บทที่ 10 ความลับสวรรค์มิอาจเปิดเผย
“หือ ศิษย์น้องเฉียนเฉียน ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
อยู่ๆผู้บ่มเพาะหญิงคนหนึ่งก็หยุดแล้วเอ่ยถามขึ้นทันทีที่สังเกตเห็นฉางเฉียนเฉียน แม้นางจะดูธรรมดาแต่สวมชุดสีเหลืองอันเป็นเอกลักษณ์ของนิกายซวนหลิง บ่งบอกถึงฐานการบ่มเพาะระดับอาณาจักรกลั่นลมปราณที่สูงกว่าฉางเฉียนเฉียนถึงหนึ่งระดับ
ฉางเฉียนเฉียนมองไปยังคนต้นเสียงก่อนดวงตาของนางจะเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
“ศิษย์พี่หลี่ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่”
“มีสัตว์อสูรอยู่ข้างหน้าด้วย”
“ไม่นะ พวกเราถูกล้อมแล้ว”
เหล่าผู้บ่มเพาะหยุดลงขณะที่พวกเขากำลังวิ่งผ่านฉินจวินและคนอื่นๆไปก่อนปรากฏเห็นเหล่าสัตว์อสูรอยู่ข้างหน้าไกลสุดลูกหูลูกตา ตอนนี้มีเพียงต้องหันหน้าหนีเข้าป่าเท่านั้นถึงจะรอด แต่กว่าจะคิดทันคาดว่าคงถูกสัตว์อสูรพวกนี้เหยียบย่ำจนตายก่อน
พอรู้ซึ้งถึงชะตากรรมตรงหน้า เหล่าผู้บ่มเพาะต่างพากันแสดงสีหน้าสิ้นหวังทันที หญิงที่รู้จักในนามศิษย์พี่หลี่เดินหาฉางเฉียนเฉียนด้วยสีหน้าหดหู่ก่อนถอนหายใจพร้อมพรรณนาอย่างทมทุกข์
“ศิษย์น้อง เราหนีไปไหนไม่ได้แล้ว เจ้าออกมาทำไม ทำไมไม่อยู่ที่นิกายล่ะ”
ฉินจวินหงุดหงิดกับการพล่ามซ้ำซากของพวกเขาก่อนตะโกนขึ้นอย่างหมดความอดทน “หุบปาก เจ้ายังไม่ตายสักหน่อย”
สุนัขเสี้ยวเทียนที่เห็นความวุ่นวายก็ถอนหายใจเสียงดังฮืดอยู่ข้างๆ ก่อนยกหัวขึ้นแสดงความดูถูกเหยียดหยามในดวงตาของมัน
เหล่าผู้บ่มเพาะมองไปยังฉินจวินอย่างพร้อมเพรียง เขาซึ่งอยู่ในชุดองครักษ์แห่งจักรวรรดิดูเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังทะลวงผ่านอาณาจักรก่อสร้างรากฐานพลังของเขาก็ยิ่งชัดขึ้นจนทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะระดับกลั่นลมปราณแอบประหลาดใจ
เด็กผู้นี้เป็นอัจฉริยะแบบไหนกัน
แต่ท่ามกลางวิกฤติที่กำลังใกล้เข้ามาตอนนี้ ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับตัวตนเขาขนาดนั้นหรอก
“ให้ตายเถอะ เราถูกเหล่าสัตว์อสูรล้อมขนาดนี้ ยังคิดว่าจะรอดอยู่อีกหรือ”
“ราชาปีศาจของเทพสังหารตรงนี้ เป็นผู้นำสัตว์อสูรมากมายเหล่านี้มาเองแหละ”
“ราชาปีศาจไหน เจ้าทึกทักไปเองหรือเปล่าว่ามันคือราชาปีศาจ ข้าไม่เห็นว่ามันจะเหมือนราชาปีศาจตรงไหน”
“ไม่คิดเลยว่าข้าจะมาตายในถิ่นทุรกันดารหลังอยู่ดูแลอาณาจักรมาหลายปีเช่นนี้ ข้าไม่ยอม”
ฉินจวินมองเหล่าผู้บ่มเพาะที่กำลังหมดหวังและไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แย่จริง ไม่ละอายใจสารรูปตนเองตอนนี้กันเลย
แรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินเริ่มรุนแรงขึ้นบ่งบอกว่าเหล่าสัตว์อสูรกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แม้แต่ในป่าก็เช่นกัน ตอนนี้ ไม่มีทางไหนที่พวกเขาจะหนีได้แล้วนอกจากบินขึ้นฟ้า
ความสิ้นหวังเริ่มแพร่กระจายไปในกลุ่มของผู้บ่มเพาะ แม้แต่ฉางเฉียนเฉียนก็เช่นกัน นางเกาะแขนของศิษย์พี่หลี่ไว้แน่นพร้อมกับสั่นไปทั้งตัว
ทันใดนั้น จู่ๆ ฉินจวินก็รู้สึกว่าเขาดูเป็นคนที่สง่างามขึ้นมาทันที หลังของเขาเหยียดตรงอย่างช่วยไม่ได้
ดูเหมือนว่าถึงเวลาแล้วที่ทาสผู้นี้จะช่วยหนูพวกนี้
“สุนัขเสี้ยวเทียน”
เมื่อเห็นว่าเหล่าสัตว์อสูรกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉินจวินจึงตะโกนเรียกสุนัขเสี้ยวเทียน มันก้าวไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิ เพราะก่อนหน้านี้ มันสามารถได้ยินถึงความน่าสมเพชของเหล่าผู้บ่มเพาะที่พ่นออกมากันอย่างชัดเจน
มันกวาดสายตามองเหล่าผู้บ่มเพาะทั้งสิบแปดคนอย่างดูถูกเหยียดหยาม ภายใต้การแสดงออกที่เฉื่อยชา มันเงยหน้าขึ้นและเปล่งเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว
คำราม—
เสียงคำรามของเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนแตกต่างจากเสียงสุนัขทั่วไป เสียงร้องของมันไม่ต่างอะไรกับเสือไม่ก็สิงโต แต่มีพลังอำนาจมากกว่า คลื่นเสียงที่ส่งออกมาสั่นสะเทือนไปทั่ว ทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะทุกคนถึงกับปิดหูแทบไม่ทันเพราะเสียงที่ดังกึกก้องจนหูจะแตก
เหล่าสัตว์อสูรที่กำลังจู่โจมฉินจวินและคนอื่น ๆ จากทั่วทุกสารทิศต่างหยุดและหมอบลงกับพื้นเมื่อเสียงคำรามดังขึ้น พวกมันทุกตัวต่างก้มหัวลงราวกับถวายความเคารพต่อองค์จักรพรรดิ
“บ้าน่า นี่...”
“หมาดำตัวนี้...คือราชาปีศาจงั้นหรือ”
“โว้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงวิ่งได้เร็วขนาดนั้น”
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าราชาปีศาจจะหน้าตาเช่นนี้”
หลังประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าผู้บ่มเพาะก็เริ่มสนทนากันอย่างตื่นเต้นและแม้แต่ฉางเฉียนเฉียนกับต้าจี๋เองก็ยังมองไปยังเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนด้วยความตกใจ
ตอนนี้ เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนดูเหมือนจะกลายเป็นหนุ่มผู้หล่อเหลา เส้นขนสีดำยุ่งเหยิงสะท้อนความแวววาวจากโลหะภายใต้แสงแดดขับให้มันดูดีขึ้นมาเลยทันที เป็นเรื่องที่น่าตื่นตาจริงๆ
ฉินจวินไม่ได้รู้สึกสนใจต่ออาการความตื่นเต้นตกใจของเหล่าผู้บ่มเพาะแต่อย่างใด เขาถามสุนัขเสี้ยวเทียน “ทำไมเจ้าถึงดึงดูดสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ล่ะ”
พอได้มองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของเหล่าสัตว์อสูรจำนวนมาก ภาพที่ได้เห็นก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แสดงให้เขารู้ได้ทันทีว่าที่แห่งนี้มีสัตว์อสูรระดับอาณาจักรชั้นล่างจำนวนไม่น้อยเลย
“พื้นที่นี้ ข้าคือราชาปีศาจ ข้ามาที่นี่วันนี้ก็เพื่อคารวะท่าน ส่วนอสูรเหล่านี้ไม่อาจปล่อยข้ามาเพียงผู้เดียวได้ พวกมันจึงขอติดตามมาด้วย” น้ำเสียงของมันกล่าวด้วยความลำบากใจ…
ทันทีที่สุนัขเสี้ยวเทียนกล่าวจบเขาก็เริ่มเข้าใจ ระบบจะกำหนดตัวตนให้กับเทพและปีศาจแต่ละตัวที่ถูกอัญเชิญมาเอง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเนื้อเรื่องต้นฉบับของตน ซึ่งบางทีเหล่าเทพและปีศาจทั้งหมดอาจปรากฏตัวขึ้นแล้ว เพียงแค่รอการเรียกจากเขาเท่านั้น
แต่เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าระบบตำนานจะยุ่งเกี่ยวกับโลกทั้งใบได้ตลอดเวลา
ราชาปีศาจจริงๆ
เหล่าผู้บ่มเพาะต่างมองหน้ากันด้วยความละอายใจ ไอ้หมาดำที่พวกเขาเยาะเย้ยก่อนหน้านี้ดันกลายเป็นราชาปีศาจจริงๆ ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมาเลย แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกว่าโชคดีที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกเหยียบจนตายจากเหล่าสัตว์อสูรพวกนี้
“ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเด็กนี้คือใครกันแน่”
ดวงตาที่งดงามของฉางเฉียนเฉียนเบิกกว้าง เขามักจะมีเรื่องให้นางอัศจรรย์ใจโผล่มาอยู่เสมอ แม้ต้าจี๋คนเดียวจะเพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีราชาปีศาจอีกคนที่เป็นหนึ่งในผู้คอยปกป้องเขา เพียงเท่านี้เขาก็สามารถเดินเล่นได้ทั่วทั้งอาณาจักรเฉียนเยว่อย่างสบายแล้ว
ฉางห่าวซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น กลืนน้ำลายลงคอด้วยความฝืดเคืองเมื่อคิดว่าตอนนี้เขาได้ทำอะไรให้สุนัขเสี้ยวเทียนขุ่นเคือง ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
“เอาล่ะ สุนัขเสี้ยวเทียน สั่งพวกมันแยกย้ายเถอะเราต้องรีบไปแล้ว”
ฉินจวินข่มอารมณ์ความต้องการสังหารเหล่าสัตว์อสูรเพื่อคะแนนประสบการณ์ เพราะหากเขายังไม่คิดที่จะล้มเลิกความต้องการนั้น คาดว่าความภักดีจากสุนัขเสี้ยวเทียนคงจะต้องลดลงแน่ๆ
สุนัขเสี้ยวเทียนพยักหน้าก่อนที่มันจะเปล่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นเหล่าสัตว์อสูรที่กีดขวางฉินจวินและคนอื่นๆ ต่างพากันแยกย้าย ส่วนฉินจวิน ต้าจี๋กับเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนเริ่มออกเดินทางไปข้างหน้าดังเดิม เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉางเฉียนเฉียนและฉางห่าวก็รีบเดินตามพวกเขาพร้อมเหล่าผู้บ่มเพาะที่เหลือเช่นกัน
เพราะเมื่อมองไปยังเหล่าสัตว์อสูรที่ดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวทุกชนิดทั้งสองฝากฝั่งแล้ว เหล่าผู้บ่มเพาะก็ต่างพากันตัวสั่นด้วยความกลัว เวลาเดียวกัน มุมมองที่พวกเขามองฉินจวินก็เปลี่ยนไปเป็นดีขึ้นทันที
ในอาณาจักรเฉียนเยว่ พวกเขายังไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครสามารถปราบราชาปีศาจได้
แม้แต่ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรอย่างอ่าวเทียนไหล ประมุขแห่งนิกายจื่อกวงก็ยังไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
อาณาจักรเฉียนเยว่ ราชาปีศาจถือเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะอย่างสมบูรณ์ โชคดีที่มีราชาปีศาจเพียงไม่กี่คน ซึ่งพวกมันไม่ยุ่งเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มนุษย์
ผู้บ่มเพาะกลุ่มนี้มาจากสามนิกายหลัก แต่ก็มีบางคนที่มาจากนิกายอื่น พวกเขาบังเอิญต้องผจญภัยและร่วมมือกันตามล่าหาสมบัติในถิ่นทุรกันดาร
จึงไม่คาดคิดว่าจะต้องเผชิญหน้าอย่างกะทันหันกับเหล่าสัตว์อสูรในเช้าวันนี้ ทำให้ตอนนี้พวกเขาต่างยังหวาดกลัวจนตกอยู่ในภาวะเครียดทางจิตใจ
“นายท่าน ท่านรู้ได้อย่างไร” ต้าจี๋ถามอย่างสงสัย นางคิดว่านางน่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งสุดภายใต้ฉินจวิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะมีสุนัขเสี้ยวเทียนเป็นอีกมือสังหารของเขา นางยังคงรู้สึกน้อยใจนิดหน่อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ความลับของสวรรค์มิอาจเปิดเผย”* ฉินจวินพูดขึ้นอย่างเต็มปากเต็มคำ คนเราต้องมีช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตบ้าง เมื่อถึงเวลาเล่น ก็ต้องเล่นให้เต็มที่
“นายท่านของข้าเป็นบุตรแห่งเทพผู้ลงมาจากสวรรค์ ซึ่งไม่ช้าก็เร็วเราจะรวมอาณาจักรทั้งหมดเข้าด้วยกัน และข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่จะได้อยู่ภายใต้บัญชาของท่าน” เจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนรู้สึกยินดีพร้อมทั้งพูดยกยอฉินจวินจนเขาเปลี่ยนความวิตกเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวเองแทน
ตอนนี้ ความภักดีของสุนัขเสี้ยวเทียนมีค่าเต็มเปี่ยม นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงถูกสรรเสริญขนาดนี้ เพราะหากความภักดีไม่สูงพอ ทัศนคติของมันก็จะแตกต่างออกไปอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ จากนี้ไปเลิกเรียกข้าว่านายท่านได้แล้ว เรียกข้านายน้อยพอ” ฉินจวินโบกมือเป็นพัลวันและยิ้มอย่างกระดากอายด้วยคำเยินยอแทบตัวลอยจากเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียน
จากนี้ไปเขาจะพาต้าจี๋กับเจ้าสุนัขเสี้ยวเทียนเข้าเฝ้าในตำหนักหลวงอย่างแน่นอน ถึงตอนนี้เขาจะไม่ต้องเกรงกลัวใครแล้ว แต่เพราะตำแหน่งทายาทขององค์จักรพรรดิผู้นี้ มีแนวโน้มจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากข้าราชบริพารคนอื่นๆได้ง่าย และเขาก็ยังต้องการขึ้นครองบัลลังก์อย่างถูกต้องตามหลัก หากถูกข้อหากบฏอีกสงครามจะต้องปะทุขึ้นอย่างแน่นอน ถึงโอกาสที่เขาชนะจะมีมากก็เถอะแต่อำนาจในการปกครองอาณาจักรเฉียนเยว่ให้แข็งแกร่งอาจลดลงไปไม่น้อย
ตามความทรงจำของร่างนี้ สุขภาพของท่านพ่อผู้เห็นแก่ได้ของเขาแย่ลงทุกวันและคาดว่าจะตายในอีกไม่กี่ปี
เขาไม่อยากคอยเก็บกวาดปัญหา
สิ่งที่เขาต้องการ คืออาณาจักรเฉียนเยว่ต้องถูกปกครองอย่างแข็งแกร่ง
เหล่าสหายที่ดูอยู่ช่วยเตือนสติอะไรเขาหน่อยซิ