บทที่ 3 : ภารกิจปลาเค็ม
บทที่ 3 : ภารกิจปลาเค็ม
ซูฟ่านมองดูหวังยู่หลุนหายไปในระยะไกลและพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันมีเพื่อนเพียงไม่กี่คน ดังนั้นนายจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ในแผ่นหยกสองอันที่เขาให้หวังยู่หลุนไป อันหนึ่งมีวิชาที่เขาสร้างขึ้นเอง ‘วิชาขี่ลมขนนก’
ส่วนอีกอันมี ‘วิชาหอกเพลิง’ ซึ่งเป็นวิชาผสานธาตุระหว่างไม้และไฟ
เมื่อกลับมาที่ลานบ้านของเขา เขาก็รดน้ำทุ่งวิญญาณขนาด 25 ไร่ด้วยวิชานทีวิญญาณ ก่อนที่จะถอยกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อฝึกฝน
ในตอนเช้า ซูฟ่านมาถึงโถงภารกิจเพื่อรับภารกิจประจำเดือน ด้วยขอบเขตฝึกปราณขั้นต้น ภารกิจส่วนใหญ่ที่เขาทำได้จึงมีเพียงภารกิจเบ็ดเตล็ด
ในโถงภารกิจ ผู้อาวุโสกำลังแจกจ่ายงานให้กับศิษย์ชั้นนอก
เมื่อถึงตาของซูฟ่าน ผู้อาวุโสก็จำเขาได้ทันที “เป็นเจ้านี่เอง”
“ศิษย์ซูฟ่านคารวะผู้อาวุโส”
ในฐานะบุคคลที่รับผิดชอบในการมอบหมายงาน เขาก็จำเป็นต้องเอาชนะใจบุคคลนี้ให้ได้ ท้ายที่สุดแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขามอบหมายภารกิจกำจัดสัตว์อสูรที่เป็นอันตรายให้กับฉัน?
เมื่อได้ยินคำพูดของซูฟ่าน ใบหน้าของผู้อาวุโสก็เผยรอยยิ้มออกมา
เดิมที เขามีพื้นที่ว่างอยู่หน้าถ้ำของเขา แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ซูฟ่านก็โผล่เข้ามาและได้เสนอตัวเปลี่ยนพื้นที่ว่างหน้าถ้ำของเขาให้กลายเป็นทุ่งวิญญาณ
นอกจากนี้ เมื่อเขาตอบตกลง ซูฟ่านก็สามารถเปลี่ยนพื้นที่ว่างหน้าถ้ำนี้ให้กลายเป็นทุ่งวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว และนอกจากนี้ พืชผักและสมุนไพรที่เขาปลูกเองก็ยังเติบโตเร็วมากจนน่าอัศจรรย์ ด้วยเหตุนี้เอง ซูฟ่านจึงสามารถฝากความประทับใจอันดีงามไว้ในจิตใจของอีกฝ่ายได้
และตั้งแต่นั้นมา งานที่ทำเงินได้มากที่สุดและปลอดภัยที่สุดในนิกายจึงตกไปเป็นของซูฟ่านอยู่เสมอ
“ซูฟ่าน ข้ามีงานระยะยาวให้เจ้าทำ แต่เจ้าอาจได้คะแนนน้อยหน่อย ดังนั้นข้าจึงไม่แน่ใจว่าเจ้าจะสนใจมันหรือไม่” ผู้อาวุโสพูดด้วยรอยยิ้ม
“เรียนผู้อาวุโส มันปลอดภัยหรือไม่?”
“ปลอดภัยแน่นอน เจ้าจะได้รับ 150 คะแนนต่อปี และข้าจะมอบหินวิญญาณให้เจ้า 10 ก้อนเป็นการส่วนตัวด้วย” ผู้อาวุโสกล่าว
“หินวิญญาณ 10 ก้อน? นี่มันภารกิจอะไรกัน?” ซูฟานถามด้วยความงุนงง
“มันเป็นเช่นนี้ ทุ่งวิญญาณด้านนอกที่พักของข้าต้องการใครสักคนมาดูแลพวกมันจนกว่าพวกมันจะเติบโต ดังนั้นข้าจึงไม่แน่ใจว่าเจ้าอยากจะทำมันรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซูฟ่านก็ดีใจมาก ความพยายามอย่างต่อเนื่องของเขาในการรดน้ำทุ่งวิญญาณของอีกฝ่ายตลอดสองปีที่ผ่านมาได้ผลในที่สุด
“ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับงานนี้ ผู้อาวุโส” ซูฟ่านกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เจ้าคู่ควรกับมันแล้ว เพราะนิสัยรักตัวกลัวตายของเจ้ามัน….” เสียงของผู้อาวุโสขาดหายไป แตกต่างจากศิษย์ชั้นนอกคนอื่นๆ ที่กระตือรือร้นที่จะทำภารกิจเสี่ยงตายเพื่อหาทรัพยากร เด็กคนนี้รักความปลอดภัย ความสงบสุขและชอบทำตัวสบายๆ ในฐานะนักเกษตรกรรม
“ยังไงก็ตาม ข้ายังมีงานเล็กๆ ให้เจ้าด้วย ผู้อาวุโสที่มักจะสอนทักษะการเกษตรให้กับลูกศิษย์ใหม่นั้นไม่ว่าง ดังนั้นเราจึงต้องการคนที่เชี่ยวชาญทักษะเหล่านี้มาสอนแทนเป็นเวลาสามวัน และรางวัลคือหินวิญญาณ 3 ก้อน เจ้าสนใจไหม?” ผู้อาวุโสกล่าวเสริม
“มันจะเริ่มเมื่อไหร่?” ซูฟ่านถาม
“พรุ่งนี้ เจ้าติดปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“ไม่เลยผู้อาวุโส”
หลังจากรับภารกิจเสร็จแล้ว ซูฟ่านก็ได้รับตราภารกิจมา
“เจ้ารู้จักที่นั่นดี เพียงแสดงตราเมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น แล้วเดี๋ยวใครบางคนก็จะมารับเจ้าเอง”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากรับภารกิจแล้ว ซูฟ่านก็มุ่งหน้าไปยังที่พักของอีกฝ่าย
ซูฟ่านลอยอยู่กลางอากาศโดยใช้วิชาตัวเบา เขามองไปที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่บินไปบนท้องฟ้าด้วยสมบัติอันน่าอัศจรรย์ด้วยความอิจฉา ในความเห็นของเขา นั่นแหละคือการบินที่แท้จริง
“ขอบเขตฝึกปราณขั้นสูง มันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ฉันน่าจะไปถึงมันได้ภายใน 30 ปี อย่างไรก็ตาม เพราะพรต้องสาป ฉันจึงยังต้องรออีกกว่า 100 ปีถึงจะไปถึงขั้นนั้นได้”
“เฮ้อ ไอ้ระบบต้องสาปนี่”
ซูฟ่านพึมพำ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปทำภารกิจโดยทันที
มีภูเขาลูกใหญ่ 100,000 ลูกในเทือกเขาเทียนฉัว และภูเขาลูกเล็กอีกจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อควบคุมเทือกเขาทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ นิกายเทียนฉัวจึงอนุญาตให้ศิษย์ระดับกลางลงไปสามารถครอบครองยอดเขาลูกเล็กๆ ได้ ในขณะที่ผู้ที่อยู่เหนือขอบเขตแก่นแท้ทองคำสามารถครอบครองยอดเขาหลักเป็ฯของตนเองได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูฟ่านก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้ายอดเขาซึ่งใหญ่กว่าของยอดเขาที่เขาอยู่มากกว่าสิบเท่า และด้วยตราในมือ เขาจึงสามารถเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามได้
'วิชานทีวิญญาณ'
'วิชาอรุณสาดแสง'
'วิชาวายุวสันต์ฤดู'
เมื่อเข้าสู่พื้นที่หวงห้ามของผู้อาวุโสแล้ว ซูฟ่านก็รดน้ำทุ่งวิญญาณทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“โชคดีที่ฉันเลือกปลูกสมุนไพรวิญญาณที่จัดการง่ายเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นฉันก็คงจะต้องตายด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางบวกกับงานหนักแน่”
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ซูฟ่านก็มองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเสน่หา แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณมากนัก แต่เขาก็มีความสุนทรีย์ที่ได้สอดส่องการออกแบบที่พักซึ่งแสดงให้เห็นกลิ่นอายของโลกเซียน
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว เขาก็กลับมายังยอดเขาเล็กๆ ของเขา
ซูฟานหยิบเก้าอี้แบบทำเองขึ้นมาวางข้างทุ่งวิญญาณของตนและใคร่ครวญถึงก้าวต่อไปของเขา
“ด้วยความโปรดปรานจากผู้อาวุโส ฉันก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องงานไปอีกหลายปี ที่เหลือก็คือการขายข้าววิญญาณเหล่านี้และเรียนรู้การปรุงยา”
“เมื่อฉันเริ่มได้รายได้จากการปรุงยาแล้ว ฉันก็จะเรียนรู้การสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่อ”
“ในอนาคต ฉันจะมีสองตัวตนให้พึ่งพา และจะไม่จำเป็นต้องวางแผนใช้ชีวิตให้ยุ่งยากอีกต่อไป”
เมื่อพูดจบ มือของซูฟ่านก็ได้จุดประกายแสงวิญญาณ และนกลมที่เกิดจากวิชาของเขาก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
นกตัวน้อยบินวนไปมารอบๆ ซูฟ่าน
“จักรวาลนี้บอกเป็นนัยถึงสามพันโลกอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมันก็มีโลกเซียนหลายแห่งที่บันทึกไว้อยู่ในตำราของนิกาย บางทีโลกเซียนเหล่านั้นอาจจะสอดคล้องกับสามพันโลกอันยิ่งใหญ่ได้ไหมนะ?”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น โลกที่ฉันอยู่ตอนนี้ก็น่าจะเป็นพันโลกระดับกลาง โดยมีท่านเจ้านิกายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเหนือความทุกข์ยาก”
“เนื่องจากดูเหมือนว่าจะมีขอบเขตเหนือความทุกข์ยาก มันจึงเหมือนกับโลกเซียนของโลกมนุษย์ที่ฉันจากมา”
“ระบบกึ่งตายนี่ไม่มีแม้แต่ความสามารถในการฟื้นคืนชีพ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะออกไปเดินเล่นได้แล้ว”
“การมอบพรสวรรค์ต้องสาปให้ฉันแบบนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรหากสุดท้ายแล้วฉันไม่สามารถปกป้องชีวิตตัวเองจากความตายได้?”
ขณะที่ซูฟ่านพูด เขาก็โบกมือให้นกลมและทำท่าทางมือ
นี่คือ “วิชาฝูงวิหคสังหาร” ที่ซูฟ่านสร้างขึ้นเอง อย่างไรก็ตาม ซูฟ่านก็มักจะชอบเรียกมันว่า ‘วิชาโดรนพลีชีพ’ ซะมากกว่า
นกฝูงเล็กๆ ปรากฏขึ้น พวกมันแต่ละตัวครอบคลุมพื้นที่แต่ละจุด และนกตัวเล็กแต่ละตัวก็มีพลังซึ่งสามารถทำให้เกิดการระเบิดได้ด้วยการยั่วยุเพียงเล็กน้อย
นี่เป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดที่ซูฟ่านสร้างขึ้น แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตฝึกปราณขั้นสูงก็ยังไม่สามารถทนต่อแรงระเบิดได้เกินสามครั้ง
“ด้วยพรสวรรค์ต้องสาปของฉัน ฉันจึงสามารถสร้างวิชาขั้นสูงได้”
“แต่มันจะไปมีประโยชน์อะไร? มันยังคงไร้ประโยชน์เมื่อฉันต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตก่อเกิดรากฐาน”
ในขณะนั้นเอง ซูฟ่านมีความคิดผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เอ้ะ! ฉันสามารถรับศิษย์ได้นี่ เมื่อถึงเวลานั้น ฉันก็สามารถถ่ายทอดวิชาที่ฉันสร้างขึ้นมาเองทั้งหมดให้กับเขาได้”
“แม้ว่าฉันจะทะลวงขอบเขตไม่ได้ แต่ลูกศิษย์ของฉันก็สามารถทำได้”
ขณะที่เขากล่าว ซูฟ่านก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก รู้สึกว่าชีวิตอันแสนจืดชืดของเขาตอนนี้เริ่มจะมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“เมื่อฉันไปถึงขอบเขตฝึกปราณขั้นสิบสองเมื่อไหร่ ฉันก็จะสามารถรับลูกศิษย์ได้”
“และเมื่อถึงเวลานั้น ด้วยการคุ้มครองของพวกเขา ฉันก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขและปลอดภัย”
ในสายตาของซูฟ่าน นิกายแห่งนี้ก็ไม่ได้ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ นิกายเทียนฉัวมีศัตรูมากมาย ซึ่งบางแห่งก็เป็นศัตรูตัวฉกาจอันดับต้นๆ
ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นในใจของเขา
“ตรวจพบโฮสต์กำลังถูกจับตามอง กำลังเปิดใช้งานระบบป้องกัน”
“อีกแล้วหรอ? ขอฉันมีเวลาส่วนตัวหน่อยไม่ได้หรอ?”