บทที่ 075- สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(1)
บทที่ 075- สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(1)
ปี 1506 ตามปฏิทินจักรวรรดิ ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ
ครบหนึ่งปีแล้วนับตั้งแต่ที่ผมมายังโลกใบนี้ หนึ่งปีที่เหมือนกับเป็นเรื่องตลก ผมไม่เคยตระหนักว่า แนวคิดเรื่องกาลเวลานั้นไหลไปเหมือนน้ำจนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมเองก็ยังคงห่างไกลจากคำว่า ชายแก่ด้วยเช่นกัน
ผมเกือบจะถูกฆ่าจากปาร์ตี้ของริฟ ผมทำเงินก้อนโตได้จากช่วงกาฬโรค ผมช่วยเหลือลอร่า ฆ่าแจ็ค ฆ่าอันโดรมาลิอุส และยังถูกจับตัวไปพิจารณาคดีที่เนฟเฮมก็เพราะเรื่องฆ่าเจ้านั่น และตอนนี้หลังจากที่ผมเชื้อเชิญบาร์บาทอส ผมก็กระจายข่าวลือ และเข้าร่วมสงครามที่จะทำให้โลกมนุษย์ต้องสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
…….ไม่ว่าจะมองมุมไหน นี่แม่งโคตรจะเป็นตารางการทำงานที่แน่นเอี๊ยดในหนึ่งปีเลย จนพวกบ้างานวิ่งหนีด้วยซ้ำถ้ามาเห็นตารางงานแบบนี้เข้า
ผมล่ะสงสัยจริง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมย้อนอดีตกลับไปบอกตัวเองเมื่อปีก่อนถึงอนาคตว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
เฮ้ย เจ้าคนเก็บตัว เอ็งกำลังจะได้ไปสู่โลกใหม่ที่เหมือนกับใน <Dungeon Attack>แถมยังต้องเอาชีวิตรอดในฐานะจอมมารที่อ่อนแอที่สุดด้วยนะ
ผมคงด่าตัวเองเลยล่ะว่า เอ็งมันไอ้บ้า แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้เรื่องบ้าๆที่ว่า มันก็เกิดขึ้นจริง
โอ พระเจ้า ผมเกิดรู้สึกอยากเห็นหน้าแม่ผมขึ้นมาแล้ว…….
ถ้าพูดอีกอย่างก็คือ โลกนี้มันมีดอกซากุระเหมือนกัน พื้นที่ที่หน่วยเราตั้งค่ายนั้นห้อมล้อมไปด้วยดงต้นซากุระมากมาย การที่ได้รับรัศมีสว่างของกลีบดอกซากุระนั้น ต่อให้เป็นออร์คก็ยังดูงดงามได้เลย ใครบางคนเรียกผมขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดระหว่างมองดอกซากุระ
“ฝ่าบาท ผู้พันเซปาร์ กำลังเรียกประชุม”
ลอร่านั่นเอง เธอได้เข้าร่วมกับกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทราในฐานะผู้ช่วยของผม ก็มีเหมือนกันบางคนที่พยายามยั่วโมโหผมเรื่องที่เอามนุษย์มาเป็นผู้ช่วย แต่ผมไม่ได้ใส่ใจพวกเขา ผมชอบคนมีความสามารถ ตราบใดที่มันยังช่วยให้ผมมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ต่อได้ ผมไม่แคร์ทั้งนั้นว่าจะเป็นปีศาจหรือมนุษย์
“ข้า คือ ผู้พันที่มีกำลังพลเพียง 50 นาย เรียกข้าไปตอนนี้มันจะมีความหมายอะไร?”
“ผู้พันเซปาร์ได้เรียกตัว จอมมารทุกตนที่เป็นส่วนหนึ่งของทหารแนวหน้าอย่างน้อยฝ่าบาทก็ควรจะไปแสดงตัวให้เขาเห็น”
ลอร่ายิ้มอย่างมีเลศนัย เธอมองเหมือนกำลังมองเจ้าน้องชายนักก่อเรื่องตัวน้อย
โอ้ แหมที่รัก ดูเหมือนวุฒิภาวะของลอร่าจะสูงกว่าผม ผมจบลงที่การแสดงท่าทางเหมือนอยากจะบ่น
ลำดับ 71 กับวิธีการที่ผมถูกปฏิบัติต่อนี่มันชวนให้น้ำตาจิไหลเสียจริง
ผมอาจเป็นจอมมาร แต่ผมที่มีกำลังทหารแค่ 50 นาย ใต้การบัญชาการ มันยิ่งทำให้แย่ลงไปอีก กำลังพลหลักๆก็เป็นโกเลมกับแฟรี่ระดับต่ำสุด แม้แต่จอมมารคนอื่นก็ยังสงสัยว่า ผมจะมาด้วยทำไม ผมเข้าใจดีถึงความรู้สึกที่พวกเขามีต่อผม แต่ถึงอย่างนั้น ผมไม่คิดจะปล่อยผ่านหรอกหากพวกเขาหาเรื่องชวนทะเลาะ เพียงแต่ผมเป็นพวกประหยัดพลังงานน่ะ
“ข้าต้องขอโทษด้วย จำนวนคนที่ยั่วยุเราเริ่มมากขึ้น…….”
“ถ้าอย่างนั้นเราไม่ทำให้พวกเขาเงียบด้วยการแสดงให้ให้ว่า พวกเรามีความสามารถเพียงใดล่ะคะ?”
ลอร่ามองตรงมาที่ผมด้วยดวงตาสีเขียว
“ฉันเชื่อในตัวฝ่าบาทค่ะ”
แหม ลอร่านี่ช่างเป็นผู้ใหญ่เสียจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นในฐานะมนุษย์เอง เธอก็คงได้รับการดูถูกและคำพูดแย่ๆมากกว่าผมเสียอีก
ผมพยายามที่จะเปลี่ยนหัวข้อเรื่องจะได้ถากถางจอมมารคนอื่น แต่กลับกลายเป็นว่าได้รับกำลังใจแทน
นับตั้งแต่ที่ร่างกายเราเชื่อมต่อกัน ความสัมพันธ์ของผมกับลอร่าก็เสถียรยิ่งขึ้น ผมรู้สึกอายขึ้นมาหน่อยๆ สุดท้ายเลยจบตรงที่หัวเราะตัวเอง
“ถ้าอย่างนั้น ข้าควรไปเสนอหน้าสักหน่อย?”
“ใช่ค่ะ”
ผมได้รับมอบหมายให้เป็นทัพแนวหน้าของ กองทัพภาค 6 ที่นำทัพโดยบาร์บาทอส
บาร์บาทอสนั้นเร่งจัดระเบียบ กองทัพภาค 6 ในทันทีที่พันธมิตรเสี้ยวจันทราได้ก่อตั้ง ทุกคนในฝ่ายที่ราบนั้นต่างร่วมด้วยช่วยกันสร้างโครงสร้างระบบภายใต้คำสั่งของบาร์บาทอส ทั้งสายบัญชาการ คำสั่งการ และหน่วยย่อยอื่นๆ ก็ตั้งขึ้นทันทีเพื่อสร้างให้ครบทุกภาคส่วนของกองทัพ
กองทัพที่จะบุกนำเข้าไปกองแรกคือ กองทัพภาค 6 ไพมอนมองพวกเราเดินทัพกันอย่างไม่พอใจนัก
ฝ่ายที่ราบนั้นเป็นเหมือนรังของไอ้พวกบ้าสงคราม และบาร์บาทอสนั้นก็เป็นหัวหน้าสุดคลั่งของรังที่ว่านั่น
พวกเขาแสดงให้ทุกคนเห็นได้ชัดว่า พวกเขานั้นกำลังเตรียมตัวเพื่อการทำสงคราม ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าในวันที่สั่งให้มีการจัดตั้งพันธมิตรเสี้ยวจันทรา กลุ่มบุคคลที่ร้องตะโกนเชียร์ขึ้นมาในห้องประชุม ทุกคนก็เป็นฝ่ายที่ราบกันทั้งหมดนั่นแหละ
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง ฝ่ายภูเขานั้นเป็นพวกอ้อยอิ่ง เรื่อยๆเฉื่อยๆ จากข่าวที่ผมได้ยินมา พวกเขาไม่แม้แต่จะจัดระเบียบสายบัญชาการด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากจะวิจารณ์พวกเขา เพราะมันจะไปทำร้ายความภาคภูมิใจของไพมอนที่เป็นผู้บังคับบัญชาภาค 1
‘หืมมม นี่พวกกองกำลังภาค 1 ตั้งใจมาชมนกชมไม้กันรึไง?’
คำพูดเปรี้ยงเดียวจอดนั้นเป็นคำพูดของบาร์บาทอสที่พูดใส่หน้าไพมอน บาร์บาทอสถามว่า พวกภาค 1 นั้นตั้งใจที่จะตามตูดกองทัพภาคอื่นที่แผ้วถางทางให้แล้วหรืออย่างไร ใบหน้าของไพมอนก็แดงก่ำขึ้นมา
เธอมองบาร์บาทอสอย่างดุร้าย แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ฝ่ายที่ราบนั้นได้เข้าประจำจุดสำคัญเพื่อพิทักษ์บาเรี่ยล ดังนั้นฝ่ายที่ราบได้ไปอีก 1 แต้ม ในรอบสองนี้ด้วยเช่นกัน
ผมแอบวอนขอให้พวกเขาออกแรงกันบ้าง จะได้คุ้มค่าสำหรับผมและแผนสงครามครั้งยิ่งใหญ่หากพวกเขาพยายามอย่างเต็มที่
“ท่านอยู่นั่นเอง ดันทาเลี่ยน”
ผมเข้ามาในค่ายทหารโดยมีลอร่าติดตามมาด้วย ชายแก่ที่อยู่บนที่นั่งหัวโต๊ะนั้นต้อนรับพวกเรา เขาคือ จอมมารที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น กองทหารแนวหน้าแห่งกองทัพภาค 6 จอมมารลำดับ 16 เซปาร์(Rank 16 Zepar)
“ครับ ท่านเซปาร์ ผมมาที่นี่ตามคำสั่งของท่าน”
“อื้ม เอาเถอะ รอที่นี่สบายๆก็แล้วกัน”
เซปาร์นั้นดูจะพึงพอใจกับการที่ผมแสดงระเบียบทางการทหารและผงกหัวตอบรับ
เขานั้นมีหนวดที่ยอดเยี่ยม แถมยังดูดีในช่วงวัยด้วย เพียงแต่ออกจะขาดสีสันไปหน่อยเพราะเป็นคนพูดน้อยประหยัดถ้อยคำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ให้ภาพน่าประทับใจในฐานะนายพลทหารผ่านศึก
‘แม้จะดูอย่างนั้น แต่ความจริงเขาอ่อนวัยกว่าบาร์บาทอส’
คุณไม่สามารถตัดสินอายุของจอมมารได้จากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว ผมนั่งเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ในขณะที่ลอร่ายืนข้างหลังผม พวกเรามาถึงที่นี่ก่อนจึงไม่มีใครอื่นนอกจากเซปาร์ ผู้ช่วยของเขา ตัวผมและลอร่า
“โทษที ข้ามาสาย”
“ท่านเรียกข้า เหรอ ท่านเซปาร์?”
“ข้าเรียกท่านมาเองนั่นแหละ”
เวลาผ่านไป จอมมารก็มากันทีละคน ทีละคน บางคนก็แสดงความเคารพแบบทหารในขณะที่บางคนก็ไม่ทำ
พวกที่ทำก็เป็นจอมมารที่เคยเข้าร่วมรบในสงครามพันธมิตรครั้งก่อนหน้า ผมโอเคที่จะเรียกพวกเขาว่า ทหารเจนศึก แต่พวกหลังก็เป็นพวกจอมมารหน้าใหม่ที่พึ่งมาเข้าร่วมกองพันธมิตรเสี้ยวจันทราเป็นครั้งแรก
เจ้าพวกเด็กใหม่นั่นบ่นว่า มนุษย์นั้นทั้งขี้ขลาดและอ่อนหัดเสียเหลือเกิน เผลอๆมนุษย์อาจจะวิ่งหนีไปตั้งแต่ที่พวกเราแสดงความยิ่งใหญ่ของกองทัพพันธมิตรแล้วด้วยซ้ำ
ช่างเขลาอะไรเช่นนี้! พวกเขาต่างหากที่อ่อนหัด หากมนุษย์นั้นขี้ขลาดจริงแล้วล่ะก็ กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราไม่มีทางที่จะล้มเหลวมาถึง 7 ครั้งจนถึงตอนนี้หรอก
พวกหน้าใหม่ล้มเหลวที่จะประเมินว่า กองกำลังของพวกเรานั้นน่าสังเวชขนาดไหน และกองกำลังของมนุษย์นั้นน่ากลัวแค่ไหน
“……หืมม”
ผมมองไปที่เซปาร์และพบว่า เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก ผู้คนส่วนใหญ่กลับไม่สังเกตเห็น แต่คิ้วขวาของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย ผมบอกได้เลยว่า ตัวเขานั้นที่เคยเข้าร่วมทั้งสงครามครั้งที่ 4 และต่อเนื่องมาจนถึงครั้งที่ 7 เขาคงจะรู้ดีถึงกระบวนการบางอย่างที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของทัพจอมมาร
ทัศนคติตอนนี้ของพวกจอมมารหน้าใหม่เป็นสาเหตุของความพ่ายแพ้ครั้งก่อนๆ เซปาร์คงไม่สบายใจเพราะพวกเขาอยู่แน่
……. เซปาร์คงต้องเป็นคนที่มีศักยภาพมากพอที่บาร์บาทอสมอบหมายให้เป็นหัวหน้าของทัพหน้า ผมจะลองพึ่งพาเขาดูดีไหมนะ?
“ถึงอย่างนั้น ท่านก็มีผู้ช่วยที่น่าสนใจเหลือเกิน ท่านดันทาเลี่ยน”
แหม ผมนี่เอง หัวธนูมันแล่นมุ่งมาหาผม หนึ่งในเจ้าเด็กใหม่กำลังมองผมด้วยยิ้มชั่วร้าย คือ จอมมารลำดับ 58 ท่านอามิอิ( Rank 58 Demon Lord Amii) แล้วทุกคนก็หันมามองผม นี่พวกแกไม่มีอะไรจะคุยกันแล้วรึยังไง? ถึงได้ตัดสินใจพุ่งเป้ามาที่ผมเนี่ย
“เอาพวกมนุษย์มาเป็นผู้ช่วยนี่ ช่างไม่สูงส่งเอาเสียเลย”
“ความสูงส่งเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาเอง ถูกไหม? ข้าเชื่อในความสามารถผู้ช่วยของข้า”
“ข้าล่ะสงสัยจังว่า ความสามารถอะไรกันนะ ถ้ามันเกี่ยวกับความงดงาม เธอคงจะพิเศษน่าดูเชียวล่ะ”
เจ้าหน้าใหม่หัวเราะราวกับเจอเรื่องตลก เขาพูดเป็นนัยๆว่า ผมพาลอร่ามาเพื่อแก้เงี่ยนหลังจากที่เห็นรูปลักษณ์ของเธอแล้ว
เฮ่อ รับมือเจ้าพวกโง่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแฮะ ดูเหมือนผมต้องสอนมารยาททางสังคมสักหน่อยแล้ว
“แต่อย่างน้อยเธอก็มีประโยชน์มากกว่าผู้ช่วยของท่านก็แล้วกัน”
“……กำลังจะหยามข้าอยู่รึไง?”
“ปัดตกเรื่องนั้นทิ้งไปได้เลย เพราะจากที่ข้าได้ฟังมา ท่านอามิอิ ผู้ช่วยของท่านน่ะไว้ใจถึงขนาดที่เอางานเอกสารทั้งหมดของตัวเองมาให้ผู้ช่วยข้าทำ ข้าก็ดีใจเหลือเกินนะที่ท่านเชื่อใจในผู้ช่วยของข้าขนาดนั้น แต่ข้าก็เป็นห่วงว่า ผู้ช่วยของท่านทำแบบนั้นเพราะไม่มั่นใจในฝีมือการทำงานเอกสาร”
สีหน้าของอามิอิบิดเบี้ยว สิ่งที่ผมพูดไปนั้นเป็นความจริง มันมีการกลั่นแกล้งกันระหว่างเหล่าผู้ช่วยของจอมมารด้วยการโยนงานไปให้ลอร่า ผมเดาว่า พวกเขาคงอยากเห็นนั่นแหละว่า มนุษย์ดาดๆคนหนึ่งนั้นจะสามารถรับงานของกองทัพจอมมารได้ยังไง
แม้จะไม่มองที่เจตนาก็ตาม แต่การทิ้งงานตัวเองให้หน่วยอื่นที่มีลำดับเท่ากันนั้นค่อนข้างจะน่าประทับใจเลยล่ะ
แล้วพวกเขาจะทำยังไงหากผมมีเจตนาชั่วร้ายแล้วไปแอบวุ่นวายกับสมุดบัญชีของพวกเขาล่ะ?
ผู้พันเซปาร์ต้องคิดแบบเดียวกันนี้แหละถึงได้ขมวดคิ้ว
“อามิอิ ที่เขาพูดนั้นจริงไหม?”
“……ข้าขออภัยด้วย แต่ข้าไม่เคยทำอย่างนั้น ท่านดันทาเลี่ยน! เลิกกล่าวหาผู้อื่นโดยไม่มีมูลต่อหน้าคนอื่นได้แล้ว!”
กล่าวหารึ หึ? ผมหัวเราะขึ้น
“ดูเหมือนเสบียงหน่วยของท่าน อามิอินั้นจะมีมากกว่าหน่วยอื่นถึง 20% แถมที่เพิ่มมาก็เป็นเหล้าเสียด้วย นี่ท่านพร้อมจะรื่นเริงสุดเหวี่ยงก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำอย่างนั้นหรือ? ข้าอิจฉาความมั่นใจของท่านซะจริง”
“ไอ้ระยำเอ๊ย!”
อามิอิลึกขึ้นพร้อมใบหน้าที่แดงจัด
“กล้าดียังไงมาทำให้ข้าขายหน้า ทั้งที่แกเป็นแค่จอมมาร ห้าสิบ แท้ๆ!”
เปล่าเลย ผมพูดจริงนะ ตอนที่บอกว่า ผมอิจฉาน่ะ ต่อให้ในหัวผมเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ ผมก็ไม่คิดว่า ตัวเองจะสามารถเมามายด้วยเหล้ายาในตอนที่เรากำลังจะเข้าสู่สมรภูมิรบในเร็วๆนี้ได้
จะดีแค่ไหนกันนะ หากผมมีชีวิตอยู่ด้วยสภาพจิตใจได้แบบเขาเนี่ย? ช่วยถ่ายทอดความแข็งแกร่งทางใจมาให้ผมบ้างเถอะ
ส่วนจอมมารห้าสิบ เป็นชื่อเล่นของผมน่ะ ให้สมญานามนี้กับผมตอนที่ผมเข้าร่วมกับ กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราด้วยกำลังพลที่ไม่เกิน 50 นาย มันเป็นความหมายในทางลบน่ะ ห้าสิบ คือ ครึ่งหนึ่งของร้อย
ดังนั้น ‘จอมมารห้าสิบ’ ก็คือ การเรียก จอมมารที่ครึ่งๆกลางๆไม่เต็มบาท ผมเองก็มักถูกเรียกด้วยชื่อ จอมมารห้าสิบมากกว่าชื่อด้วยซ้ำ เอาจริงนะ พวกจอมมารเนี่ยชื่นชอบการหาเรื่องชาวบ้านไปทั่วจริงๆ
พอบรรยากาศเริ่มรุนแรงขึ้น เซปาร์จึงออกมาเตือน
“หยุดพฤติกรรมน่าอายซะ”
เขายังคงเกรงกลัวลำดับ 16 อิมิอิที่ไม่อาจซ่อนความรำคาญใจได้ก็นั่งลงทั้งอย่างนั้น
ว่ากันตามตรงนะ เขาน่ารักดีเมื่อเทียบกับบาร์บาทอส ดูเหมือนผมหายห่วงเรื่องที่จะมีช่วงเวลาน่าเบื่อแล้วล่ะ ต้องขอบคุณเจ้าหมอนี่จริงๆ
เมื่อจอมมารคนสุดท้ายมาถึง ก็ส่ายหัวด้วยความงุนงงกับบรรยากาศตึงเครียด เขามองเหมือนอยากจะถามว่า เกิดอะไรขึ้น แต่เซปาร์ไม่ให้โอกาสในการทำแบบนั้น และเริ่มการประชุมทันทึ
“นับเป็นโชคดีที่ ทัพภาค 6 เป็นหน่วยแรกที่จะบุกเข้าไป พวกเราที่เป็นทัพหน้าของทัพภาค 6 ดังนั้นพวกเราจึงเป็นหัวหอกสำคัญของพันธมิตรชัยชนะหรือพ่ายแพ้ จะเป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์จารึกลงไปเกี่ยวกับพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 8 นี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากที่จะได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาพร้อมกับพวกท่านทุกคน”
เสียงปรบมือนั้นลั่นทั่วทั้งค่าย วลีที่พูดว่า ‘สร้างประวัติศาสตร์’ ทำให้จอมมารหลายคนตื่นเต้น
เซปาร์ยกมือขวาขึ้นอย่างเคร่งขรึม เสียงปรบมือหยุดลง
“พวกท่านเข้าใจหรือไม่ ? ความผิดพลาดใดที่เกิดขึ้นจากเรา ไม่ใช่เป็นความผิดพลาดของเราเพียงกลุ่มเดียว หากแต่เป็นของทั้งกองทัพภาคที่ 6 ไม่ใช่สิ เป็นของทั้งพันธมิตรเสี้ยวจันทรา
ที่นี่ ณ ที่แห่งนี้ พวกเราเป็นตัวแทนของกองทัพพันธมิตร! เหล่าแนวหน้าของกองทัพภาค 6 จะต้องทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว
ข้าไม่ให้อภัยกับการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใด”
ก็อย่างที่คิดแหละ เขาหวดแส้หลังเจอยื่นแครอทให้*
เซปาร์อาจเป็นผู้พัน แต่ทุกคนต่างก็เป็นจอมมารและเป็นราชา มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากพวกเขาจะเมินเฉยต่อคำสั่งผู้มีอำนาจแล้วบุกไปอาละวาดด้วยตัวเอง กองทหารที่ไม่มีสายบัญชาการนั้นเป็นสิ่งที่กลัวเกินกว่าจะจินตนาการออกมา
เซปาร์นั้นตั้งใจจะใช้โอกาสที่ได้มานี้เพิ่มพูนอำนาจของตนเอง ถ้าพวกเราล้มเหลวก็จะถูกจอมมารอื่นล้อเลียนไม่มีที่สิ้นสุดดังนั้น จงฟังคำสั่งของเขาซะ นั่นคือ สิ่งที่เขาอยากจะบอก
ถ้าหากจอมมารตนอื่นที่อยู่ที่นี่เข้าใจสิ่งนี้ นับแต่นี้พวกเขาก็จะรู้จักระวังเนื้อระวังตัว
แต่ปัญหาก็คือ ……เจ้าพวกโง่นั่นมันไม่เข้าใจน่ะสิ
“โอ้ย อย่าห่วง อย่าห่วงเลย! เจ้ามนุษย์พวกนั้นแค่ได้ยินเสียงลมหายใจของออเก้อ ก็ตัวสั่นแล้ว! ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยด้วยซ้ำ!”
อามิอิอ้างว่าอย่างนั้น พอเขาพูดอย่างนั้นขึ้นมา ก็มีจอมมารสองตนเห็นด้วย เขาพยายามจะบอกว่า มนุษยชาตินั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอะไรเลย จอมมารทั้งหมด 6 คนที่มาประชุมกันตอนนี้ มี 3 คน ตีตั๋วตกรถไปเสียแล้ว
ใช้การไม่ได้ไปซะครึ่งนึง……ผมเริ่มรู้สึกปวดหัวตุบๆขึ้นมา พวกเราจะอดทนในสงครามนี้ได้ไหม?
พันธมิตรไร้ความสามารถนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าศัตรูที่เก่งฉกาจเสียอีก
ผมไม่อยากเป็นประจักษ์พยานของคำพูดนั้นเอาเสียเลย…….
—--
*ลงแส้ ให้แครอท หมายถึง การสร้างแรงจูงใจสองทาง คือ ทั้งทางบวกอย่างให้รางวัล(แครอท) และแรงจูงใจทางลบ(ลงแส้) เชื่อว่า ที่มาสำนวนนี้มาจากการดูแลลา/ล่อ