันก็จำเป็นจะต้องมีภาชนะที่เหมาะสม”
“แต่ภาชนะที่เหมาะสมก็มีราคาแพงเกินไป ฉันไม่สามารถจ่ายมันได้”
ในท้ายที่สุด ซูฟ่านก็วางแผ่นหยกในมือทั้งสามลงอย่างไม่เต็มใจ วิชาอัญเชิญนี้ดูเหมือนจะมีราคาแพงเล็กน้อย
ในขณะนี้ ฝูงนกกระจอกก็บินอยู่บนท้องฟ้า
ซูฟ่านเอื้อมมือออกไปคว้าพวกมันมาตัวหนึ่ง นกกระจอกสูญเสียวิญญาณและล้มลงกับพื้น
นกกระจอกโปร่งแสงตัวเล็กๆ ปรากฏขึ้นในมือของซูฟ่าน
“เจ้านกกระจอกตัวน้อย จงยอมแพ้และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ซะเถอะ”
ซูฟ่านแยกชิ้นส่วนวิญญาณของมันออกดูอย่างช้าๆ และก้อนโคลนเล็กๆ จากพื้นดินก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
ก้อนโคลนและเศษชิ้นส่วนวิญญาณของนกกระจอกรวมเข้าด้วยกัน และในพริบตา โกเลมโคลนตัวเล็กๆ ที่ทำมาจากเศษเสี้ยววิญญาณนกกระจอกก็ปรากฏขึ้น
ซูฟ่านมองไปที่โกเลมโคลนสีน้ำตาล เขาส่ายหัว เขาปรับปรุงรูปร่างของโกเลมเล็กน้อย จากนั้นลูกบอลไฟก็ปรากฏขึ้นรอบๆ โกเลมโคลน
ครู่ต่อมา นกกระจอกเซรามิกย่างก็ปรากฏขึ้นในมือของซูฟ่าน
“แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ได้ฉีดวิญญาณของนกกระจอกเข้าไปในภายในตัวนกกระจอกเซรามิก
“เอาล่ะ ไหนลองขยับให้ดูหน่อยซิ”
ขณะที่เขาพูด แสงแห่งจิตวิญญาณก็ส่องริบหรี่บนปลายนิ้วของเขา เขาสัมผัสเบาๆ ไปที่หัวของนกกระจอกเซรามิก
ทันใดนั้น นกกระจอกเซรามิกก็ดูเหมือนจะเกิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง มันกระพือปีกอย่างสนุกสนานและเต้นรำไปรอบๆ ซูฟ่าน
“ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี แต่ฉันไม่รู้ว่ามันจะตอบสนองต่อวิญญาณของสัตว์อสูรได้เหมือนแบบนี้เลยไหม” ซูฟ่านลูบคางของเขาแล้วพูด
ในขณะนี้ นกกระจอกเซรามิกบนท้องฟ้าจู่ๆ ก็แข็งตัวขึ้น มันสูญเสียพลังชีวิตและหล่นลงพื้นไปโดยทันที
“ล้มเหลว ฉันยังรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างขาดไป เอาเถอะ ไว้ฉันค่อยมาคิดเกี่ยวกับมันดูอีกทีก็แล้วกัน”
...
ในขณะเดียวกัน หวังยู่หลุนซึ่งอยู่ในระหว่างทำภารกิจนอกนิกายก็ตกตะลึงในขณะที่เขามองไปที่สัตว์อสูรขอบเขตฝึกปราณขั้น 6 ที่เขาฆ่าลงด้วยกระบวนท่าเดียว
“แค่กระบวนท่าเดียว กระบวนท่าเดียวเท่านั้น” หวังยู่หลุนมองดูรูโบ๋บนหัวของสัตว์อสูรที่เกิดจากวิชาหอกเพลิงของเขา เขาพึมพำกับตัวเองและแทบไม่อยากจะเชื่อเลย
นับตั้งแต่เขาได้รับวิชาทั้งสองจากพี่ใหญ่ผู้แสนดีของเขามา เขาก็ได้ศึกษามันในชั่วข้ามคืน
ในความคิดของเขา วิชาขี่ลมขนนกเก็เป็นการผสมผสานอันลึกซึ้งระหว่างวิชาตัวเบากับวิชาขี่ลม ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่ต้องใช้มันทั้งสองพร้อมๆ กัน และมันก็ช่วยประหยัดความพยายามและภาระที่เขาต้องแบกรับลงไปได้เป็นอย่างมาก
หลังจากอ่านมันจบเพียงครั้งเดียว หวังยู่หลุนก็ตระหนักได้ทันทีว่าด้วยวิชานี้ เขาก็กล้าพูดได้เลยว่าจะไม่มีใครในขอบเขตฝึกปราณที่สามารถตามเขาได้ทัน
ขณะเดียวกัน วิชาหอกเพลิงก็นี่เป็นวิชาที่เขามิอาจต้านทานได้ ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
ในตอนแรก เขาคิดเอาไว้แล้วว่าวิชานี้จะยิ่งใหญ่ทรงพลัง แต่กระนั้นหวังยู่หลุนก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะทรงพลังมากถึงขนาดนี้ ด้วยวิชานี้ เขาก็สามารถสังหารสัตว์อสูรขอบเขตฝึกปราณขั้น 6 ลงได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ในขณะนี้ ศิษย์พี่มาพร้อมกับเขาก็ได้เดินเข้ามาพร้อมกับพูดพึมพำว่า “หวังว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะยังไม่ถูกสัตว์อสูรกินนะ ไม่เช่นนั้นมันคงจะเป็นเรื่องยุ่งแน่”
ในนิกายเทียนฉัว เราจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อเข้าสู่โถงยุทธ์ โดยจะมีผู้คุมสอบเป็นศิษย์ขอบเขตก่อเกิดรากฐาน
การทดสอบของโถงยุทธ์มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดในนิกายเทียนฉัว โดยมันมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 9 ใน 10
“โอ้พระเจ้า! เจ้าฆ่ามันได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวหรอ?”
ศิษย์พี่มองดูบาดแผลบนหัวของสัตว์อสูรด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็มองดูหวังยู่หลุนที่ยังคงสงบนิ่งไม่พูดอะไร
“นี่โถงยุทธ์ของเรากำลังจะได้รับอัจฉริยะระดับ A เพิ่มขึ้นมาอีกคนอย่างงั้นหรอ?” ศิษย์พี่พึมพำ
ระบบการจัดอันดับของโถงยุทธ์ถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับ: A, B, C และ D ระดับ D ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม ระดับ C ถือได้ว่าเป็นปลาเล็กเท่านั้น และระดับ B เป็นกำลังหลักในโถงยุทธ์
สำหรับระดับ A พวกเขาก็จะได้รับการฝึกฝนให้เป็นนักสู้ระดับแนวหน้าและที่สำคัญที่สุด พวกเขาจะได้รับการสอนเป็นการส่วนตัวโดยผู้ฝึกตนขอบเขตสกัดสูญ พร้อมด้วยทรัพยากรและอาจารย์ระดับสูง
นี่คือสิ่งที่ทุกคนในโถงยุทธ์ใฝ่ฝันถึง
“ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงประหลาดใจนัก?” หวังยู่หลุนพูดอย่างเฉยเมย แต่เขาก็ค่อนข้างพึงพอใจกับท่าทีของอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไร ข้าแค่ตกใจกับความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของเจ้า การสังหารสัตว์อสูรขอบเขตฝึกปราณขั้น 6 ลงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้”
“ศิษย์น้องหวัง การเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่าได้นั้นสามารถจัดได้ว่าอยู่ในระดับ B”
“แต่เพื่อที่จะได้ระดับ A เจ้าก็ต้องฆ่าศัตรูที่อยู่สูงขึ้นไปอีกให้ได้”
“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้า หากเจ้าพยายามขึ้นอีกสักหน่อยและฆ่าสัตว์อสูรอีกสิบตัวได้ เจ้าก็จะได้รับระดับ A อย่างแน่นอน”
“เมื่อถึงเวลานั้น หลังจากที่เจ้าเข้าไปในห้องโถงระดับ A แล้ว เจ้าก็อย่าลืมพี่ชายคนนี้ล่ะ” ศิษย์พี่พูดกับหวังยู่หลุน
“ข้าจะทำแบบนั้นได้ยังไง ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านที่ช่วยแนะนำข้าเลยด้วยซ้ำ” หวังยู่หลุนกล่าวอย่างจริงจัง
“ฮ่าฮ่า มันก็เป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ศิษย์น้องหวัง เจ้าสุภาพเกินไปแล้ว” ศิษย์พี่โบกมือแล้วพูดอย่างจริงจัง “ศิษย์น้องหวัง ตอนนี้กลับไปทำการทดสอบต่อเถอะ”
“ในช่วงเวลาที่เหลือ เจ้าควรมุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชาโจมตีของเจ้าให้ดี และในอนาคต ข้าก็หวังว่าจะได้พบเจ้าในโถงระดับ A นะ”
ศิษย์พี่คนนี้เชื่อว่าหวังยู่หลุนจะสามารถเข้าไปในโถงระดับ A ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ แค่รางวัลสำหรับการแนะนำของเขาเพียงอย่างเดียวก็อาจเพียงพอที่จะแลกเป็นยาก่อเกิดรากฐานสองเม็ดแล้ว และหัวใจของเขาก็ตื่นเต้นมากขึ้น
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน” หวังยู่หลุนกล่าว
...
ในตอนเย็น ซูฟ่านมองไปที่หวังยู่หลุนที่ดูตื่นเต้นมากและพูดอย่างแปลกใจว่า “มันแปลกหรอที่จะสามารถฆ่าสัตว์อสูรขั้นหกลงได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว?”
“วิชาหอกเพลิงถูกออกแบบมาให้มีความนิ่งและแม่นยำ มันช่วยให้เจ้าสามารถเล็งและรับประกันการโจมตีที่แม่นยำได้”
“ดังนั้นแล้วมันคงจะแปลกถ้าเจ้าจะไม่สามารถฆ่าศัตรูลงภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ในสถานการณ์เช่นนี้”
ซูฟ่านพูดอย่างใจเย็นขณะย่างเนื้อสัตว์อสูรในมือของเขาอย่างใจเย็น เขารู้อยู่แล้วว่าวิชาหอกเพลิงนั้นทรงพลัง
เขาจะไม่รู้ได้ไง? ก็เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง...
ไม่นานนัก กลิ่นหอมอันน่าหลงใหลของเนื้อย่างก็ลอยกระจายไปในอากาศ
ในขณะนี้ หวังยู่หลุนก็ยังไม่หายจากอาการตื่นเต้น
“พี่ซู ทำไมท่านไม่ไปเข้าร่วมโถงยุทธ์กับข้าล่ะ”
“ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ท่านก็จะต้องได้รับการยกย่องจากผู้อาวุโสในนิกายอย่างแน่นอน และในโถงระดับ A ที่นั่นก็มีผู้ฝึกตนขอบเขตสกัดสูญคอยให้คำแนะนำท่านด้วย” หวังยู่หลุนโบกมืออย่างตื่นเต้นขณะที่เขาบรรยายฉากอนาคตอันสวยงามให้ซูฟ่านฟัง
“การต่อสู้และการฆ่าฟันนั้นไม่มีเรื่องดี และไม่ต้องพูดถึงอัตราการตายที่สูงเลย พวกมันด้อยกว่าปรมาจารย์ด้านการปรุงยาและปรมาจารย์ด้านการสร้างสิ่งประดิษฐ์เป็นไหนๆ”
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือหลังจากฝึกฝนจนถึงขอบเขตฝึกปราณขั้น 12 แล้ว เขาก็จะสามารถทะลวงได้ในวันสุดท้ายเท่านั้น ดังนั้นการเข้าสู่ห้องโถงระดับ A จึงจะเป็นความรุ่งโรจน์เพียงชั่วคราวเท่านั้น
จะดีกว่าไหมถ้าจะเก็บรายละเอียดต่ำไว้ตั้งแต่ต้น?