บทที่ 070 – สองแผนร้าย(11) (จบองก์ที่ 1)
บทที่ 070 – สองแผนร้าย(11) (จบองก์ที่ 1)
บาร์บาทอสหรี่ตาแคบลง
นี่แกวางแผนอะไรอีกวะ? นี่แกบ้าไปแล้วเรอะ?
ในใจผมนั้นหวังให้เธอด่าทอผมแรงๆแบบนั้น ไม่มีจอมมารตนใดให้ความสำคัญพันกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทรามากไปกว่าเธออีกแล้ว
มีโอกาสเหมือนกันที่เธอจะโมโหเพราะการทำตามอำเภอใจของผมเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดการรวมพลของพันธมิตร
แต่อย่างไรก็ดี เธอกลับทำให้ความคาดหวังของผมปลิวหายไป
เธอหัวเราะออกมา
“เอ้าเอาเลย อธิบายให้ชื่นใจหน่อยซิ”
ดวงตาสีทองของเธอนั้นวิบวับด้วยความสนใจใคร่รู้ ดูเหมือนเธอจะคิดว่า ผมมีแผนการร้ายบางอย่างที่ลึกซึ้ง
ผมหัวเราะออกมาแบบแห้งๆ การที่อยู่ๆได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมากมันทำให้ผมจั้กจี้หน่อยๆ
พวกเรานั่งลงบนเก้าอี้ที่เอามาโดยพ่อบ้านผี ผมจึงเป็นผู้พูดขึ้นก่อน
“ก็นับพันปีแล้วที่ พันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะมีกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดมาก มากยิ่งกว่าเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า การทะเลาะเบาะแว้งกันและความเป็นศัตรูกันภายในนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งความล้มเหลว”
บาร์บาทอสพ่นลมออกจมูก เธอเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ก็เห็นกันอยู่แล้วว่า เธอไม่พอใจเรื่องอะไร บาร์บาทอสนั้นเบื่อจอมมารที่โง่เขลาคนอื่น…….
อย่าห่วงเลย บาร์บาทอส ผมจะทำลายความเครียดที่เธอมีมาทั้งหมดภายในครั้งเดียว เธอน่ะควรจะใช้ชีวิตให้เหมาะกับรูปลักษณ์ภายนอกแล้วมีชีวิตดี๊ดีมีสุขเหมือนอย่างวัยรุ่นนะ ความเครียดนั่นแหละที่เป็นเหตุผลให้หน้าอกของเธอไม่โตตามวัยเหมือนสาววัยรุ่น
(TTL : ปากคอเราะร้ายยยยย)
“ลองคิดในมุมอื่นดูบ้าง ทำไมเหล่าจอมมารถึงเริ่มทะเลาะกันระหว่างสงครามล่ะ?
คงไม่ใช่อะไรที่ใครสักคนนึงอยู่ๆก็ครั้งขึ้นมาหรอกนะ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งด้วย หากแต่เป็นถึง 7 ครั้งน่ะ?”
“ก็เพราะพวกแม่งโง่สัตว์ๆ”
“เป็นสมมุติฐานที่น่าสนใจ แต่ถึงอย่างนั้น”
ผมขำเบาๆ ดูเหมือนว่า บาร์บาทอสน่ะจะจงเกลียดจงชังจอมมารตนอื่นอย่างแรงเลยล่ะ ผมหวังว่าเธอจะใจเย็นลงสักหน่อย เราจะได้ดำเนินบทสนทนาไปต่อกันด้วยความสงบและความคิดที่เป็นกลาง
“หากจอมมารทั้งหลายนั้นเป็นพวกโง่จริง คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงบัดนี้หรอก จากที่ข้าเข้าใจนะ พันธมิตรเสี้ยวจันทราน่ะล้มเหลวด้วยเหตุผลเดียวข้อเดียว คือ พวกเขาน่ะแข็งแกร่งเกินไป”
“เฮ้ย แกน่ะ ไอ้พังพอน”
บาร์บาทอสทำหน้ามุ่ยขึ้นมาทันที
พังพอนเหรอ!? ชื่อเล่นผมสินะ?
ไม่สิ ถึงชายหนุ่มผู้นี้จะผอมก็ตามที อ่า ออกจะผอมเพรียวเลยล่ะ แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้เธอเรียกผมว่า จิ้งจอกแทนมากกว่านะ
“ข้าเข้าใจนะว่า แกน่ะหัวดีหัวไว แล้วก็เข้าใจด้วยว่า ลิ้นแกเนี่ยมันลื่นแผลบอย่างกับชุ่มด้วยน้ำมันมะกอก
แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้ที่ล้มเหลวเพราะแข็งแกร่งเกินไปเนี่ยนะ? มันจะไร้สาระอะไรขนาดนั้นวะ? ”
สถานการณ์เป็นแบบนี้นะ
ไม่สำคัญว่า จำนวนกำลังพลที่รวมกันแล้วจะมากแค่ไหน ยังไงฝ่ายมนุษย์น่ะก็รวมตัวกันได้ไม่เกิน 30,000 ถึง 40,000 คนหรอก อาจจะดูใหญ่นะ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดกองกำลังจอมมารได้
ถึงแม้พวกเขาจะโจมตีด้วยกำลังพล 30,000 นาย พวกเราก็สามารถป้องกันด้วยการส่งจอมมารลำดับที่มากกว่า 10 ขึ้นไปสัก 3 ถึง 4 ตนไปรับมือ มอนสเตอร์น่ะยังไงก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อยู่แล้ว
แล้วถ้าหากทุกชาติของมนุษย์ในทวีปร่วมมือกันสร้างพันธมิตรบ้าง ซึ่งพวกเขาทำแน่ ก็อาจจะได้กองกำลังถึง 300,000เลย
กองกำลังหลักของมนุษย์ก็จะมีแต่พวกทหารเกณฑ์ห่วยๆ อ่อนการฝึก ในขณะที่อีกทางหนึ่ง ฝ่ายพันธมิตรเสี้ยวจันทราเองมีกำลังพลอย่างน้อยก็ 100,000 นาย ที่เป็นมอนสเตอร์
‘เป็นการได้เปรียบฝ่ายเดียวอย่างท่วมท้น’ นั่นคือ คำที่ใช้เพื่อนิยามสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ผมต้องขอบคุณต่อเหล่าบรรพบุรุษที่ได้สร้างสิ่งนี้ขึ้นเพื่ออนาคตของรุ่นต่อไป
“ว่ากันตามตรงนะ บาร์บาทอส สมาชิกทุกคนของฝ่ายพันธมิตรเสี้ยวจันทราน่ะ ท่านน่ะเป็นจอมมารผู้เดียวที่มีความปรารถนาที่จะนำชัยมาให้เผ่าปีศาจ
ในขณะที่จอมมารตนอื่น ฝ่ายมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการมีตัวตนอยู่เพื่อให้พวกเขาทำลายเล่นตามใจ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดกลับเป็นจอมมารด้วยกันเอง”
“……จอมมารกลับหวาดกลัวจอมมารด้วยกันเองเนี่ยนะ?”
“ท่านไม่คิดว่า มันกวนใจหรือยังไงกัน?
ราชาที่ยืนอยู่จุดสูงสุดเพื่อนำผู้คน ใครมันจะไปอยู่อย่างสบายใจกับการที่มีราชาอื่นนับรวมกันถึง 72 พระองค์ล่ะ?
นั่นคือ เหตุผลเดียวที่ว่า ทำไมไอ้ระบบแสนผิดปกตินี้ถึงมีขึ้นมาได้ก็เพราะความดื้อรั้นของพวกมนุษย์ต่างหากล่ะ”
ผมขำออกมา
“จอมมารเกือบทุกตนต้องเคยคิดเรื่องนี้อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่งนั่นแหละ จะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากที่พิชิตโลกมนุษย์ได้ล่ะ?
ข้าแน่ใจว่าพวกเขาจะต้องตัวสั่นด้วยความกลัวที่จะถูกสังหารโดยจอมมารระดับสูงแน่”
“ห้ะ-หาาาาา!?”
บาร์บาทอสนั้นแสดงสีหน้าออกมาชัดเจนเลยว่า เธอนั้นไม่เข้าใจ และเธออยากที่จะเถียงแต่ผมก็พูดทันทีก่อนเธอจะทำอย่างนั้น
“ข้าฆ่าอันโดรมาลิสุน แล้วไม่นานท่านก็เลือกข้าไปอยู่ด้วย ท่านคิดว่า มันดูเป็นยังไงสำหรับพวกเหล่าจอมมารที่เหลือล่ะ?”
บาร์บาทอสไม่ใช่จอมมารธรรมดาดาดๆ เธอเป็นหัวหน้าของฝ่ายที่ราบ แม้เธอจะเข้าหาผมด้วยเจตนาที่ดีในตอนนั้น แต่คนอื่นที่มองดูพวกเราไม่ได้ทางเลือกอื่นนอกจากมองภาพกว้าง
“ทั้งฝ่ายที่ราบนั้นปกป้องดันทาเลี่ยน จอมมารถูกฆ่า ยิ่งไปกว่านั้นพวกฝ่ายที่ราบน่ะเกลียดชังดูหมิ่นพวกฝ่ายภูเขามาเสมอ พวกเขาอาจสังหารสมาชิกฝ่ายอื่นโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว
……พอจอมมารอื่นคิดมาถึงตรงจุดนี้ ฝ่ายภูเขาก็จะเริ่มเอาเรื่องนี้มาคิดจริงจังแล้ว”
“แต่มันไม่มีทาง…….”
“คิดว่า พวกเขาไม่มีทางทำงั้นหรือ?
ท่านน่ะเรียกฝ่ายภูเขาว่าเป็นพวกขยะ แถมยังหาทางจัดการพวกเขาถ้ามีโอกาส ดูเหมือนที่ทำลงไปนั่นจะไม่ใช่แกล้งบลัฟเล่นๆแล้วล่ะ”
เธอปิดปากเงียบ
บาร์บาทอส เธอน่ะเป็นหนึ่งเรื่องความแข็งแกร่ง แต่ผู้แข็งแกร่งไม่มีทางเข้าใจจุดยืนของผู้อ่อนแอ เมื่อเธอเห็นจอมมารตนอื่นไม่เข้าร่วมสงครามที่เผชิญหน้ากับฝ่ายมนุษย์ เธอก็แปะป้ายตีตราพวกเขาว่าขี้ขลาดและโง่เขลา พูดว่า พวกเขาไม่มีปัญญาเอาชนะมนุษย์ได้
แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุด คือ จอมมารระดับสูงอย่างเธอนั่นแหละ
ช่วงห่างระหว่างอันดับ 1 ถึงอันดับ 72 นั้นไร้ที่สิ้นสุด
ในสถานการณ์ปัจจุบันการมีอยู่ของจอมมารทั้งหลายมีไว้เพื่อแผ่ขยายไปสู่โลกมนุษย์
หากมีจอมมารที่ทำร้ายจอมมารด้วยกัน พวกเขาก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์ว่าไอ้ระยำนั่นมันน่าเกลียดน่าชังอย่างไม่ต้องสงสัย กับการที่หลงลืมหน้าที่ตนเองแล้วหันมาฆ่าพี่น้องแทนที่จะฆ่ามนุษย์
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกเขาสามารถขยายอิทธิพลไปสู่โลกมนุษย์ได้?
สุดยอดศัตรูที่รู้จักกันในนามว่า มนุษย์ก็จะหายไปยังไงล่ะ มีแต่จอมมารเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่
ราชาทั้ง 72 จะกุมมือกันแล้วปกครองผืนทวีปอย่างราบรื่นแสนสุขอย่างนั้นรึ?
ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว จอมมารก็จะหันมาก่อสงครามกันเองและสุดท้ายก็มีแต่จอมมารระดับสูงสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้
“จอมมารส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีความปรารถนาที่จะพิชิตโลกมนุษย์อยู่แล้ว”
ถ้าพูดให้ชัดๆคือ พวกเขาไม่อยากใช้กองกำลังของตัวในการพิชิตมนุษย์
การกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้แล้วนั้นไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่ต้องการกองกำลังอีกต่อไป แถมพวกเขายังต้องการมากยิ่งกว่าที่เคยด้วยซ้ำ ดังนั้นเหล่าจอมมารทั้งหลายจึงต้องการรักษากองกำลังตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งอันดับต่ำก็ยิ่งเป็นอย่างนั้น
ในตอนเริ่มแรกเดิมทีนั้น มีแค่จอมมารกลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่ทำตัวเห็นแก่ตัวอย่างนั้น พวกเขาไม่เสียอะไรเลยแม้พันธมิตรเสี้ยวจันทราจะล่มลงไป
แต่หลังจากเห็นอย่างนั้นแล้ว จอมมารตนอื่นก็เริ่มเห็นแก่ตัวตามด้วย ในท้ายที่สุด ฝ่ายต่อต้านสงครามที่เป็นกลุ่มน้อยพอผ่านมา 2,000 ปีตอนนี้กลายเป็นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็น กองกำลังฝ่ายภูเขา และปัจจุบันก็กลายเป็นฝ่ายส่วนมากของจอมมาร…….
บาร์บาทอสนั้นเงียบไป ดูเหมือนเธอจะเชื่อมจุดเข้าด้วยกันได้แล้ว
“เฮ่ออออออออออออ”
เธอถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
“ฟัค , ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมไอ้พวกห่าเหวนั่นแม่งถึงปฏิเสธการนำกองกำลังไปรบอย่างขมขื่นขนาดนั้น แม้กระทั่งการรวมพลครั้งที่ 4 …… ครั้งที่ 6 ……แม่งทุกครั้งเลยโว้ย…… ห่าเอ้ย!”
ผู้อ่อนแอมีทางเอาชีวิตรอดในแบบของตัวเอง
ผู้แข็งแกร่งย่อมเข้าใจว่า นั่นเป็นหนทางการเอาชีวิตรอดที่ขี้ขลาดและไร้น้ำยาที่สุด ทำไมกันล่ะ?
เพราะพวกเขาแข็งแกร่งเลยไม่เชื่อว่า พวกเขาแข็งแกร่งได้เป็นเพราะเห็นแก่ตัวอย่างนั้นหรือ
ที่พวกเขาแข็งแกร่งเป็นเพราะพวกเขานั้นกล้าหาญ,ทรงประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จอย่างนั้นหรือ
พอคิดแบบนี้ พวกแข็งแกร่งจึงมักดูถูกผู้อ่อนแอกว่าซึ่งมันเป็นสิ่งจำเป็น มันเป็นโครงสร้างทางจิตที่เข้าใจได้โดยง่าย
“การพยายามจะพิชิตโลกมนุษย์ด้วยกลุ่มจอมมารกลุ่มเล็กๆนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หากมีจอมมารสักตนที่บุกเข้าไปโจมตี พวกมนุษย์ก็จะผนึกกำลังร่วมมือกันทันที ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราต้องรวมกำลังกันในฐานะจอมมารให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และสร้างพันธมิตรเสี้ยวจันทรา แต่ทว่า…….”
“ยิ่งจอมมารอยู่ด้วยกัน ก็ยังมีความซับซ้อนในเชิงโครงสร้างของคำสั่งตามมา ดังนั้นไอ้เลวที่แม่งทำตัวหน้าด้าน ละโมบก็เลยเพิ่มขึ้นด้วย! ห่าเอ้ย”
ถูกต้อง นั่นแหละ ความลักลั่นย้อนแย้งของเหล่าจอมมาร
พวกเขาไม่สามารถปราบศัตรูได้เพราะพันธมิตรนั้นแข็งแกร่งเกินไป
ไม่หรอกไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขาปราบศัตรูไม่ได้เพราะถูกฆ่าตายก่อนในอนาคตอันใกล้นี้ต่างหาก
แล้วสถานการณ์ก็จะกลายเป็นอย่างนี้ จอมมารปฏิเสธที่จะบุกโลกมนุษย์ และเสียเวลา ไปกับความขัดแย้งทางการเมืองอันไร้ประโยชน์ แล้วก็ขังตัวเองอยู่แต่ในปราสาท
นั่นคือ ฉากเหตุการณ์ใน<Dungeon Attack> ฝ่ายของจอมมารแต่ละตนปฏิเสธยุคบุกเบิกอันยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะถูกฆ่าเรียงตัวโดยปาร์ตี้ผู้กล้า จอมมารบางตนนั้นอาจดีใจด้วยซ้ำไปที่รู้ว่า สหายของตัวเองนั้นที่มีความสามารถเป็นศัตรูในอนาคตถูกฆ่าตายไป พวกเขาก็คงจะหัวเราะเยาะเย้ยและเรียกจอมมารที่ตายโดยน้ำมือนักผจญภัยมนุษย์ว่า จอมมารที่น่าสมเพช
แต่ในท้ายที่สุด เผ่าปีศาจก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ จอมมารถึงพึ่งได้มาตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ก็ต่อเมื่อ พวกของตนครึ่งหนึ่งถูกฆ่าโดยผู้กล้า
พวกเขาพยายามที่จะรวมกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทราขึ้นมาใหม่แล้วบุกจู่โจมมนุษย์ แต่มันก็เป็นการโดนฆ่าฝ่ายเดียว หัวของพวกเขาค่อยๆหลุดออกจากบ่าที่ละ ทีละคนด้วยดาบของผู้กล้า……ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้
ปัญหาของความโง่เขลาดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการที่ด้อยสมรรถภาพใดเลย หากแต่เป็นระบบของ ‘72 จอมมาร’ ต่างหาก ระบบโง่เง่าที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นี่คือเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน
“แต่ยังมีวิธีหนึ่งในการแก้ไขสถานการณ์นี้”
“มันคืออะไร?”
บาร์บาทอสมองผมอย่างจริงจังสุดๆ เด็กสาวที่เคยหยอกล้อลูบท่อนล่างผมเล่นหายไปแล้ว
ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผมคือ จอมมารตนหนึ่งที่กำลังคิดถึงอนาคตของเธอและอนาคตของเผ่าปีศาจ
ผมถอนใจพลางพูดไปด้วย
“เราจะต้องไม่เป็นฝ่ายบุกอย่างเดียว เราจะทำให้มนุษย์จู่โจมเราด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเราต้องลดจำนวนจอมมารที่มีอยู่ปัจจุบันให้เหลืออย่างน้อยครึ่งหนึ่งก่อน”
“ดันทาเลี่ยน”
เธอจ้องมาที่ผม ดวงตาเย็นของราชาจับจ้องมาที่ผม
“แกเข้าใจสิ่งที่กำลังพูดอยู่ไหม?
แกกำลังแนะนำให้พวกเราฆ่ากันเองถึงครึ่งหนึ่งที่มีเพียง 72 ตนในโลก”
“ถ้าเราไม่ทำ ทั้ง70 ตนของพวกเราจะสูญสิ้น……!”
ผมเตือนเธอ
“ไม่ช้าก็เร็ว มนุษย์ก็จะตระหนักได้ว่า จอมมารเป็นศัตรูอันตรายของพวกเขา
และเพราะกาฬโรคนั่นเอง มันมีโอกาสที่เผ่าอื่นๆทั้งหลายนั้นจะถอนตัวเพราะข่าวลือ และเป็นศัตรูกับจอมมารอย่างพวกเราเช่นกัน
พวกมันจะหาโอกาสที่จะยึดปราสาทจอมมารและเรียกญาติพี่น้องของพวกเราที่ยอดเยี่ยมที่เอาแต่ยืนดูว่า เป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ!”
นั่นคือ อนาคตที่เกิดขึ้นใน<Dungeon Attack> นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมเท่านั้นตระหนักถึงได้ มันเป็นอนาคตอันโหดร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้สำหรับเผ่าปีศาจ
“หากปล่อยให้พวกเราไปถึงจุดนั้น มันจะสายเกินไป ในสถานการณ์ปัจจุบันที่กองกำลังของพวกเรายังสมบูรณ์อยู่ พวกเราต้องรวมพลังกันและลดอิทธิพลที่มีต่อโลกมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเราต้องเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาทั้งหมด!”
ความจริงแล้วมันไม่ใช่เป้าหมายของผมหรอกตราบใดที่ภารกิจพิชิตโลกเป็นเป้าหมายสูงสุดของผม มันก็ยังพอมีความเป็นไปได้ที่ผมจะพิชิตเหล่าจอมมารได้
ถ้าหากเกิดสงครามอย่างนี้ ผมจะสามารถทำให้ทั้งฝ่ายมนุษย์และจอมมารในโลกอ่อนแอลง แล้วฉวยโอกาสได้ สงครามที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติและปีศาจชาติ จะเข้ามาแทน
ทั้งสองฝั่งจะสูญเสียเป็นอันมาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะต้องใช้เวลานานกว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะฟื้นฟูได้จากสงครามการแก้แค้นกันไปกันมา
และผมจะสร้างอิทธิพลขึ้นด้วยการซื้อเวลาให้ตัวเองระหว่างนั้น
มันช่วยไม่ได้นี่หน่า!
มันเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติอยู่แล้วที่จะสั่งสมกองกำลังด้วยวิธีปกติอย่างเดียว!
ดูค่าสแตทของผมเทียบบาร์บาทอสที่เลเวล 357 สิ!
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
True Name: Dantalian
Race: Demon Lord Faction: Dantalian’s Demon Lord Army
Attribute: Evil(-20)
Level: 21 Infamy: 3750
Job: Dungeon Manager(F), Demon Lord(E)
Leadership: 26/30 Might: 7/10 Intelligence: 30/32
Politics: 24/30 Charm: 15/20 Technique: 4/10
*Titles: 1. Demon Lord of Fear
*Abilities: Tactics(E), Marksmanship(F), Mining(F)
*Skills: Acting
[Achievements: 2]
[Subordinates: 42 units/210 units]
━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━
ลำดับ 8 บาร์บาทอส เลเวล 357 และยังมีจอมมารอีก 7 ตนที่แข็งแกร่งกว่าเธอ!
ผมจะฟาร์มเลเวลยังไงให้สามารถเผชิญหน้ากับบุคคลสัตว์ประหลาดระดับนั้นไดเล่ะ?
แล้วเมื่อไหร่ผมจะสำเร็จได้ด้วยการครองโลกกัน?
แล้วจอมมารตนอื่นจะไม่ทำอะไรระหว่างที่ผมแข็งแกร่งขึ้นเหรอ?
แล้วพวกฝั่งมนุษย์อีกล่ะ?
แล้วผมจะควบคุมตัวเอกในอีก 10ปี ข้างหน้ายังไง พร้อมกับปาร์ตี้ของพวกเขาที่จะกลายมาเป็นฮีโร่ผู้มีชื่อเสียงอีก?
ผมมีเวลาไม่มากพอที่จะทำสำเร็จในทุกอย่าง
สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมทำได้คือ การทอนกำลังฝ่ายตรงข้าม ไม่เพียงแต่ฝ่ายจอมมารเท่านั้นแต่ยังฝ่ายตัวเอกและสหายที่ทรงพลังของพวกเขาด้วย
ก่อนที่จะทรงพลังขนาดที่ตัดภูเขา เผามหาสมุทร ก็อีก10ปีนับจากนี้ไป
จาก ณ ปัจจุบันนี้ พวกเขายังไปไม่ถึงศักยภาพขั้นสุด!
แม้แต่ตอนนี้พวกตัวเอกเองก็เป็นแค่เด็ก 7 ขวบ นี่คือ โอกาสที่ดีที่สุด!
ถึงจะเรียกว่า การเดิมพันก็เถอะ แต่หากเอาแต่รออนาคต ไม่มีทางที่จะได้รับชัยชนะ ผมต้องทุ่มไพ่ทุกใบลงไปในขณะที่ยังเห็นโอกาสอยู่
ไม่ ไม่ใช่แค่เห็นโอกาส
มันต้องมีโอกาสแน่นอนเพราะผมรู้ข้อมูลทุกอย่างของ <Dungeon Attack>!
ผมจะลดทอนจำนวนทั้งฝั่งปีศาจและมนุษย์เพื่อซื้อเวลาให้ตนเอง ผมจะทำทั้งหมดนั่นในการศึกครั้งนี้
“บาร์บาทอส ที่ผ่านมาท่านแปะป้ายว่าพวกฝ่ายภูเขานั้นระยำนั่นเป็นพวกขี้ขลาดมาเสมอใช่ไหม?”
ผมพูดออกไปด้วยจริงใจและเจือความสิ้นหวัง
“จอมมารส่วนใหญ่ที่เสียสละมักเป็นของฝ่ายภูเขา ไอ้พวกห่าระยำนั่นแม่งตาบอดด้วยความโลภและยอมแพ้กับความใฝ่ฝันของเหล่าปีศาจและหน้าที่ในฐานะจอมมาร
นี่แกตั้งใจจะทำลายความฝันของเหล่าปีศาจด้วยการกังวลกับไอ้พวกนั้นเนี่ยนะ!?”
“……ใครจะเป็นผู้เสียสละคนแรกล่ะ?”
บาร์บาทอสถามหลังจากเงียบไป
“เพื่อให้เกิดการรวมเป็นหนึ่งกันของจอมมาร มนุษย์จะบุกเข้ามามหาศาล กองกำลังขนาดใหญ่อย่างที่ไม่อาจประเมินได้จะพุ่งคมดาบเข้าหาเราและจะต้องมีจอมมารอย่างน้อยที่ต้องตายจากกองกำลังพวกนั้น ก่อนที่พวกเราจะรวบรวมกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้”
เธอพูดถูกเลยล่ะ
จอมมารจะไม่ร่วมมือกันจนกว่าจะเห็นภาพว่าอันตรายนั้นมาจ่อที่จมูกแล้ว จนกระทั่ง ชีวิตร่วงหล่นหนึ่งราย สองราย และถ้าพวกเราโชคไม่ดีนัก ญาติของเราสามรายตายไป
หากพวกเขาจะไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ หากพวกเราไม่ผนึกกำลังกัน พวกเราจะถูกมนุษย์กำจัดทีละตน ทีละตน การรับรู้หายนะจะเกิดพร้อมกัน
“ข้าขอโทษ แต่……ฝ่ายที่ราบต้องเป็นฝ่ายเสียสละก่อน”
“เคี๊ยก ข้ากะไว้แล้ว”
บาร์บาทอสหัวเราะเบาๆ เธอต้องเดาเจตนาของผมออกแน่
หากสมาชิกในฝ่ายที่ราบเป็นผู้ถูกฆ่าโดยกองกำลังของมนุษย์ก่อน บาร์บาทอสก็จะยิ่งทรงอำนาจมากขึ้น เธอสามารถที่จะแสดงความปรารถนาที่จะล้างแค้นมนุษย์ได้อย่างเต็มที่
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ยังขัดขวางข่าวลือเรื่องที่ฝ่ายที่ราบเป็นผู้สร้างกาฬโรคด้วย…….
บาร์บาทอสลุกขึ้น เธอเดินมาหาผม
“เจ้าช่างโหดร้าย ดันทาเลี่ยน โหดร้ายสุดๆไปเลย”
น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความเศร้า เธอใช้มือลูบไปที่ท้อง อก คอ และแก้มของผม ราวกับต้องการจะปลิดชีพผมด้วยมือของเธอ ผมรับสัมผัสนั้นอย่างหาญกล้า
“ตอนที่ข้าน่ะทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนศพริฟ ข้าแค่อยากจะเห็นเจ้าเติบโตขึ้นสักหน่อย
ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทะเลาะกับบาเรี่ยล แล้วท้าทายพวกฝ่ายภูเขา เติบโตขึ้นกลายเป็นจอมมารที่ยอดเยี่ยมหลังผ่านแสงจันทร์ในแต่ละวันเพ็ญไป
ดูเหมือนฝ่ายที่อ่อนแอจะเป็นข้ามาโดยตลอดสินะ เคะเคะ…….”
“บาร์บาทอส”
“ไม่เป็นไร ข้าจะร่วมด้วย สงครามงั้นหรือ?
นั่นแหละสิ่งที่ข้าต้องการ การเสียสละงั้นเหรอ?
ถ้ามันเป็นสิ่งที่ข้ายึดถืออยู่ ข้าก็โยนมันทิ้งไปนานแล้ว ข้าอดทนต่อทุกสิ่งอย่างได้เพื่อชั่วขณะแห่งสงครามอันเปี่ยมเกียรติ
ข้าคือ จอมมาร ”
บาร์บาทอสหันคางของผม ใบหน้าของเธอและผม จมูกต่อจมูก ที่จ้องตรงต่อกันและกัน ลมหายใจที่ไหลออกมาจากริมฝีปากเล็กๆแตะใบหน้าผม
“แต่มันช่างน่าประหลาดใจและน่าสนใจมาก ดันทาเลี่ยน นี่เจ้าน่ะทำอย่างนี้เพราะเจ้ารู้บุคลิกของข้าเป็นอย่างดี
……. นี่เจ้ามองไปข้างหน้าได้ไกลแค่ไหน และเจ้าปราราถนาอะไรกัน?
ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่า หนทางที่อยู่ตรงหน้าจะทอดยาวไปสู่ที่ไหน จนข้าทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ดูนี่สิ”
เธอดึงมือผมไปแล้วไปวางไว้ตรงหว่างขาเธอ เธอถลกกระโปรงไปข้างๆแล้วเอามือของผมเข้าไปลึก ปลายนิ้วผมแตะกับผ้าบางๆ มันเปียก
“ข้าแฉะแล้วว่ะ
……แค่นึกถึงความโหดร้ายของสงครามที่เจ้าจะก่อขึ้น มันก็ทำให้ข้าตื่นเต้นแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอ บุคคลที่ชั่วร้าย น่ารังเกียจอย่างกับหมา”
อ่าห์
อีกแล้วสินะ เวทย์มนตร์ปลุกเซ็กของเธอ แต่ครั้งนี้บาร์บาทอสนั้นกระซิบผมเบาๆขณะที่เลียหูผมไปด้วย ผมรู้สึกมึนงง กามราคะที่เทียบไม่ได้กับก่อนหน้าไหลเข้าผ่านมาทางหู มันทำให้สมองของผมลอยละลิ่วไปกองกันอยู่ที่ร่างกายส่วนล่างผ่านไขสันหลัง ร่างของผมรุ่มร้อนขึ้น เสียงอันหนืดเหนียวเทไหลเข้ามาหาขณะที่ผมพยายามที่จะประคองสติไว้
“ข้าน่ะอยากจะโดนอัดกระแทกด้วยไอ้ระยำเหมือนหมา
และร้องครางเหมือนอีตัวกำลังติดสัด
……อยากลองสักหน่อยไหม?”
ตอนนั้นเองที่สติสัมปชัญญะของผมหยุดไป มีเพียงสิ่งที่พอจำได้ลางๆก็คือ เธอกับผมนั้นต่างมีกิจกรรมกันขณะที่ดันตัวผ่านไปยังวังจอมมาร พวกเราเชื่อมต่อกันในทุกท่าทาง ใช้ประโยชน์จากสิ่งของทุกอย่างไม่ว่าจะโต๊ะ,เก้าอี้,และอะไรต่อมิอะไรที่ฉวยคว้ามาได้
เธอคว้าจับขณะที่ส่งเสียงคราง ผมคิดแล้วมองไปที่เธอ
สิ่งนี้คือ สัญญา
สัญญาลับระหว่างสองบุคคลที่ตั้งใจจะสร้างแผนชั่วเพื่อให้ญาติของพวกเราตกสู่นรก นับจากนี้เป็นต้นไป…….
ฤดูหนาวเข้ามาใกล้ ฤดูกำลังเปลี่ยน
ฤดูใบไม้ผลิแรกที่ผมได้มาสู่โลกนี้
จอมมารลำดับ 49 โครเค่ล(Rank 49 Demon Lord Crocel)แห่งฝ่ายที่ราบได้ตายลงจากการบุกโจมตีของพวกมนุษย์
คำส่งท้ายผู้เขียน
— บท <สองแผนร้าย> จบ
— พาร์ท 1 จบแล้ว และพาร์ 2 จะเริ่มต้นขึ้น