บทที่ 4 นายพลกบฏเสี่ยวโหว
“เร็วเข้า พวกนายพลกบฏนั้นกำลังตามมา”
“เท้าข้าเจ็บ...”
“ตอนนี้ชีวิตสำคัญกว่าน้องหญิง อดทนไว้”
ในป่า ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังวิ่งหนีบางอย่างด้วยความเร่งรีบ พวกเขาสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินแบบเดียวกันและมีกระบี่ยาวคาดเอว ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาส่วนหญิงสาวก็งามบริสุทธิ์
แต่ในเวลานี้พวกเขาดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบสักเท่าไหร่ เสื้อผ้าบนหลังของชายคนนั้นดูเหมือนจะถูกบาดเป็นรอยขาดและมีเลือดไหลออกมาจนดูน่าตกใจ แม้หญิงสาวจะไม่ได้รับบาดเจ็บมาก แต่ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนต้องเดินขากะเผลก
ส่วนฉางห่าวก็มีสีหน้าไม่พอใจนัก เขาเกลียดการไม่มีกำลังมากพอจะปกป้องน้องหญิงของเขาให้ดีจนปล่อยให้ถูกตามล่าไปพร้อมกัน
ฉางเฉียนเฉียนก็เสียใจที่นางไม่น่ารบกวนพี่ชายให้พาลงจากเขา เพราะโลกภายนอกไม่ได้สวยงามอย่างที่นางคิด
ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันในใจ พวกเขารีบออกจากป่าอย่างรวดเร็วก่อนจะมาถึงทะเลสาบที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งอีกฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบมีชายและหญิงยืนอยู่ ทั้งคู่สวมชุดสีขาวที่ดูโดดเด่นมากในยามค่ำคืน
เสื้อผ้าสีขาวพริ้วไสวของต้าจี๋นั้นงดงามแต่ตรงข้าม ผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงกับเสื้อผ้าสกปรกของฉินจวินกลับแตกต่างจากอีกคนไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาช่างไม่เหมาะที่จะยืนอยู่ด้วยกันเอาเสียเลย
“ชะงัก มองเสียข้าหมดความหล่อ!”
สายตาของฉินจวินกำลังลุกเป็นไฟเมื่อสัมผัสได้ถึงความคิดทางสายตาที่ทั้งคู่จ้องมา ถ้าดวงตาเขาสามารถฆ่าฉางห่าวกับฉางเฉียนเฉียนได้พวกเขาคงเป็นซากศพไปแล้ว
คิ้วต้าจี๋ขมวดยังคงไม่คลาย นางพึมพำ “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้พบผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรแก่นทองคำในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้”
อาณาจักรแก่นทองคำ
ฉินจวินสั่นสะท้านไปทั้งตัว มีผู้ที่แข็งแกร่งระดับอาณาจักรแก่นทองคำเพียงไม่กี่คนในอาณาจักรเฉียนเยว่ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดการณ์โดยไม่รวมจากนิกายของเหล่านักพรต
นิกายนักพรตไม่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักร ปัจจุบัน มีนิกายนักพรตหลักสามนิกายในอาณาจักรเฉียนเยว่ แต่ละนิกายได้รับการปกป้องจากเหล่าผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรแก่นทองคำที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาณาจักรจะส่งเหล่าผู้บ่มเพาะอัจฉริยะไปฝึกฝนหนึ่งในสามนิกายหลักเหล่านี้
นิกายซวนหลิง, นิกายจื่อกวงและหุบเขาเฟิน
นิกายหลักทั้งสามในอาณาจักรเฉียนเยว่เป็นเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่ที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือ
และหนึ่งในหมู่นิกายหลักเหล่านี้มีศัตรูตัวฉกาจของฉินจวินอย่างองค์ชายห้าฉินอวี๋เป็นผู้นำของเหล่าลูกศิษย์นิกายจื่อกวง
“พวกเจ้าทั้งสองหนีไป นายพลกบฏเสี่ยวโหวกำลังไล่ตามเรา”
ทั้งสองวิ่งเข้ามาก่อนที่ฉางเฉียนเฉียนจะตะโกนขณะที่นางกำลังวิ่งเข้าหาฉินจวินทำให้ฉางห่าวที่ได้ยินถึงกับแอบสบถอยู่ในใจ นี่มันกี่ยามแล้ว ยังมีหน้าเตือนผู้อื่นอีก จะไม่เป็นการดีหรือหากปล่อยให้พวกเขาอยู่และถ่วงเวลาเจ้านายพลเสี่ยวโหว
นายพลกบฏเสี่ยวโหวหรือ
ฉินจวินขมวดคิ้วทันที ทุกจักรวรรดิต่างก็มีกบฏกันทั้งนั้นแต่เสี่ยวโหวเคยเป็นนายพลของเมืองเจิ้งกั๋วที่แข็งแกร่งและชั่วช้าสุดในอาณาจักรเฉียนเยว่ เพราะแอบมีความสัมพันธ์ลับกับนางสนมคนหนึ่งขององค์จักรพรรดิ จึงทำให้จักรพรรดิโกรธส่งหนานเหมิงตามฆ่า แต่น่าเสียดายที่ปล่อยเขาหนีไปได้
ตั้งแต่นั้นมาหนานเหมิงก็ได้ขึ้นแทนที่เสี่ยวโหวเป็นแม่ทัพคนใหม่ของเจิ้งกั๋ว
ฉินจวินไม่กลัว(ล้อเล่น) แต่คนที่ยืนถัดจากทาสหนุ่มผู้นี้ คือผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งในชั้นที่ห้าของอาณาจักรปรับแต่งความว่างเปล่า เขายังต้องกลัวผู้บ่มเพาะระดับอาณาจักรแก่นทองคำผู้ต่ำต้อยไปทำไม
ฉางห่าวและฉางเฉียนเฉียนวิ่งเข้าใกล้ฉินจวินมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าพวกเขาก็ต้องประหลาดใจกับความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของต้าจี๋
มีหญิงที่งดงามเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ...
สองพี่น้องต่างถอนหายใจในใจพร้อมกันด้วยความหลงใหล โดยเฉพาะฉางห่าวที่แทบจะน้ำลายไหลหลังจากที่ได้เห็นรูปโฉมอันน่าลุ่มหลงเช่นนั้น
“เจ้ามองอะไร พวกเจ้าอยากหนี ก็ไปเสียสิ”
ฉินจวินพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองหลังเห็นสายตาหยาดเยิ้มของฉางห่าว กล้าดีอย่างไรมองหญิงรับใช้ของข้า ทาสผู้นี้
ฉางเฉียนเฉียนก็โกรธกับคำพูดอวดดีของชายผู้นี้เช่นกัน “พวกข้าขอเตือนว่าความคิดของเจ้าเป็นอย่างไร”
“ใครอยากให้เจ้าเตือนกัน ก็แค่เสี่ยวโหว สู้กับพวกขยะไม่มีประโยชน์ต่อสังคม*” ฉินจวินกล่าวอย่างเหยียดหยาม
คำพูดของเขาทำให้ฉางเฉียนเฉียนหยุดชะงัก นางจ้องเขาด้วยดวงตากลมโตและถาม “เจ้าไม่กลัวเสี่ยวโหวงั้นหรือ”
แม้นางจะไม่เข้าใจความหมายของพวกขยะที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมแต่นางก็บอกได้ว่า ฉินจวินดูเหมือนจะไม่มีความกลัวเสี่ยวโหวจริงๆ
เจ้าขอทานตัวน้อยนี้เป็นเซียนงั้นหรือ
หากฉินจวินรู้ว่าฉางเฉียนเฉียนเรียกเขาว่าขอทานตัวน้อยในใจ เขาคงได้กระอักเลือดด้วยความกระเทือนใจอย่างแน่นอน
“ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า” ฉินจวินกลอกตาและพูดอย่างเย็นชา ในเวลาเดียวกันสมองของเขาก็เริ่มทำงานพร้อมคิดหาวิธีรับมือกับผู้ที่กำลังมาเยือน
หากเสี่ยวโหวถูกตัดหัวเขาก็จะสามารถกลับเมืองหลวงได้อย่างยุติธรรมและซื่อสัตย์
ท่านพ่อขี้งกของเขาเกลียดเสี่ยวโหวเสียยิ่งกว่าอะไร ด้วยเหตุนี้ฉินจวินก็จะสามารถใช้หัวของเสี่ยวโหวในการทำความดีเพื่อชดใช้ความผิดของตน และได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ
“เจ้าคิดบ้าอะไรกันแน่” ฉางเฉียนเฉียนเป็นถึงบุตรสาวของผู้นำนิกายซวนหลิง นางถูกปฏิบัติอย่างหยาบคายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แน่นอนว่าไม่นับเสี่ยวโหว เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์เลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นน้องหญิงตัวน้อยของตนเองถูกรังแกด้วยคำพูดอวดดี ฉางห่าวก็เอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคืองทันที “ไอ้หนู เจ้ากำลังแส่หาความตาย รู้หรือไหม”
ถึงใบหน้าของฉินจวินจะสกปรกแต่ก็สามารถบอกได้ว่าฉินจวินอายุน้อยกว่า ส่วนต้าจี๋ดูจากลักษณะท่าทางอายุก็น่าจะวัยดั่งลูกกระวาน (อายุ 13)
ในฐานะอัจฉริยะของนิกายซวนหลิงเขาไม่คิดว่าฉินจวินจะมีฝีมือดีไปกว่าเขา
ในความคิดเขา ฉินจวินก็แค่กำลังโม้ต่อหน้าหญิงงามอย่างต้าจี๋ก็เท่านั้น
ฉางห่าวไม่เคยได้ยินว่าจะมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าระดับอาณาจักรแก่นทองคำอายุต่ำกว่ายี่สิบปีเลยสักครั้ง และฉินจวินกับทั้งสองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสี่ยวโหวผู้มีประสบการณ์ในระดับอาณาจักรแก่นทองคำที่แข็งแกร่ง
“น้องหญิง ไปเร็วเข้า อย่ารนหาที่ตายตามพวกมันเลย” ฉางห่าวรีบหันหน้าไปและพูดกับฉางเฉียนเฉียน
“เดิน เจ้าเดินได้หรือไม่”
ขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันอยู่ เสียงตะโกนอันทรงพลังที่ดังก้องไปทั่วทั้งป่าตลอดทั้งคืนก็ดังขึ้นก่อนปรากฎร่างกำยำกระโดดออกมาจากป่าฝั่งตรงข้าม
ฉินจวินหันกลับไปมองก็เห็นร่างนั้นที่อยู่ไกลๆ ตอนนี้เขาอยู่ในชั้นที่สี่ของอาณาจักรกลั่นลมปราณแล้ว สายตาของเขาจึงว่องไวเหนือกว่าคนทั่วไปจนสามารถมองเห็นใบหน้าและภาพลักษณ์ของผู้ที่มาอย่างชัดเจน
ชายร่างกำยำสวมชุดเกราะเหล็กที่ดูทรุดโทรม ในมือถือกระบี่ยาวทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อแข็งแรงพอๆกับมังกร ยิ่งได้เห็นก็ถึงกับช็อก บูม! ชายร่างใหญ่เหยียบลงไปบนพื้นหญ้าตรงข้ามทะเลสาบดินถึงกับจมลง ผมเผ้ารุงรังสีดำยุ่งปลิวไสวไปตามสายลม ดวงตาที่ดุร้ายราวกับเสือดาวคู่นั้นเบิกกว้างขึ้น เผยให้เห็นความเหี้ยมโหดในสายตาอย่างชัดเจน
ชายผู้แข็งแกร่งระดับอาณาจักรแก่นทองคำและเป็นนายพลกบฏที่เหี้ยมโหดสุดในอาณาจักรเฉียนเยว่ เสี่ยวโหว
“จบแล้ว...”
ขาของฉางห่าวสั้นเทาด้วยความหวาดกลัว เขาเดินเซและทรุดตัวลงกับพื้นจนไม่เหลือความเป็นศิษย์อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายซวนหลิงหลงเหลืออยู่เลย
ฉางเฉียนเฉียนก็หน้าซีดตัวสั่นไปทั้งตัวด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน
ในทางตรงกันข้ามฉินจวินกลับมองไปที่เสี่ยวโหวด้วยความอยากรู้อยากเห็น โอ้โห เขาต้องสูงมากกว่าสองเมตรแน่นอน
เมื่อเทียบกับนักเพาะกายชาวยุโรปและอเมริกาบนโลกในชาติที่แล้ว ชายผู้นี้ถือว่าไม่เลวเลย ดูแข็งแรงกว่า ไหนจะกระบี่ขนาดใหญ่ ยาวถึงสิบฉื่อที่หากได้บาดใครเข้าคงได้ตายแน่นอน
“หยาบคาย”
ต้าจี๋มองไปที่เสี่ยวโหวอย่างเย็นชา ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งหรือมีรูปร่างหน้าตาน่าหวาดกลัวอย่างไร เสี่ยวโหวก็ไม่อยู่ในสายตาของนาง
ในเวลาเดียวกันเสี่ยวโหวก็สังเกตเห็นต้าจี๋เช่นกัน ดวงตาเสือดาวของเขาเบิกกว้างในทันทีพร้อมพึมพำ
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามเสียนี่กระไร”
ความประหลาดใจในดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นความโลภในวินาทีต่อมา
งดงามเช่นนี้ต้องมีไว้ครอบครอง
“มองข้าอีกที ข้าได้ควักลูกตาเจ้าแน่”
ต้าจี๋เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาจนฉินจวินถึงกับพูดไม่ออก สมแล้วที่นางคือปีศาจสาวที่ออกมาจากวีรคติเรื่องสถาปนาเทพเจ้า โหดเหี้ยมพอกัน
แต่ตรงกันข้าม เสี่ยวโหวกลับแสยะยิ้มอย่างมีความสุข เขาเดินไปหาฉินจวินและคนทั้งสอง เท้าของเขาที่เหยียบบนผืนทะเลสาบราวกับเดินบนพื้นราบ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างติดตลกขณะย่างก้าว
“โฉมงาม เจ้าหรือจะควักลูกตาข้า”
ตายแน่
ฉางห่าวอดไม่ได้ที่จะหลับตา การเผชิญหน้ากับเสี่ยวโหวที่อยู่ในระดับอาณาจักรแก่นทองคำ เขารู้ดีว่าถึงจะหนีไปได้ก็คงไม่มีหวัง
ฉางเฉียนเฉียนกลัวมากจนเผลอไปหลบข้างหลังของฉินจวินโดยไม่รู้ตัว มือทั้งสองข้างของนางจับไหล่ของฉินจวินไว้แน่น อันที่จริงนางอยากจะหลบหลังพี่ใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ชายผู้นั้นทรุดลงกับพื้นไปเสียก่อน
เวลานั้นเอง จู่ๆนางก็ได้ยินเสียงบ่นของฉินจวิน “อาณาจักรแก่นทองคำ... ถ้าฆ่าเขาได้ ไม่รู้จะได้คะแนนประสบการณ์มากขนาดไหน...”