ตอนที่แล้วบทที่ 078 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(4)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 080 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(6)

บทที่ 079 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(5)


บทที่ 079 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(5)

“ท่านครับ พวกเราได้ข้อความเร่งด่วน”

“มีอะไรเกิดขึ้นรึ?”

ชายตรงหน้าเขาอายุราว40 ปีกำลังทำงานและอ่านเอกสารอยู่

ฟริทซ์ ฟอน โรเซนเบิร์ก(Fritz von Rosenberg)เป็นชนชั้นสูงแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กและยังเป็นหนึ่งในสองมาร์คกราฟที่มีหน้าที่ดูแลภูเขาดำ เขามีทหารม้าแนวหน้า

“ป้อมปราการเขียวแตกแล้วครับ”

“โอ้?”

เขาถอดแว่นโมโนเคิ่ลของตัวเองแล้วมองพ่อบ้านด้วยดวงตาที่คมกริบ

“จำนวนของพวกมันล่ะ?”

“จากรายงาน มีมอนสเตอร์ประมาณพัน จอมมารสามตนได้รวมทัพกัน แต่ไม่มีใครสูงเกินกว่าระดับ 30 แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็มีออเกอร์ 5 ตัว”

“ออเกอร์ 5 ตัว อย่างนั้นรึ?”

มาร์คกราฟลูบหนวดตัวเอง

“นี่จัดเป็นภัยคุกคามเลยล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ป้อมปราการที่เหลือจะจัดการไม่ได้ แล้วผู้บัญชาการ ว่าอย่างไรบ้างล่ะ?”

“พวกเขาบอกว่า นายท่านไม่มีอะไรต้องกังวล พวกเขาจะหยุดพวกมอนสเตอร์เอง”

เขาพยักหน้า

“นี่ก็เป็นโอกาสสำหรับพวกเขาที่จะสร้างชื่อเสียงในการรบนั่นแหละ ความสัมพันธ์กับพวกผู้บัญชาการคงจะแย่ลงมากหากข้าเข้าไปแทรกแล้วเอามาเป็นผลงานของตัวเอง

ส่งข่าวบอกพวกเขาว่า ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกเขาและจะไม่ส่งทหารไป แต่ถึงอย่างนั้นข้าจะเตรียมทหารไว้ให้พร้อมเดินทางทันทีที่พวกเขาร้องขอ แล้วก็ส่งข่าวบอก หัวหน้าทหารม้าหน่วยหมูป่าสการ์เล็ท(Scarlet Wild Boar)ด้วย ให้ระดมพลให้พร้อม”

“ในทันทีครับ นายท่าน”

พ่อบ้านโค้งให้ด้วยความเคารพยิ่งก่อนจะออกจากสำนักงานไป

ชั่วขณะนั้นเอง ที่มาร์คกราฟฟริทซ์ ฟอน โรเซนเบิร์กได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้ว่า มอนสเตอร์ทั้งพันตัวนั้นอาจจะทะลวงผ่านป้อมปราการทั้ง 3

แต่เขาคิดอย่างนั้นได้ไม่นาน

มอนสเตอร์พันตัวไม่ได้เป็นภัยคุกคามเลย งานเดียวที่เขาควรกังวลคือ การฟื้นฟูป้อมปราการที่เสียไปจากการป้องกันมอนสเตอร์

มาร์คกราฟกลับไปทำงานเอกสารต่อ ภูเขาดำยังคงปลอดภัย ปัญหานั้นไม่ได้มาจากภายนอกหากแต่มาจากภายใน เขาได้ยินว่าการเมืองที่ตึงเครียดภายในเมืองหลวงนั้นรุนแรงมาก มาร์คกราฟจมอยู่ในห้วงความคิดที่ว่า ฝ่าบาทผู้เป็นองค์มกุฏราชกุมาร(Crown Prince)ของเขานั้นจะทำงานสำเร็จหรือไม่

* * *

กลยุทธของผมนั้นสำเร็จราบรื่น

หน่วยที่อ้อมไปทางป้อมปราการเขียวแล้วตั้งค่ายด้านหลังป้อม พอพวกเขาตั้งค่ายเสร็จ เราก็ส่งหน่วยมอนสเตอร์อีก 500 นายบุกจากด้านหน้า เราปิดการโจมตีจากทั้งสองข้าง เทียบไปแล้วก็เหมือนบีบมะเขือเทศเละด้วยมือ แล้วป้อมเขียวก็ถูกยึดโดยง่าย

ปกติแล้วผู้คนมักจะพูดกันว่า ฝ่ายบุกนั้นจำต้องมีกองกำลังที่มากกว่าถึงสามเท่าเพื่อการตีโอบล้อม แต่นั่นเป็นกรณีที่มนุษย์สู้กันเอง ผมไม่แน่ใจเรื่องกำลังของก็อบลิน แต่ออร์คน่ะมีความสามารถทางกายภาพที่เหนือกว่ามนุษย์ ดังนั้นหากใช้มันให้ดี ก็สามารถที่จะปิดล้อมได้ด้วยกำลังพลที่เท่ากัน

พวกเรามีมอนสเตอร์พันตัว รวมถึง ออเกอร์ 5 ตัว ไม่เพียงแต่จอมมารจะสามารถบัญชาการได้โดยเบ็ดเสร็จ แต่พวกเราก็จู่โจมข้างทั้งสองข้างได้ด้วย แม้พวกทหารที่ตั้งรับนั้นจะเป็นทหารเก่าผู้ชำนาญศึก ป้อมปราการที่มีกำลังทหารเพียง 500 ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก

“สงครามนี่มันให้ความรู้สึกว่างเปล่าอย่างไม่น่าเชื่อ”

“มันต่างจากการกำจัดปาร์ตี้นักผจญภัยค่ะ”

ลอร่าตอบกลับความนึกคิดของผมอย่างจริงใจ

“ฝ่าบาทนั้นบัญชาการอยู่ในค่าย ไม่ใช่แนวหน้า ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ยากมากที่ผู้บัญชาการจะเป็นประจักษ์พยานความน่ากลัวของสงคราม”

ลอร่าและผมกำลังมองไปรอบค่ายในขณะที่ขี่ม้าเดินเคียงข้างกัน ก็อย่างที่เธอพูดนั่นแหละ  ผมอาจจะเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการณ์แต่ก็แค่ในเชิงกลยุทธเท่านั้น ผมไม่ได้มีส่วนร่วมในการรบเลย ผมเข้าร่วมกับพันธมิตรเสี้ยวจันทราโดยมีโกเลม 32 ตัวและ แฟรี่อีก 10 ตัว ดังนั้นพวกเราจึงถูกกีดกันออกจากการรบ

ผมยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ความน่ากลัวของสงครามอย่างนั้นหรือ? สิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าก็ออกจะน่ากลัวอยู่แล้ว”

มอนสเตอร์รอบข้างเรา พูดให้ชัด พรรคพวกของเรากำลังกินกันอยู่

ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน การขนส่งเสบียงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจัดการกองทัพ ไม่เวอร์ไปเลยหากจะพูดว่า กระแสการไหลของสงครามนั้นขึ้นอยู่กับว่า คุณจะสามารถจัดหาเสบียงได้อย่างไร และหาเสบียงแบบไหนมาเพิ่ม

ต่างจากยุคสมัยใหม่ ในยุคนี้การรักษาสายการขนส่งนั้นเป็นเรื่องยาก

ถึงอย่างนั้น พื้นฐานที่สุดของการลำเลียงเสบียงทางการทหารก็คือ ‘การหาเสบียงในพื้นที่’ ในกรณีของมนุษย์ก็คงจะเอาเสบียงในท้องที่หรือไม่ก็ปล้นสดมภ์เอา แล้วในกรณีของมอนสเตอร์ล่ะ?

⎯ กรั่บๆ , ฉึก

ออร์คตัวหนึ่งกำลังกัดชิ้นเนื้ออยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรจากพวกเรา ออร์คโยนแผ่นหนังและเกราะเหล็กทิ้งไปราวกับกำลังดึงก้างปลา จากนั้นมันก็กัดง่ำ

ผมได้ยินเสียงน้ำลายที่กระเซ็นไปบนพื้นได้อย่างชัดเจน

เนื้อชิ้นนั้นเป็นส่วนขาของมนุษย์

การหาเสบียงในท้องที่ของปีศาจนั้นโหดร้ายเหลือเกิน พวกมันเอาศพที่เป็นผลลัพธ์ของการต่อสู้มาเป็นเสบียงอาหาร ไม่ใช่แค่ศพมนุษย์อย่างเดียว แต่ศพของก็อบลินและออร์คก็ถูกใช้เป็นอาหารเช่นเดียวกัน

แม้ในตอนนี้ มีกองไฟพวยพุ่งทั้งตรงนี้ และตรงนั้น ทั้งหมดเป็นผลลัพธ์จากการที่เอาศพมาปรุงสุก

……จากมุมมองมนุษย์ นี่มันก็เหมือนนรกดีๆนี่เอง

เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว ผมอ้วกแตกอ้วกแตนคาพื้น กลิ่นน่าสยดสยองของลำไส้และศพที่ไหม้ท่วมจมูกและเขย่ากระโหลกผม

แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกพวกนั้นมันก็ส่งถ่ายมาหาผม พูดง่ายๆคือ มันเป็นความรู้สึกหิวของมอนสเตอร์นั่นเอง

แม่งเอ๊ย!

ประสาทรับรู้ของผมนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอันน่าสยดสยอง แต่ในหัวของผมกลับมีแต่ความรู้สึกหิว

เอาจริงๆนะ นี่มันการทรมานประเภทไหนกัน?

ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า การรับรู้อารมณ์ของอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่สิ่งดีหรอก โดยเฉพาะตอนที่อยากจะปฏิเสธความรู้สึกหิวเนื้อมนุษย์

“ฝ่าบาทพูดถูก นี่คือ ความน่ากลัวของสงคราม แต่ถึงอย่างนั้น ตัวฉันเชื่อว่า เหล่าราชาทั้งหลายต้องรับภาระที่ต่างออกไป”

“ภาระที่มีแต่เพียงเหล่าราชาที่ต้องแบกรับไว้…….”

ผมพึมพัมขึ้นมาอย่างเหม่อลอย ลอร่าก็พยักหน้า

“หากเป็นทหารธรรมดาก็มีสิทธิ์ที่จะร้องออกมาเมื่อต้องเจ็บปวดกับสงคราม

ชาวบ้านสามารถคร่ำครวญและก่นด่าถึงชะตาชีวิตที่อยุติธรรม

แต่ถึงอย่างนั้นราชานั้นต่างออกไป”

เธอหยุดพูดไปชั่วครู่ แต่ก่อนที่ผมจะรู้ตัวเราสองคนก็มองหน้ากันบนหลังม้า ดวงตาที่ไม่สั่นไหวมองตรงมาที่ผม

“ในการบังคับบัญชาทหาร จะไม่อนุญาตให้มีการกล่าวโทษผู้ใดในความทุกข์ระทมนั้น จะตำหนิโลกใบนี้ก็ไม่ได้เช่นกัน นี่ก็เป็นเพราะมันเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาในสงคราม”

“…….”

“ฝ่าบาทคะ โปรดดูศพที่กระจัดกระจายรอบตัวพวกเรา มันไม่ต่างกันเลยระหว่าง มนุษย์,ก็อบลิน และออร์ค

แล้วเหตุใดกันพวกเขาถึงตาย?

ใครเป็นผู้บังคับให้พวกเขาเข้ามาสู่สมรภูมิรบ?”

ไม่มีอะไรให้พูด

ผมนี่แหละ ที่เป็นผู้พาพวกเขาเข้าสู่สนามรบ

เซปาร์,อามิอิ รวมถึงจอมมารตนอื่นๆต่างเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสงครามนี้

อย่างไรก็ดี ถึงจะมีผู้ร่วมกระทำมากมายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า ผมเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อยู่ดี

โดยเฉพาะยุทธการที่เห็นนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจให้เกิดขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากการสู้รบนั้นเป็นไปในทิศทางอื่น?

……พวกผู้คนทั้งหลายที่ตายตอนนี้ อาจมีชะตาชีวิตที่ดีกว่านี้ก็ได้ ผมนี่แหละที่เป็นเหตุให้พวกเขาตาย

ลอร่ามองผมด้วยแววตาแข็งทื่อ

“ท่านอาจจะเจ็บปวด และบางทีอาจเหนื่อยล้า ท่านรู้สึกอย่างนั้นได้ค่ะ

แต่อย่างน้อยที่สุด การตำหนิกล่าวโทษผู้อื่นเป็นสิ่งที่ราชาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอย่างเด็ดขาด”

“……ข้า”

ผมเปิดปากพูดขึ้นและต้องประหลาดใจ น้ำเสียงของผมนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ นี่ผมกำลังเสียใจอย่างนั้นรือ?

แม้แต่ตอนนี้ การได้ฟังคำพูดของลอร่า ผมก็ยังคงรู้สึกเศร้า มันก็น่าตลกดี ที่ความจริงนั่นทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมา

ผมที่กำลังรับความรู้สึกหิวของออร์คนับร้อยตัว นั่นไม่ใช่ความหิวของผม ผมจะต้องอยู่กับความรู้สึกพวกนั้นที่โถมทับเข้ามาเหมือนตกอยู่ในนรก?

ความเสียใจ มีเพียงความเสียใจเท่านั้นที่เป็นอารมณ์ของผม นั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะระบุตัวตนผมได้

…….การรับรู้ตัวตนของผมมันช่างบอบบางเหลือเกิน

ผมจะยังคงรักษาความเป็นตัวเองได้นานแค่ไหน ท่ามกลางคลื่นอารมณ์ที่เทมาจากผู้อื่นกัน?

ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเจ็บปวด ทนทรมานจากอาการซึมเศร้าสลับกับแมเนีย  อาการป่วยจอมมารที่ลาพิสเลยบอกก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน

…… ลอร่าพูดถูก ผู้นั้นจะต้องแบกรับภาระทางใจ แต่จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ หากสภาพจิตที่ต้องแบกรับภาระพวกนั้นเกิดพังทลายลงไป?

นั่นคือ สิ่งที่ผมหวาดกลัว

“จะเกิดอะไรขึ้น หากข้าทรมานจนทนไม่ไหว?

ข้าหมายถึง หากข้าไม่สามารถแบกรับภาระได้อีกต่อไป

ไม่สิ จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าต้องเสื่อมทรามลงจนไม่อาจเป็นตัวตนที่เรียกว่า ดันทาเลี่ยนต่อไป……?”

“ท่านยังมีหญิงสาวผู้นี้อยู่”

ลอร่ายืนยันกับผม

“ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งฝ่าบาท ท่านลืมไปแล้วหรือ? ว่าตัวฉันนั้นได้อุทิศทั้งหมดให้แก่ท่านแล้ว

ฉันสาบานแล้วว่าความสำเร็จและล้มเหลวของตัวฉันจักเป็นของฝ่าบาท

ในทางกลับกันก็เช่นกัน ความสำเร็จและล้มเหลวของท่านก็เป็นของฉันด้วย”

น้ำเสียงของเธอนั้นไหลลื่นไม่มีสะดุด ผมยังคงเงียบฟังเธอ

“นายท่านฆ่าคนไปพันคน ฉันก็เป็นผู้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ท่านทำลงไป ดังนั้นความรับผิดชอบในการฆ่านับพันจึงตกอยู่กับฉัน

ประสบการณ์อันเจ็บปวดที่ฝ่าบาทกำลังเผชิญ ฉันก็ได้รับมันด้วยเช่นกัน ตัวฉันนั้นจะแบ่งปันความเจ็บปวดจากท่านด้วยเช่นกัน”

“…….”

“ท่านยังผู้ชายคนที่เป็นเจ้านายของหญิงสาวผู้นี้ ตอนที่ยังเป็นทาสอยู่ได้ไหม?”

จำได้สิ

แจ็ค อแลนด์ เขาเป็นคนโง่แต่ก็เป็นพ่อค้าทาสที่งดงามคนหนึ่ง ผมอยากจะเป็นเพื่อนกับเขานะ แต่ก็ทำไม่ได้

“ในตอนนั้น ฝ่าบาทสามารถฆ่าพ่อค้าทาสคนนั้นได้ และตามปกติแล้ว ท่านก็ควรฆ่าเขาด้วย มันมีความเป็นไปได้สูงมากว่าชีวิตนายท่านจะตกอยู่ในอันตรายหากปล่อยให้เขารอดไปได้

แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็ไม่ฆ่าเขา ตอนที่ฉันถามท่านเรื่องสิ่งที่ท่านตัดสินใจลงไป ท่านบอกฉันว่า : สำหรับท่านแล้ว ชีวิตเป็นอะไรที่ประกอบไปด้วยความบังเอิญ”

ผมจำได้ดี ผมจะลืมมันไปได้อย่างไรกัน?

“ด้วยเหตุผลบางประการ ฝ่าบาทไว้ชีวิตพ่อค้าทาสผู้นั้น ไม่ว่าผลการตัดสินใจนั้นจะกลับมาทำร้ายท่านภายหลังหรือไม่ก็ตาม

ฝ่าบาทคะ ถ้าหากพ่อค้าทาสผู้นั้นกลับมาเพื่อแก้แค้นในอนาคต ท่านจะเสียใจต่อการตัดสินใจครั้งนั้นหรือไม่คะ?”

“……ไม่”

ลอร่าผงกหัวราวกับได้คำตอบตามที่คาดไว้

“ท่านพยายามจะไว้ชีวิตพ่อค้าทาสคนนั้นเพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องการ มันเป็นการตัดสินใจของท่านเอง ฝ่าบาทจึงได้ยอมรับผลที่ตามมาโดยไม่เสียใจ

หญิงสาวผู้นี้ตัดสินใจติดตามนายท่านเพราะหลงไหลในวิถีชีวิตแบบนั้น ฝ่าบาทได้แสดงให้ตัวฉันเห็นสิ่งนั้น

……บุคคลที่ยอมรับได้ทุกอย่างแม้กระทั่งความตายของตนเอง”

เธอยิ้มกว้างออกมา

“หญิงสาวผู้นี้ปรารถนาให้ฝ่าบาทยังคงใช้ชีวิตเช่นนั้นต่อไปจวบจนวาระสุดท้าย”

“……ไม่ยุติธรรมเลยนะ ลอร่า”

ผมแกล้งยักไหล่ให้ดูโอเวอร์ ผมแค่รู้สึกว่า ผมคงทนไม่ไหวหากไม่แหย่เล่นบ้าง

“ลอร่าเอ๋ย เธอเองก็รู้นี่ว่าการรบครั้งนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องรับผิดชอบ ข้าเองนี่แหละเป็นคนเดียวที่คอยกระตุ้นให้เกิดพันธมิตรเสี้ยวจันทราขึ้น ทั้งแนวหน้า กองทัพภาค 6 ทั้งกองกำลังพันธมิตร ทั้งหมดนั้นเป็นผลลัพธ์

…….ถ้าเธอคิดดูให้ดี ทั้งหมดนั่นเกิดจากข้าทั้งนั้น

ลอร่า เธอกำลังถามข้าให้แบกรับภาระทั้งหมดนี้ไว้ จากนี้ชีวิตนับหมื่นจะต้องมลายหายไป นี่เจ้ายังบอกให้ข้าแบกรับน้ำหนักของชีวิตพวกนั้นอยู่อีกหรือ?”

“ถูกต้องแล้วค่ะ”

เธอตอบกลับมาโดยไร้ความลังเล

ไม่ใช่แค่นั้น เธอยังยิ้มที่มุมปากด้วย คนธรรมดาก็คงจะอึดอัดกับการที่ต้องแบกรับภาระของชีวิตคนๆหนึ่ง แต่เธอกลับขอให้ผมรับผิดชอบชีวิตนับหมื่นนับแสน

“ฝ่าบาทนั้นไม่ใช่ราชานักปราชญ์นี่คะ ท่านเป็นจอมมารมิใช่หรือคะ?

ก็ในเมื่อท่านเป็นจอมมาร ท่านก็ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตมากมายเป็นธรรมดา ฝ่าบาทเจ้าคะ ท่านกำลังเดินอยู่บนเส้นทางสายจอมมารค่ะ”

“เส้นทางสายจอมมารนี่……? มันนรกนี่”

ผมหัวเราะออกมาอย่างอ่อนแรง ลอร่าพูดถูกมันเป็นหนทางเดียวในชีวิตที่ผมเลือกได้

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ทำไมลอร่าถึงลากผมออกมาจากเต็นท์ ทั้งที่ผมพึ่งอ้วก แล้วยังพาผมมาดูค่ายในขณะที่อยู่บนหลังม้า เธอกำลังบอกให้ผมเลิกวิ่งหนีได้แล้ว

ท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยซากศพ และควันจำนวนมากจากกองไฟที่ทำอาหารจากศพ ผมถูกนำตัวมาให้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ผมต้องเห็นมันมากกว่าใครๆทั้งนั้น

นั่นคือ สิ่งที่ลอร่ากำลังบอกผมอยู่ เธอยังตั้งใจจะทนเห็นสิ่งนี้ด้วยกัน เธอตั้งใจจะรับภาระทางใจที่ผมแบกอยู่

ผมทนสถานการณ์แบบนี้โดยไม่หัวเราะออกมาไม่ได้หรอก

“ข้ารับใช้ที่โยนเจ้านายลงในนรก ดูเหมือนข้าจะได้ข้ารับใช้ผู้ไม่จงรักภักดีมาแล้วสิเนี่ย

ดีมาก ดีเลย ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะตกลงไปในนรกขุมเดียวกันกับข้าไหม ลอร่า?”

“แน่นอนค่ะ”

เธอตอบรับในทันที ผมรู้ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ตอบมาส่งๆ สำหรับเด็กสาวอายุ 17

มันเป็นฉากการฆ่าล้างที่โหดร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เอาเข้าจริงแล้วเธอมีวุฒิภาวะกว่าผมด้วยซ้ำ

พวกเรากระตุ้นม้าให้ไปข้างหน้าอีกหน่อย เดินไประหว่างศพที่ไหม้ และมอนสเตอร์ที่กำลังกินเนื้อ หากกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราดำเนินการไปตามแผนที่ผมวางไว้

การฆ่าล้างครั้งยิ่งใหญ่อย่างเทียบไม่ได้ก็จะเกิดขึ้นอีก หากผมไม่สามารถทนต่อภาระทางใจในตอนนี้ได้ ก็ไม่มีทางที่ผมจะทนได้ในอนาคต

ผมขี่ม้าช้าลง ลอร่านั้นก็ลดความเร็วลงตาม เพื่อให้ภาพทั้งหลายได้สลักลงไปในสมองและดวงตา เสียงไฟปะทุดังเปรียะและเสียงเคี้ยวเนื้อยังคงค้างอยู่ในหัวหูผมไปอีกสักพัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด