ตอนที่แล้วบทที่ 080 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(6)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 082 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(8)

บทที่ 081 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(7)


บทที่ 081 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(7)

มันเป็นช่วงเวลากลางคืนแล้ว เมฆต่างบดบังแสงจันทร์

การโอบล้อมเข้าสู่ช่วงพัก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ได้ปล่อยมอนสเตอร์ไว้ตามลำพัง

⎯ครืดดดด ครูดดด

⎯ก่าซ์ ก่าาาา

ออร์คและก็อบลินนั้นร้องออกมาเป็นจังหวะเหมือนเพลงปลุกใจ มันต่างจากเพลงที่พวกก็อบลินชนเผ่าร้องตอนที่ผมกำจัดพวกปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊งค์ E

ที่นี่ใช้แตรเป็นเครื่องดนตรีด้วย เสียงแตรนั้นก้องดังเป็นเสียงชวนให้เศร้าหงอยใต้ท้องฟ้ายามราตรี

ตั่บ, ตั่บ, ตั่บ

เสียงฝีเท้าของมอนสเตอร์เหยียบลงไปอย่างเชื่องช้า

พวกเราไม่ได้จุดไฟรอบๆดังนั้นรอบข้างจึงมืดมิด จากมุมมองของมนุษย์ที่มองลงมาจากกำแพงป้อม คงเห็นพวกมอนสเตอร์ร้องเพลงแล้วคลานไปมาในใต้เงายามดึก ผู้บัญชาการศัตรูก็คงจะคิดว่า พวกเรามุ่งเป้าไปที่การบั่นทอนกำลังใจของพวกเขา

“ท่านครับ หน่วยด้านหลังที่นำโดย บาลามมาถึงแล้วครับ”

“แล้วพวกมนุษย์รู้ตัวกันไหม?”

เซปาร์ถามด้วยน้ำเสียงปนตลก แต่ถึงน้ำเสียงเขาจะเป็นอย่างนั้นก็ยังฟังดูสูงส่ง และนั่นทำให้ดูแคลนประสบการณ์หลายปีของเขาไม่ได้

“พวกนั้นคิดว่า พวกเราทำอะไรไร้ประโยชน์อยู่”

มนุษย์นี้ปกป้องป้อมปราการน้ำเงินนั้นเป็นทหารระดับสูง พวกเขาเคยปราบมอนสเตอร์มาก่อน และต่อให้เราร้องเพลงอย่างนั้นไปทั้งคืน พวกมนุษย์ก็คงแค่กรนใส่เรา พวกเขาทำเหมือนกับว่านั่นเป็นเพลงเห่กล่อมแล้วหลับลงอย่างเป็นสุข โดยปล่อยให้พวกเราเหนื่อยเปล่า นั่นแหละคือความอดทนที่พวกเขามี

แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำตัวสบายๆ พวกเขามีเหตุผลดีพอที่จะมั่นใจอย่างนั้น

กองกำลังหนุนจากป้อมปราการแดงและทองนั้นจะมาแหวกผ่านตำแหน่งมอนสเตอร์ด้านหลังพวกเขาในวันพรุ่งนี้

ต้องขอบคุณพวกนั้นที่ทำให้พวกมนุษย์ยังคงรักษากำลังในการรบให้สูงอยู่ได้

แต่ความเชื่อมั่นนั่นจะอยู่กับพวกเขาได้นานแค่ไหนนะ ผมสงสัย?

มนุษย์จะยังสามารถสู้ต่อไปได้ไหมเมื่อสูญสิ้นความหวังไปแล้ว?

เอ้อ ช่างมันเถอะ ถึงอย่างนั้นโอกาสที่พวกเขาจะชนะมันก็มีน้อยนิดมาก ไม่ใช่แค่ชัยชนะอย่างเดียว หากแต่เป็นโอกาสในการรอดชีวิตด้วยเช่นกัน

ไม่นานนัก

จอมมารที่นำทัพด้านหลังก็มาถึง  ลำดับ 51 บาลาม (Rank 51 Balam)

เขาเป็นหนึ่งในจอมมารหน้าใหม่ เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ด้วยการตามหลังเรามาโดยเว้นระยะห่างเป็นเวลาหนึ่งวัน

พวกมนุษย์ได้รวมทหารหน่วยสอดแนมไว้ที่ป้อมปราการเพื่อป้องกันการถูกล้อม นั่นเป็นจุดผิดพลาดที่ถึงตาย พวกเขาพลาดการรับรู้ถึงการมาเพิ่มของทหารจากด้านหลัง

หากพวกเขารู้ว่าพวกเราเป็นแนวหน้าของกองพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ก็คงจะยังรักษากลุ่มหน่วยสอดแนมให้คงอยู่

แต่พวกเขาไม่รู้ พวกเขาคิดว่า นี่คงเป็นเพียงการบุกเล็กๆน้อยๆเหมือนทุกที ก็นับตั้ง 200ปีแล้ว จากการรวมกำลังพันธมิตรครั้งที่แล้ว

200ปีนั้นเพียงพอที่จะทำให้พวกมนุษย์ประมาท…….

บาลามแสดงความเคารพ

“ข้ามาถึงภายหลังตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว นายพลครับ กองทหารเข้าแถวและรอคำสั่งจากท่าน”

“ดีมาก หยุดร้องเพลงได้”

เซปาร์ยกแขนขวาขึ้น บาลามกับผมก็ทำด้วยเช่นกัน

ในตอนนั้นเอง ความเงียบก็ห้อมล้อมพวกเราไว้ ความคิดของพวกเราส่งไปถึงพวกมอนสเตอร์ มอนสเตอร์เงียบลงทันทีราวกับไม่เคยร้องเพลงหรือย่ำเท้ามาก่อน

ผมสงสัยเหมือนกันว่า การที่อยู่ๆก็เงียบไปนั้นคงทำให้ทหารมนุษย์ที่อยู่บนป้อมเริ่มสั่นไหว ผมไม่ได้ยินเสียงพวกเขาหรอกเพราะมันอยู่ไกลออกไป

แต่เป็นไปได้ว่า พวกเขาจะสับสนจากการที่อยู่ๆทุกอย่างก็เงียบลง พวกเขาอาจรู้โดยสัญชาตญาณว่า ความเงียบคราวนี้มันไม่ปกติ และมีบางอย่างชวนให้ขนลุก

“โอ อาเทมิส, พวกเราจะยึดวิหารภายใต้พลบค่ำอันเรืองโรจน์แห่งท่าน”

เซปาร์พูดด้วยเสียงต่ำ มันเป็นเพลงที่เหมือนเสียงสวด หลังจากเขาท่องวรรคแรกแล้ว บาลามกับผมก็ว่าตาม

“โอ อาเทมิส, พวกเราจะยึดวิหารภายใต้พลบค่ำอันเรืองโรจน์แห่งท่าน”

ระดับเสียงของพวกเรานั้นแผ่วอ่อน หากพวกเราเป็นมนุษย์นี่คือ อะไรที่เบาเกินกว่าจะเป็นสัญลักษณ์แจ้งเตือนการเริ่มสงคราม

แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราเป็นจอมมาร และลูกน้องของเราคือมอนสเตอร์ มอนสเตอร์นั้นรับรู้ถึงความคิดพวกเราได้แม้เราจะเพียงกระซิบกับมัน

“ความเป็นมิตรจักพบได้ในยามยาก ความเสมอภาคต่อหน้าศัตรู และอิสรภาพที่จะมอบให้เมื่อความตายย่างเข้าใกล้

เราสาบานต่อสนามรบ,สาบานต่อความเป็นมิตร,สาบานต่อความเสมอภาค และสาบานต่อความตาย”

เสียงเซปาร์และของพวกเราปกคลุมรอบพื้นที่ราวกับเป็นชั้นความมืด

“โอ อาเทมิส, เราสาบานต่อท่านด้วยเลือดสีแดงนี้ว่ามนุษย์จักเป็นศัตรูกับเราตลอดกาล เผ่าปีศาจนั้นจะเป็นเหมือนหมาล่าเนื้อที่ไล่ตามอนาคตอันทรงเกียรติ และไม่ว่าพวกเราจะชนะหรือแพ้ก็ตาม ขออย่าให้เหตุการณ์นี้เป็นการเสียเวลาเปล่าเลย”

เซปาร์ส่งแก้วให้กับพวกเราก่อนจะรินไวน์ให้ จากนั้นก็ค่อยรินไวน์ในแก้วของเขาเองด้วยเช่นกัน

การที่หัวหน้าผู้บัญชาการนั้นเทไวน์ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชานั้นเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น

ผมยินดีรับมันไว้ ผมรู้มาด้วยว่า การกระทำนี้มีความหมายว่าอย่างไร

“แด่เกียรติยศแห่งการพิชิต”

“แด่เกียรติยศแห่งการพิชิต แด่เกียรติยศแห่งเซปาร์!”

“แด่เกียรติยศแห่งบาร์บาทอส!”

ผมกระดกไวน์ให้หมดภายในอึกเดียวก่อนจะโยนแก้วทิ้ง แก้วทั้ง 3 ใบแตกเสียงดัง ตรงข้ามกับก่อนหน้าที่เขาได้กระซิบกระซาบ

ตอนนี้เซปาร์ตะโกนออกมาดังลั่น

“คืนนี้ ภูเขาดำจะเป็นของพวกเรา! ทหารทั้งหลาย บุกโจมตี!”

“บุกโจมตี!”

“ทุกหน่วย บุกโจมตี⎯⎯!”

เสียงมอนสเตอร์ร้องออกมา ทั้งออเกอร์,ออร์ค,ก็อบลินและโกเลมต่างคำราม แหวกผ่านอากาศยามดึกราวกับจะทะลวงไปให้ถึงชั้นเมฆ

เราไม่ต้องบุกเข้าไปอย่างระวังแล้ว พวกเราตั้งใจจะถล่มประตูด้วยการโจมตีในครั้งเดียว กองกำลังมอนสเตอร์ 1,500 นาย บุกชาร์จเข้าไปรวดเดียว

การควบคุมมอนสเตอร์จำนวนมากให้เป็นดั่งแขนขาของตนนั้นเป็นความสามารถที่จอมมารมี

บาลามพูดขึ้น

“นายพลครับ! อนุญาตให้ออเกอร์นำทัพด้วย!”

“ไม่ มันเป็นไปได้สูงมากที่มนุษย์ระยำนั่นจะเตรียมการตั้งรับการบุกโจมตีฉับพลันไว้แล้ว ส่งออร์คพร้อมกับโล่เข้าไปก่อน”

เซปาร์นั้นดูจะเข้าใจสถานการณ์สงครามดีอย่างยิ่ง เสียงของฆ้องที่ดังก้องนั้นไม่นานนัก ไม่ถึงนาทีดี พลธนูจำนวนมากก็ปรากฏอยู่ระหว่างคบไฟ ดูเหมือนพวกเขาจะรอเราอยู่แล้ว

หากให้ผมกะจำนวนพลธนูคร่าวๆ ก็มีเกิน 300 นายซึ่งนับเป็นจำนวนที่เยอะมาก

อันที่จริงแล้วทหารทุกนายที่เฝ้าป้อมปราการรู้วิธีการยิงธนู ในยุคนี้สมัยนี้ นักธนูถูกปฏิบัติเหมือนเป็นดั่งทหารชั้นสูง แม้จะไม่เทียบเท่าได้กับทหารม้า แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่นานเหมือนกันกว่าจะปั้นพลธนูขึ้นมาได้

คุณแทบจินตนาการได้เลยว่า การฝึกมันต้องเข้มงวดขนาดนั้นเพื่อสร้างมนุษย์ที่สามารถปกป้องป้อมปราการแห่งภูเขาดำได้

พอพวกออร์คถือโล่เข้าไปใกล้กับแนวกำแพง นักธนูก็รั้งสายธนูไว้แล้วยิงธนูออกมาชุดหนึ่ง

“ปิดรูปขบวน!”

“โล่ชิด!”

เซปาร์ตะโกนและบาลามก็ทวนคำสั่งของเขา

ออร์คที่อยู่ในแนวหน้าก็แปลงขบวนรูปเต่าโดยใช้โล่ที่เหมือนกับโล่กลาดิเอเตอร์จากโรมัน

ฝนธนูตกลงสู่โล่ของพวกเขา ออร์คนั้นสามารถใช้โล่ที่ใหญ่กว่าตัวเองถึงสองเท่าของขนาดตัวมนุษย์

มันยากเหลือเกินที่ธนูจะทะลุผ่านบาเรียหนาขนาดนั้นได้

หลังผ่านฝนธนูของพลธนูนับร้อยไป กองกำลังของเราแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

นั่นแหละคือ สาเหตุที่ว่า ทำไมกองทัพจอมมารถึงทรงพลัง

พวกมนุษย์นั้นต้องใช้ประโยชน์จากธงและสัญญาณต่างๆเพื่อบัญชาการทัพ ปีศาจใต้การบัญชาการของจอมมารนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

มอนสเตอร์นั้นเชื่อมต่อกับจิตสำนักของจอมมารโดยตรง เมื่อสิ่งกีดขวางการสื่อสารถูกเอาออกไป ตามทฤษฏีแล้วคำสั่งการจะสมบูรณ์ที่สุดตราบใดที่จอมมารไม่ก่อกวนจอมมารด้วยกันเอง

คุณเทียบฝูงมอนสเตอร์ทั่วไปกับฝูงมอนสเตอร์ที่นำทัพโดยจอมมารไม่ได้เลยล่ะ

บาลามดูจะตื่นเต้นขึ้นมา ขณะที่พูด

“มันต้องใช้เวลากว่าที่จะยิงได้อีกครั้ง เรามาใช้โอกาสนี้บุกเข้าไปให้หมดเถอะ”

“ไม่ พวกเขาตั้งใจยิงแบบนั้น”

เซปาร์ปฏิเสธอย่างหนักแน่น

“พวกเขาตั้งใจจะยิงทั้งที่รู้ว่า อยู่นอกระยะ นั่นเป็นอุบายเพื่อล่อให้เราเข้าไป”

“นายท่านครับ ตอนนี้เป็นยามราตรีนะครับ”

ผมพูดอย่างระวัง

“ปีศาจนั้นสามารถมองเห็นได้ดีแม้จะเป็นในเวลากลางคืน แต่มนุษย์ทำไม่ได้ แล้วท่านจะมั่นใจได้อย่างไรครับว่า ที่พวกเขาทำลงไปนั้นไม่ใช่เพราะการเห็นของพวกเขามีขีดจำกัด?”

“พวกเขาไม่ใช่คนโง่ พวกเขาต้องมีทหารบางนายที่สามารถเห็นได้ดีในความมืด ในกรณีการรบกลางคืน และเมื่อเป็นอย่างนั้นการที่พลธนูยิงนอกระยะ นั่นเป็นแค่แผนหลอก

ทหารทั้งหลาย ยกเลิกขบวนทัพเต่า กระจายกำลังออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

บาลามดูจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ทำตามคำสั่งของเซปาร์โดยไม่บ่น

ไม่นานนักก็เห็นแล้วว่า การตัดสินใจของเซปาร์นั้นถูกต้อง รถยิงหินโผล่ออกมา

ก้อนหินลูกใหญ่ 10 ลูก ลอยมาในอากาศและกระแทกกับมอนสเตอร์ หินที่ยิงออกมานั้นมีขนาดใหญ่กว่าหินจากรถยิงหินปกติมาก

พวกออร์คจึงต้องถูกหินบดอย่างช่วยไม่ได้ อย่างที่คิดไว้จริงๆนั่นแหละ โล่ใหญ่แค่ไหนก็กันหินก้อนใหญ่ไม่ได้

เซปาร์คำรามออกมา

“พวกเขาเลิกการจับระยะแล้วเลือกที่จะเพิ่มพลังทำลายล้างแทน น่าประทับใจมาก”

“……ความหลักแหลมของนายท่านสุดยอดมากครับ ถ้าพวกเรายังให้คนของเราเกาะกันอยู่ มีหวังต้องเสียหายมากกว่านี้แน่”

“นี่เป็นโอกาสของพวกเรา ทหารทุกนาย ยกโล่ขึ้นแล้วบุกไปข้างหน้า”

สีหน้าของเซปาร์ไม่เปลี่ยนไปเลย ในขณะที่สั่งการต่อ

อย่างที่บาลามพูดนั่นแหละ ผมนี่อึ้งกับความยอดเยี่ยมของเขา

การรบไม่ได้เป็นไปตามที่วางแผนไว้โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะวางแผนไว้ดีแค่ไหน แต่ก็ไม่เกิน 10 นาที ที่กระแสการรบนั้นจะเกินความคาดเดา

รถยิงหินที่พวกมนุษย์เตรียมไว้ในสนามรบนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ใครจะไปคิดกันล่ะว่าเขาจะใช้อาวุธในการปิดล้อมที่ระยะสั้นกว่าธนู?

พวกเขาใช้ประโยชน์จากรถยิงหินก่อนแล้วค่อยใช้ธนูตามมาทีหลัง นั่นเป็นกลยุทธพื้นฐาน

เซปาร์มองเห็นจุดผิดพลาดของศัตรู ว่าทำไมถึงยิงธนูทั้งที่มันอยู่นอกระยะ? เหตุผลนั้นง่ายมาก เพื่อให้พวกเราพุ่งเข้าไปก่อนที่จะยิงอีกครั้ง พูดง่ายๆคือ ตั้งใจจะล่อพวกเราเข้าไป

พวกเขาอยากให้พวกเรารวมกลุ่มก้อนเข้าด้วยกัน

……. เพื่ออะไรกันล่ะ? แม้แต่เซปาร์เองก็ยังไม่รู้

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า พวกเราควรทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่มนุษย์อยากได้

หากศัตรูต้องการให้พวกเรารวมตัวกันชิดๆ พวกเราก็ควรจะกระจายกำลังออก ผลก็คือ มอนสเตอร์นั้นได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย จนการใช้รถยิงหิน นั่นเป็นสิ่งที่เซอไพร้ส์มาก

หรือนี่จะเป็นความสามารถของจอมมารที่เคยเข้าร่วมพันธมิตรเสี้ยวจันทรามาแล้วถึง 3 ครั้งนะ?

……หากผมเป็นผู้บัญชาการ ผมจะสามารถคิดได้เร็วเหมือนเซปาร์หรือเปล่านะ?

แม้จะยังเป็นที่สงสัย แต่ผมเชื่อว่าคงไม่แน่ๆ ผมอาจจะรู้ว่า ศัตรูทำอะไรบางอย่างผิดปกติ และคิดว่า พวกเขาน่าพยายามหลอกอะไรพวกเราอยู่

แต่พอผมรู้อย่างนั้นผมก็จะเสียเวลาไปนั่งควานหาว่า จุดมุ่งหมายของพวกเขาคืออะไร?

ในฐานะนายพล ระดับของเซปาร์กับผมนี่มันคนละชั้นกันเลย…….

“พวกมนุษย์จะยิงธนูมาอีกระลอก ให้ออเกอร์พุ่งให้เร็วที่สุดหลังธนูหยุด”

ขณะที่ผมกำลังสะท้อนความสามารถตัวเองอย่างจริงจัง สมรภูมิรบก็ยิ่งรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ

“ศัตรูกำลังจะยิงธนูอีกรอบ”

“ตอนนี้แหละ! ให้ออเกอร์ของพวกเราพุ่งเข้าไป!”

เหมือนเช่นก่อนหน้า ธนูนั้นตกลงมาใส่ออร์คถือโล่ ทั้งกลุ่มก้อนเร่งพุ่งไปข้างหน้าก่อนที่ฝนธนูจะหยุดลง

ออเกอร์ทั้ง 5 ตัวนั้นที่เฝ้ารออยู่จากที่ไกลออกไป ก็เริ่มอาละวาด

ออเกอร์ที่ตัวสูงเกือบ 4 เมตร นั้นเป็นเคลื่อนที่เหมือนหินขนาดมหึมา

⎯  ก๊าาาาาาาาา!

ออเกอร์นั้นไม่สนพรรคพวกของตัวเอง และยังคงวิ่งไปข้างหน้า ก็อบลินนั้นตายในทันทีที่ถูกเหยียบด้วยเท้าออเกอร์ ออเกอร์ยังคงรักษาความเร็วสม่ำเสมอ

ระยะอีก 500 จะถึงแนวกำแพง ออเกอร์นั้นเป็นดั่งกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งจากระยะ 500 เมตรถึงเป้าหมายในทันที

พวกมันยืนเป็นแถวเป็นแนวราว โดยมีแขนเหมือนกับเสา ปลายท่อนแขนนั้นปกคลุมไปด้วยเหล็ก พวกมันพร้อมจะชนให้ยับ

พวกมนุษย์ไม่ได้เตรียมรับมือกับออเกอร์มาก่อน นั่นก็เพราะเขาคิดว่า พวกเรามีออเกอร์แค่ 5 ตัว และพวกมันก็ไปอยู่แถวๆรอบป้อมปราการน้ำเงินแล้ว

แต่ความจริงเรามีออเกอร์ 10 ตัวมาตั้งแต่แรก พวกเขาโดนลวง

และนี่คือ ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการถูกหลอก!

⎯ ปังงง!

การกระแทกของออเกอร์ตัวแรกที่พุ่งเข้าใส่ประตู ประตูสั่นไหว ตัวแรกถอยออกจากเส้นทางในทันที แล้วก็เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง

ออเกอร์ตัวที่สองพุ่งเข้ากระแทกกับประตู ต่อไปเป็นครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และในที่สุดครั้งที่ห้าเป็นครั้งสุดท้าย

การกระแทกแต่ละครั้งนั้นอาศัยทั้งแรงของออเกอร์และความเร็วที่พุ่งมาจากในระยะ 500เมตร

⎯ ปั้งงงงง!

เมื่อสร้างรอยแยกได้แล้ว ประตูก็พังทลายลง!

ตอนนั้นเองที่พวกมนุษย์ต่างแตกตื่นกับการปรากฏตัวของออเกอร์ การป้องกันของพวกเขาพังทลายแล้ว

พวกเขาอาจคิดว่า มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขามันก็ช่างโง่สิ้นดี!

เซปาร์ตะโกนออกมาราวกับรอช่วงเวลานี้อยู่แล้ว

“ทุกหน่วย พุ่งเข้าไป! ตะโกนออกมา! ฆ่าล้างมันให้หมด!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด