บทที่ 1: พรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้
บทที่ 1: พรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้
เขตเฟยหยู นิกายเทียนฉัว
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่นิกายมอบหมายแล้ว ซูฟ่านก็กลับไปยังลานบ้านเล็กๆ ของเขา
สถานที่แห่งนี้ถือเป็นที่พักอาศัยตามมาตรฐานสำหรับศิษย์ชั้นนอกและชั้นกลาง
ในขณะที่มองดูทุ่งข้าววิญญาณขนาด 25 ไร่ด้านหน้าลานบ้าน ซูฟ่านก็ผสานผนึกมือ
เหนือทุ่งวิญญาณ ไอน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันและก่อตัวกันเป็นเมฆฝนที่ปกคลุมทั่วทั้งทุ่งวิญญาณ
'วิชานทีวิญญาณ'
เหนือทุ่งวิญญาณ มีสายฝนโปรยปรายลงมาจากหมู่เมฆหนา พร้อมกับละอองปราณวิญญาณที่ไหลซึมเข้าไปในพื้นดิน
หากผู้อาวุโสของนิกายเห็นฉากนี้ พวกเขาก็จะอุทานด้วยความประหลาดใจแน่ เพราะนี่คือวิชานทีวิญญาณซึ่งนับเป็นวิชาชั้นยอด และนอกจากนี้ ซูฟ่านก็ยังฝึกมันจนถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว!
“อีกสิบวัน ข้าววิญญาณเหล่านี้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว และเมื่อถึงเวลานั้น ฉันก็จะมีหินวิญญาณเพียงพอที่จะซื้ออุปกรณ์ปรุงยาและชำระค่าเล่าเรียนแล้ว”
“และหลังจากได้เรียนรู้วิชาปรุงยาแล้ว ฉันก็จะไม่ขาดแคลนหินวิญญาณอีกต่อไป!” ซูฟ่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขามองดูข้าววิญญาณที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เมื่อกลับมาถึงที่ห้องของเขา ซูฟ่านก็เปิดค่ายกลเก็บเสียงและเริ่มพักผ่อนคลาย เขาหยิบมีดแกะสลักขึ้นมาและทำการแกะสลักไม้กระดูกเหล็กที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้
ในขณะที่มีดแกะสลักในมือของเขาเฉือนขึ้นและลง ในเวลาไม่นาน รถคันจิ๋วก็ปรากฏขึ้นในมือของซูฟ่าน
“เฮ้อ ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างระบบบ้านี่ขึ้นมา และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมมันถึงมาเลือกฉัน”
“แม้ว่ามันจะทำให้ฉันมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แต่มันก็กลับจำกัดฉันไว้และจะยอมให้ฉันทะลวงแต่ละขอบเขตได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่มันกำหนดแล้วเท่านั้น ฉันต้องใช้เวลา 150 ปีเพื่อทะลวงขอบเขตฝึกปราณ, 200 ปีเพื่อทะลวงขอบเขตก่อเกิดรากฐาน, 500 ปีเพื่อทะลวงขอบเขตแก่นแท้ทองคำ, 1,000 ปีเพื่อทะลวงขอบเขตตัวอ่อนวิญญาณ……”
“ชั่งมันเถอะ กว่าฉันจะได้เป็นเซียน ถึงตอนนั้นฉันก็คงจะเบื่อโลกและไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
ซูฟ่านวางรถคันจิ๋วลงข้างๆ และแกะสลักไม้กระดูกเหล็กชิ้นต่อไป นี่เป็นวิธีการคลายเหงาและฆ่าเวลาของเขาเมื่อเขารู้สึกเบื่อ
“รับประกันความก้าวหน้า แต่ไม่มีรับประกันชีวิต ช่างเป็นระบบรับประกันที่น่ารักอะไรอย่างนี้”
“ไม่ใช่ว่าระบบควรจะเกื้อหนุนฉันให้ฉันสามารถกลายเป็นจักรพรรดิเซียนได้อย่างงั้นหรอ? ทำไมมันถึงต้องให้ฉันรอนานขนาดนั้นด้วย?”
“ในโลกที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและมีเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ข้าก็อยากจะออกไปสัมผัสมันดูเหลือเกิน”
ซูฟ่านรำพึงด้วยความสเน่หา แต่แล้วเขาก็ส่ายหัวขณะที่เขาพูดว่า
“แต่ไม่ได้ โลกภายนอกนั้นอันตรายเกินไป ฉันยังไม่พร้อมจะออกไปในตอนนี้ ฉันจะต้องฝึกตนให้ถึงขอบเขตฝึกปราณขั้นสิบสองก่อน”
ในขณะเดียวกัน รถคันจิ๋วอีกคันก็สร้างเสร็จ
ซูฟ่านลุกขึ้นและเดินไปที่กำแพงโดยที่เขาแตะมันแบบสุ่มๆ
ประตูกลที่ซ่อนอยู่ในผนังเปิดออก มันเผยให้เห็นบันไดที่ทอดยาวลงไป นี่คือห้องใต้ดินที่ซูฟ่านสร้างขึ้นมาโดยใช้วิชาเคลื่อนปฐพี
หลังจากเข้าไปในห้องใต้ดินแล้ว ซูฟ่านก็ดีดนิ้วของเขา และวิชาส่องสว่างก็จุดประกายดวงแสงขึ้นบนเพดาน มันทำให้ห้องใต้ดินขนาด 40 ตารางฟุตสว่างราวกับเวลากลางวัน
ตรงกลางห้องใต้ดินมีโต๊ะขนาดใหญ่ที่บันทึกเมืองจากความทรงจำก่อนหน้าของเขาเอาไว้ บนถนนมีการจราจรคับคั่ง หน้าร้านค้าต่างๆ และตรงกลางโต๊ะก็มีไม้แกะสลักที่ดูเหมือนกับซูฟ่าน
ซูฟ่านวางงานแกะสลักไม้ทั้งสองชิ้นที่เขาเพิ่งสร้างเสร็จลงบนถนนอย่างระมัดระวัง
“ตอนนี้ฉันกลับไปที่นั่นไม่ได้แล้ว แต่เพราะมีพี่ใหญ่อยู่ที่นั่น ฉันเลยไม่ต้องกังวลเรื่องพ่อกับแม่มากนัก”
ซูฟ่านจ้องมองไปที่ลานเล็กๆ ตรงกลางโต๊ะอย่างตั้งใจ ซึ่งมีรูปปั้นไม้ของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่เธอก็เป็นคนที่เขาคิดถึงมากที่สุด
หลังจากรำลึกความหลังอยู่ครู่หนึ่ง ซูฟ่านก็กลับไปที่ห้องของเขาและเริ่มการฝึกฝนของวันนี้
“ฉันเข้าสู่นิกายมาเป็นเวลาหกปีแล้ว ด้วยขอบเขตฝึกปราณขั้น 4 ความเร็วนี้ก็อยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิต มันก็นับว่าเป็นชัยชนะได้แล้ว” ซูฟ่านปลอบใจตัวเองในขณะที่คาดฝันอยู่ในใจว่าหลังจากผ่านไปหลายปี เมื่อเขากลายเป็นคนที่ทรงพลังที่สุดในโลกเมื่อไหร่ เขาก็อาจจะสามารถกลับไปยังโลกเดิมของเขาได้
จักรพรรดิเซียนเกิดใหม่ในเมืองที่พลุกพล่าน
ด้วยความคิดนี้ ซูฟ่านก็เริ่มยิ้ม
“หากเป็นเช่นนี้ แม้ต้องอยู่ต่อไปอีกแสนปีก็คุ้มค่า”
“เอาล่ะ มาเริ่มฝึกกันเลยดีกว่า”
ซูฟ่านเริ่มต้นการฝึกฝนแบบทุกวัน เคล็ดวิชาการฝึกตนที่เขาฝึกนั้นคือ "บัญญัติห้าธาตุ" มันเป็นเคล็ดวิชาที่ประกอบด้วยธาตุพื้นฐานทั้งห้าได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง พวกมันทั้งหมดสามารถฝึกแยกหรือฝึกรวมกันก็ได้
จุดเด่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ “บัญญัติห้าธาตุ” คือการขาดเอกลักษณ์ และข้อดีพียงอย่างเดียวของมันก็คือหากเราฝึกฝน “บัญญัติห้าธาตุ” จนถึงขั้นสมบูรณ์เมื่อไหร่ มันก็จะทำให้เราฝึกวิชาที่เกี่ยวข้องกับธาตุทั้งห้าได้ง่ายขึ้น
ภายในร่างกายของซูฟ่าน พลังปราณวิญญาณไหลเวียนผ่านเส้นลมปราณขนาดเล็กและในที่สุดก็กลับมาที่จุดตันเถียน จากนั้นมันก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ก็กินเวลาเพียงชั่วครู่เดียวก่อนที่ซูฟ่านจะเริ่มปรับแต่งพลังปราณวิญญาณในร่างกายของเขาเพื่อทำให้พวกมันบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
จิตวิญญาณของซูฟ่านได้ข้ามภพมาเกิดใหม่ในร่างของเด็กขอทานที่กำลังจะหิวตาย เขาไม่มีพ่อแม่ และได้แต่ติดตามขอทานเฒ่าที่เก็บเขามาเพราะสงสาร
เดิมทีเขาอยากจะตายเพราะความอนาถของร่างนี้ แต่แล้วความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ก็ถูกจุดประกายขึ้นมาหลังจากที่ซูฟ่านทราบว่ามีผู้ฝึกตนในโลกนี้ และหลังจากประสบกับความยากลำบากและมารผจญมามากมาย ในที่สุดเขาก็กลายเป็นศิษย์ชั้นนอกของนิกายเทียนฉัวได้
ขอทานเฒ่าเองก็ได้เสียชีวิตลงไปสองปีหลังจากที่ซูฟ่านเข้าสู่นิกายเทียนฉัว ส่วนสาเหตุน่ะหรอ...
มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคิดว่าพระเจ้าอาจกำลังลงโทษเขาอยู่และไม่อนุญาตให้เขาได้ชื่นชมกับพระพรเพราะสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ซูฟ่านได้รับหินวิญญาณก้อนแรกมาหลังจากเข้าร่วมกับนิกายเทียนฉัว ขอทานเฒ่าก็เริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาเริ่มใช้ชีวิตในแบบที่เขาไม่เคยกล้าแม้แต่จะจินตนาการ เขาหลงระเริงไปกับนารีและความฟุ่มเฟือยจนในท้ายที่สุด.. เขาก็เสียชีวิตลงในอีกสองปีต่อมา
...
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากรับประทานโจ๊กเนื้อสับแบบทำเองของเขาแล้ว ซูฟ่านก็ได้ใช้วิชาตัวเบาและล่องลอยไปยังหนึ่งในสามยอดเขาหลัก นั่นคือยอดเขาไท่เยว่
“พี่ซู ลงมาเถอะ เลิกอวดวิชาตัวเบาของท่านได้แล้ว”
เสียงตะโกนเรียกดังขึ้น มันคือชายหนุ่มรูปหล่อที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองฟ้สและตะโกนใส่ซูฟ่าน
ซูฟ่านลอยอยู่กลางอากาศและเห็นหวังยูหลุนบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว
“พี่ซู เมื่อไหร่ท่านจะบอกข้าสักทีว่าท่านฝึกมันยังไง? ความเร็วของมันแทบจะไม่ช้าไปกว่ากระบี่บินเลย” หวังยูหลุนมองไปที่ซูฟ่านด้วยความชื่นชม
“ข้าฝึกมันยังไงน่ะหรอ? ข้าก็ฝึกมันทั้งวันโดยที่ไม่หันไปฝึกวิชาอื่นเลยยังไงล่ะ” ซูฟานหยอกล้ออีกฝ่าย ชายคนนี้มีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ชั้นนอก แม้จะอยู่ขอบเขตฝึกปราณขั้น 4 แต่เขาก็สามารถสังหารสัตว์อสูรขั้น 6 ลงได้แล้ว นอกจากนี้ ว่ากันว่าผู้อาวุโสบางคนยังต้องการจะรับเขาเข้าเป็นศิษย์ด้วย
“พี่ซู ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว ถ้าท่านไม่ฝึกวิชาโจมตีเลย แล้วท่านจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรข้างนอกนั่น?”
“ข้าก็แค่ไม่ออกไปข้างนอกไง” ซูฟ่านกล่าวตามความเป็นจริง
“....”
หวังยู่หลุนไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายที่มีความสามารถเช่นนี้ถึงขี้กลัวนัก เขาแม้กระทั่งเลือกทำภารกิจที่ปลอดภัยที่สุดภายในนิกาย
“พี่ซู ถ้าท่านมีโอกาส ท่านก็สอนทักษะพิเศษของท่านให้ข้าหน่อยสิ” หวังยู่หลุนพยายามประจบเขา
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขาได้เห็นมันมาแล้ว ครั้งหนึ่ง ในระหว่างเกิดอุบัติเหตุผนึกแตกที่ห้องโถงคุมอสูรของนิกาย สัตว์อสูรที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนหลายร้อยตัวก็ได้หลบหนีออกมา
ในตอนนั้น เมื่อเขาถูกไล่ต้อนโดยหมาป่าเพลิงขั้น 6 จำนวน 3 ตัว ซูฟ่านก็บังเอิญผ่านมาพอดี เขาทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นศิษย์ในนิกายเดียวกันถูกฆ่า ดังนั้นเขาจึงใช้วิชาผสานธาตุโดยไม่ได้ตั้งใจและยิงลูกธนูเพลิงออกไปเพื่อปลิดชีพหมาป่าเพลิงทั้ง 3 ตัวและช่วยหวังยู่หลุนเอาไว้
ในเวลานั้น หวังยู่หลุนก็รู้สึกประหลาดใจมากที่ซูฟ่านสามารถใช้เคล็ดวิชาผสานธาตุได้อย่างง่ายดาย ต้องรู้ว่าแม้แต่การใช้เพียงธาตุเดียวก็ยังเป็นเรื่องยากเลย
และตั้งแต่นั้นมา หวังยู่หลุนก็ได้กลายเป็นศิษย์น้องที่ภักดีต่อซูฟ่านไปโดยปริยาย