บทที่ 072 - การเตะถ่วงในสภาสูง(2)
บทที่ 072 - การเตะถ่วงในสภาสูง(2)
การประชุมจบลง
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ อลิซาเบธปล่อยผมแล้วเดินกลับสำนักงาน เธอแทบจะทิ้งตัวลงกองกับพื้น
“ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
“ดะ-ได้โปรดสงบลงด้วย องค์หญิง”
“ให้ข้าสงบงั้นเหรอ? แล้วข้าดูเหมือนจะสงบลงได้ไหมเล่า? ความโรแมนติกทางเพศ? ไอ้พวกห่าพันธุ์ทางเอ๊ย ถ้าข้าเคี้ยวพวกมันได้ ข้าก็ยินดีจะกลายเป็นเป็นพวกกินมนุษย์เลยล่ะ”
(TTL : ดร.ฮันนาบาล เล็กเตอร์ ถูกใจสิ่งนี้!)
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิทนเก็บความโกรธไม่ไหวจึงต่อยกำแพงระบายออกมา
ปัง!
จุดที่เธอต่อยลงไปเกิดรูขึ้น
เมื่อเธอกลายเป็นนักดาบผู้สามารถควบคุมออร่าได้ดังใจ กำแพงก็ไม่สามารถทนต่อพละกำลังมหาศาลได้อีก
ชาร์ล ผู้เป็นอัศวินหลับตาลงด้วยความสั่นสะท้าน หากเธออาละวาดขึ้นมา ต่อให้จักรพรรดิจะมาเองก็คงไม่สามารถหยุดเธอได้แน่
“ผู้คนของจักรวรรดิเรายังคงล้มตายไปมากมายต่อเนื่องเพราะกาฬโรค! การเงินของเราก็ชิบหายวายป่วงในขณะที่พวกมันยังคงจัดงานเลี้ยงฉลองกัน ส่วนทางการทหารของเราก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำงานตามหน้าที่ได้อย่างดี แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้พวกหมาโง่นั่น”
“กรุณาอย่าให้คำน่ารังเกียจเช่นนั้นออกจากปากอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์หญิงเลยครับ…….”
“ไอ้ลูกกะหรี่นั่นมันรวมหัวกันวันนี้แล้วแกล้งทำเป็นทะเลาะเตะถ่วง! พวกมันไม่ทำห่าอะไรกันเลย! พวกมันยกหน้าที่บริหารจัดการให้กับตัวแทนในดินแดนของพวกมันแล้วมานั่งเล่นนั่งเสเพลกันอยู่ในวังแห่งนี้!”
องค์หญิงโกรธจนควันออกหู
“จักรวรรดินั้นมันหมดหวังแล้วล่ะ แทบไม่ต่างจากท่อระบายน้ำด้วยซ้ำ”
“อะ-องค์หญิงครับ”
อัศวินข้างกายมีเหงื่อไหลซึมออกมา
ไม่ใช่แค่ผู้คนในจักรวรรดิเท่านั้นที่เห็นสัญญาณของอนาคตที่เสื่อมถอยลงของจักรวรรดิฮัมบวร์ก คนทั้งทวีปต่างก็ล่วงรู้เรื่องนี้ดี แต่ถึงอย่างนั้น ที่นี่มันคือ วังหลวง หัวใจของจักรวรรดิ
ใครจะไปล่วงรู้กันได้เล่า จะถูกข้อหาอะไรหากพูดจาใส่ร้ายประเทศชาติ เจ้าหญิงยังคงตะโกนด่าต่อไปแม้อัศวินข้างๆจะพยายามให้เธอสงบลง
“พวกมันคงคิดว่า การมีอยู่ของข้านั้นน่ารังเกียจสินะ!?”
เธอรู้เรื่องนั้นดี ชนชั้นสูงทั้งหลายนั้นไร้น้ำยา แต่ก็กลับมีเล่ห์เหลี่ยมเหลือร้ายทันทีกับเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ตนเอง เหตุผลเดียวที่พวกมันคงพูดคุยเรื่องไร้แก่นสารอย่างรสนิยมทางเพศนั้นก็เพราะพวกเขาอยากขับไล่เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิออกไป
นานมากแล้วนับแต่ครั้งสุดท้ายที่เจ้าชายลำดับหนึ่งและลำดับสองเลิกเข้าร่วมการประชุมสภาสูง พวกเขาเอาแต่วนเล่นไล่จับกับสาวใช้ด้วยมือทั้งสองข้าง เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นได้เข้าร่วมสภาแทนพวกเขาทั้งสอง ฝั่งชนชั้นสูงที่เข้าร่วมทั้งฝ่ายเจ้าชายลำดับหนึ่งและสองต่างอึดอัดใจกับเรื่องนี้
พวกเขากลัวว่า วาระการประชุมนั้นอาจเป็นประโยชน์เอื้อให้กับฝ่ายเจ้าหญิงหากเขาทำผิดพลาดแม้แต่เพียงนิดเดียว
นั่นคือ สาเหตุที่ว่าทำไมถึงพยายามลากประเด็นลามกและเกี่ยวข้องกับการร่วมสายเลือด เพราะพวกเขารู้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นความน่าอับอายของหญิงสาวผู้ทรงคุณธรรม
เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่า ผลกระทบทางการเมืองจะเป็นอย่างไร
หากข่าวที่ว่า “ดูเหมือนเจ้าหญิงจะสนใจเรื่องรักร่วมเพศและการร่วมรักในสายเลือด”นั้นได้แพร่ออกไป…….
เจ้าหญิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรออยู่อย่างเงียบๆจนกระทั่งจบวาระนั้นลง
เหล่าชนชั้นสูงต่างต่อต้านอลิซาเบธ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ อย่างลับๆ
⎯ พวกเรานั้นไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรีอยู่แล้วต่อให้ทำตัวเหมือนคนโง่เง่าก็ตามที
⎯แต่ถึงอย่างนั้น แล้วองค์หญิงเองล่ะ ท่านน่ะมีสิ่งที่ไม่อยากเสียไปอยู่ใช่ไหม?
⎯ ที่แห่งนี้น่ะเป็นห้องที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าร่วมได้ ออกไปแต่โดยดีเพื่อถนอมหูอันมีค่าของท่านไว้เถอะ แล้วมติการประชุมระดับชาติพวกเราจะจัดการกันเอง
พวกเขาพยายามผลักไสเจ้าหญิงออกอย่างสุภาพ แม้แต่ฝ่ายเจ้าหญิงด้วยกันเองก็ยังเห็นด้วยกับพวกเขา โดยอ้างว่า เธอควรจะปล่อยให้พวกเขาที่เป็นลูกน้องจัดการกันเองอย่างสบายใจ
แต่มีหรือที่เจ้าหญิงจะไม่ตระหนักถึงเจตนาที่แท้จริงของพวกเขา? พวกเขานั้นก็แค่ไม่ต้องการให้อำนาจการตัดสินใจของตนถูกขัด
สุดท้ายแล้วเวลาก็ผ่านไป และการประชุมก็ลงมติว่า ขอเลื่อนวาระไปก่อน เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต่างแยกย้ายไปโดยไม่มีการผ่านร่างใดๆทั้งนั้น แต่ไม่จบเพียงเท่านั้น
ไม่ถึงชั่วโมงหลังการประชุมจบลงก็มีข่าวแพร่กระจายไปว่า มีชนชั้นสูงสองคนถูกเจ้าหญิงสั่งลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม ข่าวนั้นแพร่ไปไกลจนถึงสาวใช้
เจ้าหญิงตระหนักชัดแล้วว่า พวกกลุ่มผลประโยชน์นั่นทำตัวไร้ศักดิ์ศรีและน่าเบื่อหน่ายเพียงไร
“โอ้ ที่รัก แรงสะเทือนจากลูกเตะขององค์หญิงไปไกลถึงอีกฝั่งของวังเลย”
ประตูเปิดออกและมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในสำนักงาน เขาแสดงรอยยิ้มอันสดใสอบู่บนใบหน้า เขานั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกของฝ่ายเจ้าหญิงแห่งจักรววรดิและดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมการต่างประเทศ
เจ้าหญิงมองชายตรงหน้าก่อนถอนใจออกมาดังๆ
“เซอร์ ไฮเดลเบิร์ก(Sir Heidelburg) ข้าทำอย่างนั้นเพื่อให้พวกเขารู้ทั่วกันนั่นแหละ”
“แต่ชนชั้นสูงเหล่านั้นก็ไม่ได้ใยดี องค์หญิงเองก็เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วกันว่า เป็นบุคคลที่ดื้อดึงที่สุดในทวีป”
“ข้ากำลังโมโหน่ะ”
เธอเอนกายลงกับโซฟาสุดหรู ความโกรธของเธอสุดท้ายก็ทุเลาลงหลังได้ระบายออกมาบ้าง ในตอนนี้เธอคำรามออกมา
“ข้าน่ะ อายุแค่ 16 ปี เท่านั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนจะมีผมหงอกก่อนวัยอันควร
……. พนันกันไหมว่า ถ้าข้าไม่ตายห่าไปก่อน ข้าก็คงจะป่วยเป็นโรคประสาทอันเนื่องจากเก็บกดความโกรธและความเครียดไว้มากเกินไป และจะเห็นผลกันใน 10ปีนี้นี่แหละ”
“เส้นผมขององค์หญิงไม่ใช่สีเงินหรอกหรือ? ไม่มีใครสังเกตเห็นหรอกขอรับ หากผมของท่าจะเริ่มกลายเป็นเทา”
“นี่พยายามจะพูดตลกให้ข้าขำตอนนี้สินะ?”
มุมปากของเจ้าหญิงบิดเบี้ยว เจ้ากรมการต่างประเทศหัวเราะออกมา
จากนั้นก็หุบยิ้มแล้วทำหน้าจริงจังในทันที
“ผู้ส่งข่าวมาถึงแล้ว กองกำลังพันธมิตรบริททานี่-บัทตาเวีย(Brittany-Batavia)
บุกเข้าปราบปรามปราสาทจอมมารลำดับ 48 โครเค่ลแล้ว
พวกเขานำทัพราว 3,000 นา รวมถึงฝ่ายพันธมิตร แล้วก็บอกด้วยว่า ในปราสาทจอมมารมีทรัพย์สินมีค่ามากมาย แจกเป็นรายหัวก็ตกหัวละ 10 โกลด์ ดังนั้นสิ่งที่ได้ยินมามันไม่ได้เกินความจริงเลย”
สีหน้าของเจ้าหญิงนั้นกลายเป็นตึงเคร่งในทันที
“นี่นายคิดที่จะระบายความแค้นใจของคนในชาติลงกับจอมมารรึ? นี่ออกจะน่ารังเกียจเกินไปหน่อย”
“เรื่องที่หนึ่งในจอมมารนั้นเป็นผู้แพร่กระจายกาฬโรคออกไป อาจจะเป็นความด้วยซ้ำ เหล่าราชวงศ์จึงต้องการจะจัดการพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าโทษพวกราชวงศ์เลย……. ผมต้องขออภัยนะ องค์หญิง พวกเราไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก”
“แล้วเหล่าทหารระดับสูงของพวกเราว่ายังไงบ้าง?”
“พวกเขาบอกว่า พร้อมจะปฏิบัติตามรับสั่งทันทีที่องค์หญิงบัญชา”
เจ้าหญิงกลับถอนใจ
“เซอร์ ไฮเดลเบิร์ก”
“ครับ องค์หญิง”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าชาติอันเน่าเฟะของเรานี้มันดำรงอยู่ได้อย่างไร?”
ึคิ้วของเจ้ากรมการต่างประเทศกลับขมวดขึ้น ก่อนจะพูดออกมาโดยไม่ลังเล
“เพราะการกระทำอันเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมขององค์จักรพรรดิและเพราะพวกเราได้รับการอวยพรจากพระเจ้า…….”
“เลิกพ่นคำสรรเสริญเหม็นๆออกมาได้แล้ว มันมีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละ เพราะการทหารของเรานั้นทรงประสิทธิภาพอย่างมาก”
เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธนั้นเดินตรงไปคว้าเอาขวดไวน์ที่อยู่บนโต๊ะมาดื่ม มันเป็นพฤติกรรมที่ราชนุกูลไม่ควรแสดงให้ใครเห็น แต่ทั้งไฮเดลเบิร์ก เจ้ากรมการต่างประเทศและ ชาร์ล อัศวินองค์รักษ์ ไม่อาจพูดคำใดเพื่อหยุดเธอได้ เธอดื่มไวน์ครึ่งขวดทีเหลือหมดในทันใด
“ฮ่าาาช์ ความโกรธแค้นที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในประเทศนี้ ทั้งความยากแค้นจากการเก็บเกี่ยว เศรษฐกิจที่พังทลาย ปัญหาการเมืองภายใน รวมถึงโรคระบาดใหญ่ในปีนี้อีก
แม้ทุกอย่างมันจะสั่งสม แต่จักรวรรดิฮับบวร์กอันยิ่งใหญ่ก็ยังยกทัพไปบุกที่ไหนสักแห่งอยู่ดี แล้วพวกเราก็ได้ชัยชนะมา คนของเราก็ดื่มเมากับชัยชนะพวกนั้น แต่ก็ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพื่อหลงลืมความเจ็บปวดจากความเป็นจริง
……. ความเป็นจริงที่ว่า พวกเราปกปิดความล้มเหลวระดับชาติด้วยความสำเร็จทางการทหาร
อาจจะต้องขอบคุณโชคดีที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ที่เหล่านายพลทั้งหลายผู้ยิ่งใหญ่ต่างมาเกิดในจักรวรรดิฮับบวร์ก ในช่วงเวลานับร้อยปี จำนวนสงครามที่อาณาจักรฮับบวร์กพ่ายแพ้นั้นนับได้ด้วยมือข้างเดียว แถมยังไม่ใช่การแพ้ครั้งใหญ่เสียด้วย ผู้คนต่างภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งของจักรวรรดิและปลอบใจตัวเองเสมอว่า แม้นชีวิตจะยากแค้นแต่ก็ยังดีกว่าประเทศอื่น
มันเป็นระบบที่เน่าเฟะเละเทะเกินไป ชนชั้นสูงในวังต่างเชื่อว่า การทหารจะจัดการทุกอย่างแทนพวกเขาได้
สามัญชนก็เชื่ออย่างนั้นด้วย แทนที่จะพยายามแก้ปัญหาบางอย่างทางการเมือง แต่พวกเขาก็เลือกที่จะสั่งสมกองกำลังเพิ่มขึ้น
…….พอกลายเป็นกองทหารของพวกเราแล้ว จักรวรรดิก็ไม่ได้สนใจจะแยกอีกแล้วว่า เป็นขุนนางหรือสามัญชน”
“กองกำลังของพวกเรานั้นได้รับพรอันยิ่งใหญ่”
“เรื่องนั้น ข้ารู้ดี!”
เธอทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ
“แต่ในทางกลับกัน ความสามารถทั้งหลายก็เริ่มห่างหายไปจากจักรวรรดิ แม้แต่หัวหน้าผู้ติดตามเองก็ไม่ยอมทำอะไรเพียงเพราะเชื่อว่า สามารถปกปิดความด้อยความสามารถของตนด้วยสงครามได้!?
มันเกิดมาอย่างนั้นซ้ำๆตลอด ไม่มีใครเอะใจฉุกคิด พวกเขาต่างแนะนำให้ ปลดปล่อยความโกรธแค้นชิงชังเรื่องกาฬโรคไปสู่สงครามกับจอมมาร!”
“องค์หญิงครับ”
“มันเกิดอะไรขึ้นกับความรับผิดชอบต่อการที่ไม่สามารถจัดการกักกันโรคะบาดได้ทันท่วงทีล่ะ?
มันเกิดอะไรขึ้นกับการที่กระจายสมุนไพรดำได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการล่ะ……?
ข้าเบื่อเรื่องพวกนี้เต็มทนแล้ว พวกมันไม่มี พวกมันไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย”
ความเงียบครอบงำบรรยากาศในห้อง เจ้ากรมและอัศวินก็ยังไม่พูดอะไรออกมา ตอนนั้นเองที่เจ้าหญิงตระหนักได้ว่า ถึงระบายโทสะออกมาก็เปล่าประโยชน์ เธอจึงเอ่ยปากขอโทษขึ้น
“ข้าขอโทษ ข้าให้เจ้าทั้งสองเห็นสิ่งที่ไม่สมควรแล้ว”
“อย่าใส่ใจเรื่องนั้นเลยองค์หญิง พวกเรารู้ดีว่าพระองค์นั้นเป็นห่วงความปลอดภัยของประเทศชาติมากยิ่งกว่าใครทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม พวกเราปรารถนาว่า องค์หญิงจะเห็นด้วยและเข้าร่วมในการกวาดล้างปราสาทจอมมารด้วยเช่นกัน”
เจ้ากรมการต่างประเทศพูดขึ้นมาด้วยเสียงเริงร่า
“ข้าเคยได้เล็งปราสาทจอมมารที่เหมาะๆไว้แล้ว ว่าแต่องค์หญิง เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับบริษัทเคียนคุสก้าไหมครับ?”
“บริษัทเคียนคุสก้า?”
เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิจมอยู่ในห้วงนึก แม้เธอจะรู้จักกับกลุ่มพ่อค้าเกือบ 300 กลุ่มแต่ ชื่อบริษัทเคียนคุสก้านั้นเธอไม่รู้จักเลย จึงส่ายหัวแทนคำตอบ
“เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินชื่อของมัน”
“มันเป็นบริษัทที่มีน้อยคนนักที่จะรู้จัก นั่นเป็นเพราะพวกเขาทำงานอยู่ในโลกปีศาจ พวกเขาสามารถจัดหาสิ่งของที่มนุษย์ต้องการมาอยู่ในมือได้ แต่ก็มีแค่พวกชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถใช้บริการกับพวกเขา”
“อ้อ อย่างนี้เอง”
ความอ่อนล้าในดวงตาของเจ้าหญิงพลันหายไปในทันใด กลุ่มพ่อค้าที่ทำงานอยุ่ในโลกปีศาจนั้นเป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก เจ้ากรมเห็นว่าอารมณ์ขององค์หญิงดีขึ้น
เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงสดใสและเป็นกันเอง แล้วก็บอกเล่าให้เธอฟังเรื่องความรู้ที่กว้างขวางเกี่ยวกับโลกปีศาจ
ขุนนางที่ผงาดขึ้นในช่วงวัยยี่สิบปี ชายหนุ่มที่มีทั้งพรสวรรค์และแรงปรารถนา เมื่อเขาตระหนักได้ว่าอนาคตจักรวรรดินั้นอยู่กับเจ้าหญิง เธอก็สาบานตนจงรักภักดีกับเธอ
เธอมีนิสัยที่จะเปลี่ยนการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียงเพื่อให้เจ้านายของตนมีความสุข เจ้าหญิงรู้อย่างนั้นจึงผ่อนคลายลง
‘ในโชคร้ายยังมีโชคดีอยู่บ้าง ยังมีบุคคลมีความสามารถในหมู่ชนชั้นสูงหนุ่มสาว’
แม้หัวหน้าผู้ติดตามจะเป็นผู้คุมจักรวรรดิด้วยความละโมบโลภมาก;แต่ถึงอย่างนั้นผู้สืบทอดของพวกเขากลับแตกต่างออกไป ไม่เพียงแต่มีเกียรติจนไม่น่าเชื่อว่า มีสายเลือดเดียวกันแล้ว ยังมีพรสวรรค์ผิดกันอีกด้วย
หลังจากนี้ไปอีกทศวรรษ(10ปี) พวกเขาจะได้รับฉายาชนชั้นสูงต่อจากพ่อ แล้วจักรวรรดิก็จะพลิกโฉมใหม่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง…….”
‘สิ่งที่จักวรรดิต้องการคือเวลา10ปี’
รอยยิ้มของเจ้าหญิงได้กลับคืนมา เธอได้อดทนผ่านวันและเวลาด้วยความหวังถึงในอนาคต
เธอหัวเราะคิกกับทักษะการพูดของเขา และจู่ๆเธอก็เกิดคำถามขึ้นมา
‘……เจ้าคนห่วยพวกนั้นมีบุตรหลายที่เปี่ยมด้วยความสามารถอย่างนี้ได้อย่างไรกันนะ?’
เธอไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองเธอก็เลิกสนใจมัน
แม้แต่ตัวเธอเองก็เป็นบุตรีของจักรพรรดิผู้บ้าตัณหา ดูเหมือนว่าคำกล่าวอ้างที่บอกว่า ลูกเหมือนพ่อแม่นั้นเป็นดั่งคำโกหก
ช่องว่างของรุ่นปัจจุบันที่ไร้ความสามารถและ รุ่นต่อไปที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยม ราวกับมีใครบางคนตั้งใจทำให้คนทั้งสองรุ่นแยกออกจากกัน
‘ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกน่า’
เธอตำหนิตนเองที่คิดอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไรเสีย มันก็ยังมีหวังอยู่
ในเวลาเพียง 10 ปี การไร้ความรับผิดชอบ,ความละโมบ,ความไร้ความสามารถในปัจจุบันที่ปกคลุมทั้งจักรวรรดิอยู่จะมลายหายไป
การปกปิดความชั่วช้าทางการเมืองด้วยสงคราม⎯⎯นั้นเป็นการแก้ปัญหาเพียงลวกๆ มันจะจบลงอย่างง่ายดายในอีก 10ปีนี้
“มีข้อมูลลับที่ผมได้รับมาจากบริษัทเคียนคุสก้าครับ ปราสาทจอมมาร ลำดับ 68 เบเลี่ยลนั้นมีทองอยู่ในปริมาณมาก”
“ลำดับ 68 รึ ? อันดับมันไม่ต่ำไปหน่อยหรืออย่างไร? อันที่จริงแล้วยิ่งอันดับสูงเท่าไหร่ สินค้าที่ให้ปล้นในปราสาทจอมมารก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น”
“ข้าก็เป็นห่วงเรื่องนั้น แต่คนจากบริษัทพูดว่า…….”
เพียงชั่วระยะเวลาการหารือกันสั้นๆ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรด์ได้ประทับตายืนยันให้ทหารเดินทัพ โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายนัก
เมื่อเทียบกับผู้ติดตามในวังแล้ว ทหารหลวงของจักรวรรดิฮัมบวร์กนั้นมีศักยภาพเหนือกว่ามาก ทหารหลวงเพียงพันนายก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับ จอมมารดาดๆลำดับ 68
สำหรับเจ้าหญิง จอมมารนั้นมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าพวกโง่เขลา พวกมันไม่เคยจะผนึกกำลังกัน ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานับพันปีพิสูจน์เรื่องนั้นแล้ว
อลิซาเบธ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ มั่นใจว่า แนวคิดของพวกมันไม่มีทางจะอยู่ๆมาเปลี่ยนไปเพียงเพราะปราสาทแห่งหนึ่งถูกพิชิตลง
จากความเห็นชอบของเธอ กองทัพก็ได้รับอนุญาตให้เดินทางได้ในทันที หลังการประชุมของชนชั้นสูงในรุ่งเช้า
แม้แต่เหล่าขุนนางก็ยังยินดีที่จะส่งทหารไประบายความโกรธแค้นเรื่องกาฬโรคใส่จอมมารด้วยเช่นกัน ทหารของจักรวรรดิจึงเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางทันทีหลังได้รับคำสั่ง
แต่มีสองสิ่งที่ อลิซาเบธ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ และ จักรวรรดิฮัมบวร์กมองข้ามไป
อย่างแรก ไม่ใช่เพียงจักรวรรดิฮัมบวร์ก ชาติเดียวเท่านั้นในทวีปมนุษย์ที่ระดมกำลังทหารมุ่งหน้าสู่ปราสาทจอมมาร
ดังนั้น ปราสาทจอมมารถึง 12 แห่งจึงถูกกลืนกินเข้าไปด้วยเปลวเพลิงแห่งสงคราม
และอย่างที่สองข้อมูลจากบริษัทเคียนคุสก้านั้นถูกบิดเบือน
“แล้วพวกมันก็บอกข้าว่า อาหารในโลกปีศาจนั้นปกติแล้วจะเผ็ดมาก! เอาจริงนะ ข้าน่ะคิดว่า ลิ้นข้าแทบจะทะลุแล้วซะอีก!”
“ฮุฮุ”
เจ้าหญิงผู้อ่อนเยาว์หัวเราะอย่างเบาๆเนื่องจากท่าทางเกินจริงของเจ้ากรม
สุดท้ายแล้ว เธอไม่รู้เลยว่า ทั้งหมดเป็นไปตามแผนที่จอมมารตนหนึ่งวางไว้ ไม่ใช่แค่เธอ แต่ผู้นำทัพทั้ง 12 ชาติที่อยู่ในทวีปต่างไม่รู้เรื่องนั้นเช่นกัน