บทที่ 081 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(7)
บทที่ 081 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(7)
มันเป็นช่วงเวลากลางคืนแล้ว เมฆต่างบดบังแสงจันทร์
การโอบล้อมเข้าสู่ช่วงพัก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ได้ปล่อยมอนสเตอร์ไว้ตามลำพัง
⎯ครืดดดด ครูดดด
⎯ก่าซ์ ก่าาาา
ออร์คและก็อบลินนั้นร้องออกมาเป็นจังหวะเหมือนเพลงปลุกใจ มันต่างจากเพลงที่พวกก็อบลินชนเผ่าร้องตอนที่ผมกำจัดพวกปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊งค์ E
ที่นี่ใช้แตรเป็นเครื่องดนตรีด้วย เสียงแตรนั้นก้องดังเป็นเสียงชวนให้เศร้าหงอยใต้ท้องฟ้ายามราตรี
ตั่บ, ตั่บ, ตั่บ
เสียงฝีเท้าของมอนสเตอร์เหยียบลงไปอย่างเชื่องช้า
พวกเราไม่ได้จุดไฟรอบๆดังนั้นรอบข้างจึงมืดมิด จากมุมมองของมนุษย์ที่มองลงมาจากกำแพงป้อม คงเห็นพวกมอนสเตอร์ร้องเพลงแล้วคลานไปมาในใต้เงายามดึก ผู้บัญชาการศัตรูก็คงจะคิดว่า พวกเรามุ่งเป้าไปที่การบั่นทอนกำลังใจของพวกเขา
“ท่านครับ หน่วยด้านหลังที่นำโดย บาลามมาถึงแล้วครับ”
“แล้วพวกมนุษย์รู้ตัวกันไหม?”
เซปาร์ถามด้วยน้ำเสียงปนตลก แต่ถึงน้ำเสียงเขาจะเป็นอย่างนั้นก็ยังฟังดูสูงส่ง และนั่นทำให้ดูแคลนประสบการณ์หลายปีของเขาไม่ได้
“พวกนั้นคิดว่า พวกเราทำอะไรไร้ประโยชน์อยู่”
มนุษย์นี้ปกป้องป้อมปราการน้ำเงินนั้นเป็นทหารระดับสูง พวกเขาเคยปราบมอนสเตอร์มาก่อน และต่อให้เราร้องเพลงอย่างนั้นไปทั้งคืน พวกมนุษย์ก็คงแค่กรนใส่เรา พวกเขาทำเหมือนกับว่านั่นเป็นเพลงเห่กล่อมแล้วหลับลงอย่างเป็นสุข โดยปล่อยให้พวกเราเหนื่อยเปล่า นั่นแหละคือความอดทนที่พวกเขามี
แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำตัวสบายๆ พวกเขามีเหตุผลดีพอที่จะมั่นใจอย่างนั้น
กองกำลังหนุนจากป้อมปราการแดงและทองนั้นจะมาแหวกผ่านตำแหน่งมอนสเตอร์ด้านหลังพวกเขาในวันพรุ่งนี้
ต้องขอบคุณพวกนั้นที่ทำให้พวกมนุษย์ยังคงรักษากำลังในการรบให้สูงอยู่ได้
แต่ความเชื่อมั่นนั่นจะอยู่กับพวกเขาได้นานแค่ไหนนะ ผมสงสัย?
มนุษย์จะยังสามารถสู้ต่อไปได้ไหมเมื่อสูญสิ้นความหวังไปแล้ว?
เอ้อ ช่างมันเถอะ ถึงอย่างนั้นโอกาสที่พวกเขาจะชนะมันก็มีน้อยนิดมาก ไม่ใช่แค่ชัยชนะอย่างเดียว หากแต่เป็นโอกาสในการรอดชีวิตด้วยเช่นกัน
ไม่นานนัก
จอมมารที่นำทัพด้านหลังก็มาถึง ลำดับ 51 บาลาม (Rank 51 Balam)
เขาเป็นหนึ่งในจอมมารหน้าใหม่ เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ด้วยการตามหลังเรามาโดยเว้นระยะห่างเป็นเวลาหนึ่งวัน
พวกมนุษย์ได้รวมทหารหน่วยสอดแนมไว้ที่ป้อมปราการเพื่อป้องกันการถูกล้อม นั่นเป็นจุดผิดพลาดที่ถึงตาย พวกเขาพลาดการรับรู้ถึงการมาเพิ่มของทหารจากด้านหลัง
หากพวกเขารู้ว่าพวกเราเป็นแนวหน้าของกองพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ก็คงจะยังรักษากลุ่มหน่วยสอดแนมให้คงอยู่
แต่พวกเขาไม่รู้ พวกเขาคิดว่า นี่คงเป็นเพียงการบุกเล็กๆน้อยๆเหมือนทุกที ก็นับตั้ง 200ปีแล้ว จากการรวมกำลังพันธมิตรครั้งที่แล้ว
200ปีนั้นเพียงพอที่จะทำให้พวกมนุษย์ประมาท…….
บาลามแสดงความเคารพ
“ข้ามาถึงภายหลังตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว นายพลครับ กองทหารเข้าแถวและรอคำสั่งจากท่าน”
“ดีมาก หยุดร้องเพลงได้”
เซปาร์ยกแขนขวาขึ้น บาลามกับผมก็ทำด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นเอง ความเงียบก็ห้อมล้อมพวกเราไว้ ความคิดของพวกเราส่งไปถึงพวกมอนสเตอร์ มอนสเตอร์เงียบลงทันทีราวกับไม่เคยร้องเพลงหรือย่ำเท้ามาก่อน
ผมสงสัยเหมือนกันว่า การที่อยู่ๆก็เงียบไปนั้นคงทำให้ทหารมนุษย์ที่อยู่บนป้อมเริ่มสั่นไหว ผมไม่ได้ยินเสียงพวกเขาหรอกเพราะมันอยู่ไกลออกไป
แต่เป็นไปได้ว่า พวกเขาจะสับสนจากการที่อยู่ๆทุกอย่างก็เงียบลง พวกเขาอาจรู้โดยสัญชาตญาณว่า ความเงียบคราวนี้มันไม่ปกติ และมีบางอย่างชวนให้ขนลุก
“โอ อาเทมิส, พวกเราจะยึดวิหารภายใต้พลบค่ำอันเรืองโรจน์แห่งท่าน”
เซปาร์พูดด้วยเสียงต่ำ มันเป็นเพลงที่เหมือนเสียงสวด หลังจากเขาท่องวรรคแรกแล้ว บาลามกับผมก็ว่าตาม
“โอ อาเทมิส, พวกเราจะยึดวิหารภายใต้พลบค่ำอันเรืองโรจน์แห่งท่าน”
ระดับเสียงของพวกเรานั้นแผ่วอ่อน หากพวกเราเป็นมนุษย์นี่คือ อะไรที่เบาเกินกว่าจะเป็นสัญลักษณ์แจ้งเตือนการเริ่มสงคราม
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราเป็นจอมมาร และลูกน้องของเราคือมอนสเตอร์ มอนสเตอร์นั้นรับรู้ถึงความคิดพวกเราได้แม้เราจะเพียงกระซิบกับมัน
“ความเป็นมิตรจักพบได้ในยามยาก ความเสมอภาคต่อหน้าศัตรู และอิสรภาพที่จะมอบให้เมื่อความตายย่างเข้าใกล้
เราสาบานต่อสนามรบ,สาบานต่อความเป็นมิตร,สาบานต่อความเสมอภาค และสาบานต่อความตาย”
เสียงเซปาร์และของพวกเราปกคลุมรอบพื้นที่ราวกับเป็นชั้นความมืด
“โอ อาเทมิส, เราสาบานต่อท่านด้วยเลือดสีแดงนี้ว่ามนุษย์จักเป็นศัตรูกับเราตลอดกาล เผ่าปีศาจนั้นจะเป็นเหมือนหมาล่าเนื้อที่ไล่ตามอนาคตอันทรงเกียรติ และไม่ว่าพวกเราจะชนะหรือแพ้ก็ตาม ขออย่าให้เหตุการณ์นี้เป็นการเสียเวลาเปล่าเลย”
เซปาร์ส่งแก้วให้กับพวกเราก่อนจะรินไวน์ให้ จากนั้นก็ค่อยรินไวน์ในแก้วของเขาเองด้วยเช่นกัน
การที่หัวหน้าผู้บัญชาการนั้นเทไวน์ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชานั้นเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น
ผมยินดีรับมันไว้ ผมรู้มาด้วยว่า การกระทำนี้มีความหมายว่าอย่างไร
“แด่เกียรติยศแห่งการพิชิต”
“แด่เกียรติยศแห่งการพิชิต แด่เกียรติยศแห่งเซปาร์!”
“แด่เกียรติยศแห่งบาร์บาทอส!”
ผมกระดกไวน์ให้หมดภายในอึกเดียวก่อนจะโยนแก้วทิ้ง แก้วทั้ง 3 ใบแตกเสียงดัง ตรงข้ามกับก่อนหน้าที่เขาได้กระซิบกระซาบ
ตอนนี้เซปาร์ตะโกนออกมาดังลั่น
“คืนนี้ ภูเขาดำจะเป็นของพวกเรา! ทหารทั้งหลาย บุกโจมตี!”
“บุกโจมตี!”
“ทุกหน่วย บุกโจมตี⎯⎯!”
เสียงมอนสเตอร์ร้องออกมา ทั้งออเกอร์,ออร์ค,ก็อบลินและโกเลมต่างคำราม แหวกผ่านอากาศยามดึกราวกับจะทะลวงไปให้ถึงชั้นเมฆ
เราไม่ต้องบุกเข้าไปอย่างระวังแล้ว พวกเราตั้งใจจะถล่มประตูด้วยการโจมตีในครั้งเดียว กองกำลังมอนสเตอร์ 1,500 นาย บุกชาร์จเข้าไปรวดเดียว
การควบคุมมอนสเตอร์จำนวนมากให้เป็นดั่งแขนขาของตนนั้นเป็นความสามารถที่จอมมารมี
บาลามพูดขึ้น
“นายพลครับ! อนุญาตให้ออเกอร์นำทัพด้วย!”
“ไม่ มันเป็นไปได้สูงมากที่มนุษย์ระยำนั่นจะเตรียมการตั้งรับการบุกโจมตีฉับพลันไว้แล้ว ส่งออร์คพร้อมกับโล่เข้าไปก่อน”
เซปาร์นั้นดูจะเข้าใจสถานการณ์สงครามดีอย่างยิ่ง เสียงของฆ้องที่ดังก้องนั้นไม่นานนัก ไม่ถึงนาทีดี พลธนูจำนวนมากก็ปรากฏอยู่ระหว่างคบไฟ ดูเหมือนพวกเขาจะรอเราอยู่แล้ว
หากให้ผมกะจำนวนพลธนูคร่าวๆ ก็มีเกิน 300 นายซึ่งนับเป็นจำนวนที่เยอะมาก
อันที่จริงแล้วทหารทุกนายที่เฝ้าป้อมปราการรู้วิธีการยิงธนู ในยุคนี้สมัยนี้ นักธนูถูกปฏิบัติเหมือนเป็นดั่งทหารชั้นสูง แม้จะไม่เทียบเท่าได้กับทหารม้า แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่นานเหมือนกันกว่าจะปั้นพลธนูขึ้นมาได้
คุณแทบจินตนาการได้เลยว่า การฝึกมันต้องเข้มงวดขนาดนั้นเพื่อสร้างมนุษย์ที่สามารถปกป้องป้อมปราการแห่งภูเขาดำได้
พอพวกออร์คถือโล่เข้าไปใกล้กับแนวกำแพง นักธนูก็รั้งสายธนูไว้แล้วยิงธนูออกมาชุดหนึ่ง
“ปิดรูปขบวน!”
“โล่ชิด!”
เซปาร์ตะโกนและบาลามก็ทวนคำสั่งของเขา
ออร์คที่อยู่ในแนวหน้าก็แปลงขบวนรูปเต่าโดยใช้โล่ที่เหมือนกับโล่กลาดิเอเตอร์จากโรมัน
ฝนธนูตกลงสู่โล่ของพวกเขา ออร์คนั้นสามารถใช้โล่ที่ใหญ่กว่าตัวเองถึงสองเท่าของขนาดตัวมนุษย์
มันยากเหลือเกินที่ธนูจะทะลุผ่านบาเรียหนาขนาดนั้นได้
หลังผ่านฝนธนูของพลธนูนับร้อยไป กองกำลังของเราแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
นั่นแหละคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมกองทัพจอมมารถึงทรงพลัง
พวกมนุษย์นั้นต้องใช้ประโยชน์จากธงและสัญญาณต่างๆเพื่อบัญชาการทัพ ปีศาจใต้การบัญชาการของจอมมารนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
มอนสเตอร์นั้นเชื่อมต่อกับจิตสำนักของจอมมารโดยตรง เมื่อสิ่งกีดขวางการสื่อสารถูกเอาออกไป ตามทฤษฏีแล้วคำสั่งการจะสมบูรณ์ที่สุดตราบใดที่จอมมารไม่ก่อกวนจอมมารด้วยกันเอง
คุณเทียบฝูงมอนสเตอร์ทั่วไปกับฝูงมอนสเตอร์ที่นำทัพโดยจอมมารไม่ได้เลยล่ะ
บาลามดูจะตื่นเต้นขึ้นมา ขณะที่พูด
“มันต้องใช้เวลากว่าที่จะยิงได้อีกครั้ง เรามาใช้โอกาสนี้บุกเข้าไปให้หมดเถอะ”
“ไม่ พวกเขาตั้งใจยิงแบบนั้น”
เซปาร์ปฏิเสธอย่างหนักแน่น
“พวกเขาตั้งใจจะยิงทั้งที่รู้ว่า อยู่นอกระยะ นั่นเป็นอุบายเพื่อล่อให้เราเข้าไป”
“นายท่านครับ ตอนนี้เป็นยามราตรีนะครับ”
ผมพูดอย่างระวัง
“ปีศาจนั้นสามารถมองเห็นได้ดีแม้จะเป็นในเวลากลางคืน แต่มนุษย์ทำไม่ได้ แล้วท่านจะมั่นใจได้อย่างไรครับว่า ที่พวกเขาทำลงไปนั้นไม่ใช่เพราะการเห็นของพวกเขามีขีดจำกัด?”
“พวกเขาไม่ใช่คนโง่ พวกเขาต้องมีทหารบางนายที่สามารถเห็นได้ดีในความมืด ในกรณีการรบกลางคืน และเมื่อเป็นอย่างนั้นการที่พลธนูยิงนอกระยะ นั่นเป็นแค่แผนหลอก
ทหารทั้งหลาย ยกเลิกขบวนทัพเต่า กระจายกำลังออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
บาลามดูจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ทำตามคำสั่งของเซปาร์โดยไม่บ่น
ไม่นานนักก็เห็นแล้วว่า การตัดสินใจของเซปาร์นั้นถูกต้อง รถยิงหินโผล่ออกมา
ก้อนหินลูกใหญ่ 10 ลูก ลอยมาในอากาศและกระแทกกับมอนสเตอร์ หินที่ยิงออกมานั้นมีขนาดใหญ่กว่าหินจากรถยิงหินปกติมาก
พวกออร์คจึงต้องถูกหินบดอย่างช่วยไม่ได้ อย่างที่คิดไว้จริงๆนั่นแหละ โล่ใหญ่แค่ไหนก็กันหินก้อนใหญ่ไม่ได้
เซปาร์คำรามออกมา
“พวกเขาเลิกการจับระยะแล้วเลือกที่จะเพิ่มพลังทำลายล้างแทน น่าประทับใจมาก”
“……ความหลักแหลมของนายท่านสุดยอดมากครับ ถ้าพวกเรายังให้คนของเราเกาะกันอยู่ มีหวังต้องเสียหายมากกว่านี้แน่”
“นี่เป็นโอกาสของพวกเรา ทหารทุกนาย ยกโล่ขึ้นแล้วบุกไปข้างหน้า”
สีหน้าของเซปาร์ไม่เปลี่ยนไปเลย ในขณะที่สั่งการต่อ
อย่างที่บาลามพูดนั่นแหละ ผมนี่อึ้งกับความยอดเยี่ยมของเขา
การรบไม่ได้เป็นไปตามที่วางแผนไว้โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะวางแผนไว้ดีแค่ไหน แต่ก็ไม่เกิน 10 นาที ที่กระแสการรบนั้นจะเกินความคาดเดา
รถยิงหินที่พวกมนุษย์เตรียมไว้ในสนามรบนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ใครจะไปคิดกันล่ะว่าเขาจะใช้อาวุธในการปิดล้อมที่ระยะสั้นกว่าธนู?
พวกเขาใช้ประโยชน์จากรถยิงหินก่อนแล้วค่อยใช้ธนูตามมาทีหลัง นั่นเป็นกลยุทธพื้นฐาน
เซปาร์มองเห็นจุดผิดพลาดของศัตรู ว่าทำไมถึงยิงธนูทั้งที่มันอยู่นอกระยะ? เหตุผลนั้นง่ายมาก เพื่อให้พวกเราพุ่งเข้าไปก่อนที่จะยิงอีกครั้ง พูดง่ายๆคือ ตั้งใจจะล่อพวกเราเข้าไป
พวกเขาอยากให้พวกเรารวมกลุ่มก้อนเข้าด้วยกัน
……. เพื่ออะไรกันล่ะ? แม้แต่เซปาร์เองก็ยังไม่รู้
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า พวกเราควรทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่มนุษย์อยากได้
หากศัตรูต้องการให้พวกเรารวมตัวกันชิดๆ พวกเราก็ควรจะกระจายกำลังออก ผลก็คือ มอนสเตอร์นั้นได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย จนการใช้รถยิงหิน นั่นเป็นสิ่งที่เซอไพร้ส์มาก
หรือนี่จะเป็นความสามารถของจอมมารที่เคยเข้าร่วมพันธมิตรเสี้ยวจันทรามาแล้วถึง 3 ครั้งนะ?
……หากผมเป็นผู้บัญชาการ ผมจะสามารถคิดได้เร็วเหมือนเซปาร์หรือเปล่านะ?
แม้จะยังเป็นที่สงสัย แต่ผมเชื่อว่าคงไม่แน่ๆ ผมอาจจะรู้ว่า ศัตรูทำอะไรบางอย่างผิดปกติ และคิดว่า พวกเขาน่าพยายามหลอกอะไรพวกเราอยู่
แต่พอผมรู้อย่างนั้นผมก็จะเสียเวลาไปนั่งควานหาว่า จุดมุ่งหมายของพวกเขาคืออะไร?
ในฐานะนายพล ระดับของเซปาร์กับผมนี่มันคนละชั้นกันเลย…….
“พวกมนุษย์จะยิงธนูมาอีกระลอก ให้ออเกอร์พุ่งให้เร็วที่สุดหลังธนูหยุด”
ขณะที่ผมกำลังสะท้อนความสามารถตัวเองอย่างจริงจัง สมรภูมิรบก็ยิ่งรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ศัตรูกำลังจะยิงธนูอีกรอบ”
“ตอนนี้แหละ! ให้ออเกอร์ของพวกเราพุ่งเข้าไป!”
เหมือนเช่นก่อนหน้า ธนูนั้นตกลงมาใส่ออร์คถือโล่ ทั้งกลุ่มก้อนเร่งพุ่งไปข้างหน้าก่อนที่ฝนธนูจะหยุดลง
ออเกอร์ทั้ง 5 ตัวนั้นที่เฝ้ารออยู่จากที่ไกลออกไป ก็เริ่มอาละวาด
ออเกอร์ที่ตัวสูงเกือบ 4 เมตร นั้นเป็นเคลื่อนที่เหมือนหินขนาดมหึมา
⎯ ก๊าาาาาาาาา!
ออเกอร์นั้นไม่สนพรรคพวกของตัวเอง และยังคงวิ่งไปข้างหน้า ก็อบลินนั้นตายในทันทีที่ถูกเหยียบด้วยเท้าออเกอร์ ออเกอร์ยังคงรักษาความเร็วสม่ำเสมอ
ระยะอีก 500 จะถึงแนวกำแพง ออเกอร์นั้นเป็นดั่งกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งจากระยะ 500 เมตรถึงเป้าหมายในทันที
พวกมันยืนเป็นแถวเป็นแนวราว โดยมีแขนเหมือนกับเสา ปลายท่อนแขนนั้นปกคลุมไปด้วยเหล็ก พวกมันพร้อมจะชนให้ยับ
พวกมนุษย์ไม่ได้เตรียมรับมือกับออเกอร์มาก่อน นั่นก็เพราะเขาคิดว่า พวกเรามีออเกอร์แค่ 5 ตัว และพวกมันก็ไปอยู่แถวๆรอบป้อมปราการน้ำเงินแล้ว
แต่ความจริงเรามีออเกอร์ 10 ตัวมาตั้งแต่แรก พวกเขาโดนลวง
และนี่คือ ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการถูกหลอก!
⎯ ปังงง!
การกระแทกของออเกอร์ตัวแรกที่พุ่งเข้าใส่ประตู ประตูสั่นไหว ตัวแรกถอยออกจากเส้นทางในทันที แล้วก็เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
ออเกอร์ตัวที่สองพุ่งเข้ากระแทกกับประตู ต่อไปเป็นครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และในที่สุดครั้งที่ห้าเป็นครั้งสุดท้าย
การกระแทกแต่ละครั้งนั้นอาศัยทั้งแรงของออเกอร์และความเร็วที่พุ่งมาจากในระยะ 500เมตร
⎯ ปั้งงงงง!
เมื่อสร้างรอยแยกได้แล้ว ประตูก็พังทลายลง!
ตอนนั้นเองที่พวกมนุษย์ต่างแตกตื่นกับการปรากฏตัวของออเกอร์ การป้องกันของพวกเขาพังทลายแล้ว
พวกเขาอาจคิดว่า มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขามันก็ช่างโง่สิ้นดี!
เซปาร์ตะโกนออกมาราวกับรอช่วงเวลานี้อยู่แล้ว
“ทุกหน่วย พุ่งเข้าไป! ตะโกนออกมา! ฆ่าล้างมันให้หมด!”