บทที่ 068 – สองแผนร้าย(9)
บทที่ 068 – สองแผนร้าย(9)
“เอาล่ะ เอาออกไปเพิ่มอีกหน่อยดีกว่า……อ้อ แต่ก่อนหน้านั้นขอให้ข้าดื่มดับกระหายสักหน่อยก่อน”
ดันทาเลี่ยนจิบไวน์ในแก้วตัวเอง การที่เขาเอาชนะข้อแก้ต่างแรกได้มันทำให้เลือดของดันทาเลี่ยนสูบฉีด บาร์บาทอสมองเขาอย่างไม่พอใจนัก
“คำพูดของเจ้าอาจฟังดูมีเหตุผล แต่ก็มีช่องโหว่อยู่ โหว่อย่างกับรูบนสวิสชีส แล้วถ้าหากมีไอ้บ้าห่าเหวในฝ่ายภูเขามันคลั่งขึ้นมาล่ะ? แบบที่มันไม่สนเลยว่าจะได้ประโยชน์อะไรในฝั่งตัวเอง แล้วยังมาจัดแผนการใหญ่โตเพียงเพื่อจะกวนเจ้าล่ะ ดันทาเลี่ยน?”
ดันทาเลี่ยนผงกหัว
“แน่นอนว่า ข้าคิดถึงในกรณีที่ผู้บงการนั้นมีเหตุผลในการกระทำนั้น”
“ใช่เลย แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก จอมมารครึ่งหนึ่งพวกแม่งก็บ้ากันทั้งนั้น เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด มีโอกาสที่เจ้างั่งบาเรี่ยลจะทิ้งรอยนั่นไว้บนศพของริฟด้วยตัวเองเพราะอาจจะโง่หรืออาจจะสติแตกไปเลยก็ได้…….”
“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ท่านอยากจะพึ่งพาคำว่า ‘เหตุบังเอิญ’ ใช่ไหม?”
เธอเงียบทันที
ดันทาเลี่ยนหมุนแก้วแล้วของเหลวสีแดงที่อยู่ในนั้นก็ไหลวนไปวนมา
“ไม่ว่า ข้าจะคำนวนอย่างดีแล้วว่าท่านนั้นเป็นคนร้ายตัวจริง หรือข้าอาจจะแค่หลงผิดคิดมโนไปเอง หรือแค่บังเอิญข้ามั่วเลือกท่านเป็นคนร้าย
ถึงอย่างนั้นข้าก็ได้นำไวน์เบเลอปี 505 มา ก็เพราะข้าไม่มั่นใจในข้อสันนิษฐานอนุมาน และได้ใช้มันเป็นเครื่องยืนยันว่า ที่ข้าคิดนั้นถูกหรือไม่
……บาร์บาทอส ท่านแนะนำให้มีการดวลนี้ขึ้นเพื่อยืนยันสิ่งนี้ไม่ใช่หรืออย่างไร
แล้วตอนนี้ท่านก็กำลังพยายามจะแย้งด้วยการใช้อะไรที่ไร้เหตุผลแบบนั้น”
เขามองตรงไปยังบาร์บาทอส
“หากเป็นอย่างที่ท่านว่า คงมีไอ้บ้าโรคจิตสักคนที่ทำตัวแบบไร้เหตุเหนือผล รอยสัญลักษณ์ที่ทิ้งไว้บนศพริฟมันก็เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ เอาอย่างนี้ดีไหมล่ะ?
ลำดับ 7 อามอน(Rank 7 Amon) ก็มีพลังตาทิพย์ด้วย ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในงานราตรีวัลเพอกีส ก็มีโอกาสที่จะเฝ้าดูการพิจารณาคดีด้วยพลังของเขา ถูกไหมล่ะ?”
“นั่นมัน…….”
“หากเราจะรวมอามอนไปในรายชื่อผู้ต้องสงสัย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ไม่ได้มีแค่ จอมมาร32 ตน แต่เป็น 33 ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อามอนต้องมาสนใจข้านัก ที่อยู่อันดับ 71 และมาจัดฉากเบเลี่ยล ลำดับ 68 แต่อามอนก็อาจทำแบบนั้นเพราะเขาบ้าไปแล้ว”
ดันทาเลี่ยนหัวเราะเอิ้ก
“ไม่ใช่สิ มันก็มีโอกาสที่ข้าเป็นเป็นผู้ทำหลักฐานปลอมนั่นขึ้นมาเอง เพราะข้าอยากจะก่อกวนท่านอย่างไม่มีเหตุไม่มีผล หลังจากที่ข้าสร้างตราสัญลักษณ์ขึ้นมาบนศพริฟด้วยตัวเองแล้วน่ะ
แหม อย่างน้อยๆนี่ก็ฟังดูเป็นไปได้มากกว่าให้อาม่อนเป็นผู้ต้องสงสัยนะ”
บาร์บาทอสไม่ตอบอะไรกลับไป
เขาถามเธอว่า เธอต้องการที่จะปฏิเสธเป้าหมายของการดวลครั้งนี้ไหม เขารู้อยู่แล้วว่า การโต้แย้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความบังเอิญนั้นมีอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น หากเธอเลือกที่จะหักล้างด้วยวิธีนั้นจริง เป้าหมายแรกเริ่มเดิมทีทั้งหมดที่ไม่คิดว่า เป็นแค่เพราะโชคดี มันจะไปอยู่ที่ไหนซะล่ะ? เธอต้องการที่จะทำลายการดวลนี้ทิ้งด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?
“ขอโทษ มันเป็นความผิดของข้าเอง”
เธอยอมรับมันอย่างจริงใจ นี่ไม่ใช่ละครสืบสวนที่มาเที่ยวขุดคุ้ยความจริงอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
มันคือ การดวลที่มีกติกาและเป้าหมาย บาร์บาทอสนั้นถอนใจเมื่อเธอตระหนักได้ว่า ตัวเธอเองนั้นหลงลืมสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญไป เธออาจแค่รู้สึกสิ้นหวังที่เห็นรายชื่อผู้ต้องสงสัยโดนขีดฆ่าออกไป
ดังนั้นข้อโต้แย้งล่าสุดก็เป็นอันตกไป
ดันทาเลี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ต่อไปก็ ข้าจะขีดฆ่ารายชื่อของฝ่ายที่ราบออกทั้งหมดจากรายนามผู้ต้องสงสัย แน่นอนว่า ยกเว้นท่านนะ”
“อะ-อะไรวะ!?”
ดวงตาของบาร์บาทอสเบิกกว้าง ในบรรดาผู้ต้องสงสัยทั้ง 14ที่เหลือ 9คนนั้นเป็นของฝ่ายที่ราบ หากไม่นับบาร์บาทอสแล้วตัดรายชื่อ 8 คนออก บนรายชื่อทั้งหมดก็จะเหลือผู้ต้องสงสัยเพียง 6 คนเท่านั้น! ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องป้องกันไว้ให้ได้!
“เฮ้ย มันจะตลกเกินไปแล้ว!”
“ไม่เลย มันเป็นไปได้ ฝ่ายที่ราบนั้นถูกลบออกจากรายชื่อด้วยเหตุผลง่ายๆเพราะพวกเขาเป็นฝ่ายที่ราบ”
ดันทาเลี่ยนพูดต่อ
“สมาชิกทุกคนของฝ่ายที่ราบที่เข้าร่วมการพิจารณาคดีรู้ดีอยู่แล้วเรื่องที่ท่านต้องการจะปกป้องข้าน่ะ บาร์บาทอส
พวกเขายังรู้ด้วยว่า ท่านน่ะพาข้าไปเที่ยวทัวร์รอบเมืองหลังการพิจารณาคดีจบลง แล้วทีนี้ลองมาคิดดูว่า ถ้าหากสมาชิกในฝ่ายที่ราบนั้นเป็นคนทิ้งสัญลักษณ์นั้นไว้บนศพของริฟล่ะ
พวกเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม!”
ดันทาเลี่ยนถามตัวเองออกมาดังๆ
“หากเบเลี่ยลเป็นผู้ลงมือจริง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเปิดโอกาสให้ผมเอาคืนได้หรอก
ไพมอนที่แพ้การพิจารณาคดีในงานเมื่อหลายวันก่อน เหล่าสมาชิกของฝ่ายภูเขาก็ต้องบุกโจมตีดันทาเลี่ยนอย่างไม่เกรงใจทันทีหลังจากพิจารณาคดีจบ
เพิ่มเติมเรื่อง สมาชิกฝ่ายที่ราบมีหลักฐานเรื่องนี้เข้าไปอีกล่ะ?
……ถ้าพวกเขารู้จักใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้ดี พวกเราก็สามารถจะซัดตูมใหญ่ใส่ฝ่ายภูเขาได้สบายๆ”
แต่ถึงอย่างนั้นฝ่ายที่ราบกลับยังคงอยู่เงียบๆ
พวกเขาแค่พอใจกับการทิ้งสัญลักษณ์บนศพของริฟ ฝ่ายที่ราบไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรทั้งเดือน หรืออย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ควรจะเข้าหาดันทาเลี่ยนแล้วแนะนำให้คิดบัญชีกับพวกฝ่ายภูเขา
“การกระทำสองอย่าง ‘หวังทำร้ายฝ่ายภูเขา’ และ ‘ไม่โจมตีฝ่ายภูเขา’ สองอย่างนี้มันขัดแย้งกัน ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปข้อเดียว พวกเขาแม้จะอยากโจมตีฝ่ายภูเขาแต่ไม่สามารถทำได้
เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า บาเรี่ยลเป็นผู้บงการเรื่องนี้!”
ดันทาเลี่ยนเร่งเสียงขึ้น
“ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงจัดฉากเบเลี่ยล ทำไมกันล่ะ?
ทำไมถึงต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากซับซ้อนอย่างการจัดฉากเบเลี่ยลล่ะ?
เหตุผลอะไรที่ต้องลงทุนลงแรงจัดแผนยิ่งใหญ่เพียงเพื่อจัดฉากจอมมารดาดๆ ลำดับ 68 ด้วย?
ข้อโต้แย้งก่อนหน้าก็ระบุไว้ชัดแล้ว เพราะพวกเขานั้นอ่อนแอกว่าเบเลี่ยล แต่อย่างไรก็ดี”
ดันทาเลี่ยนชี้ไปที่รายชื่อแผ่นใหญ่ด้วยนิ้วชี้
“ก็อย่างที่ท่านเห็น ไม่มีสมาชิกฝ่ายที่ราบคนไหนที่ลำดับต่ำกว่า เบเลี่ยล!
แม้แต่สมาชิกที่มีลำดับต่ำที่สุดของฝ่ายที่ราบก็ยังคงเป็น ลำดับที่ 50 เฟอร์คาส(Rank 50 Furcas) แถมยังห่างถึง 18 ลำดับ ข้านึกไม่ถึงเลยว่า บุคคลนั้นน่ะจะปล่อยให้อำนาจการแก้แค้นอยู่ในมือข้า ดันทาเลี่ยนจอมมารที่อ่อนแอที่สุด”
“ข้าคัดค้าน!”
บาร์บาทอสขบฟัน
“เจ้าตั้งทฤษฏีขึ้นจากแนวคิดว่า เป้นหมายของฝ่ายที่ราบนั้นคือ การจัดฉากใส่ร้ายบาเรี่ยลเพียงอย่างเดียว! นั่นเป็นสิ่งไร้สาระที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา หากจะมีฝ่ายที่ราบที่มีเป้าหมายแน่ชัดระดับนั้นไม่มีทางที่จะมุ่งไปที่บาเรี่ยลคนเดียว หากแต่จะต้องเป็นทั้งฝ่ายภูเขา!
ไม่สำคัญว่า ระดับจะต่างกันแค่ไหนในลำดับแต่ก็ยังมีเหตุผลอยู่มากมายที่ทำให้ต้องจัดฉากเบเรี่ยลเพราะเขาอยู่ในฝ่ายภูเขา”
“ข้าค่อนข้างเห็นด้วยมาก”
ดันทาเลี่ยนหัวเราะ เขายังคงพูดต่อทันที ก่อนที่บาร์บาทอสจะไม่พอใจกับเสียงหัวเราะของเขา
“ก็อย่างที่ท่านพูดนั่นแหละ เบเลี่ยลนั้นไม่ใช่เป้าหมายของฝ่ายที่ราบหรอก พวกเขาเล็งเป้าไปที่ฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายต่างหาก แต่ขอถามอย่างหนึ่ง
แต่จะต้องมีอำนาจขนาดไหน จอมมารถึงสามารถโจมตีฝ่ายภูเขาได้โดยที่ไม่ต้องใช้หลักฐานล่ะ!”
“……!”
บาร์บาทอสแทบหยุดหายใจ
เธอพลาดท่าเสียแล้ว
ดันทาเลี่ยนทำให้เธอยอมรับว่า
‘หากฝ่ายที่ราบจัดฉากเบเลี่ยลจริงๆแล้วล่ะก็ บุคคลนั้นต้องมีอำนาจมากพอที่จะเผชิญหน้าคุกคามพวกฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายได้แม้ไม่มีหลักฐาน และหากเป็นอย่างนั้น⎯⎯
“มันก็สมดังชื่อนั่นแหละ ฝ่ายภูเขาอาจจะเป็นฝ่ายที่ดูยิ่งใหญ่ แต่หนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจัดการฝ่ายภูเขาทั้งฝ่ายได้ ก็คือฝ่ายที่ราบ
ท่ามกลางเหล่าสมาชิกทั้งหลายเหล่านั้นมีจอมมารเพียงตนเดียวที่ทำให้ทั้งฝ่ายที่ราบเคลื่อนไหวได้”
ดันทาเลี่ยนชี้ไปที่เธอ
หัวหน้าของฝ่ายที่ราบ ผู้ชิงชังฝ่ายภูเขามากที่สุด
“มีแค่ท่านคนเดียวเท่านั้นแหละ บาร์บาทอส”
“…….”
เธอเพิ่งตระหนักได้ว่า ตัวเองถูกดันเข้าไปติดมุม
จากผู้ต้องสงสัยทั้ง 32 ในตอนแรก ต่อมาไม่นานเหลือ 14 และก็ตัดออกออกไปจนเหลือลูกศรที่ชี้มาทางเธอเพียงคนเดียว สถานการณ์เปลี่ยนไปได้หากฝ่ายที่ราบเป็นผู้ร้ายตัวจริง ก็มีแค่บาร์บาทอสเท่านั้นแหละที่เป็นคนต้นคิด
“……เฮะ”
เธอหัวเราะออกมา
บาร์บาทอสนั้นยังคงรู้สึกได้ว่า ดันทาเลี่ยนจะชนะการดวลครั้งนี้ ญาณหยั่งรู้ของเธอนั้นช่วยชีวิตเธอไว้นับครั้งไม่ถ้วน
แม้จะยังมีข้อคัดค้านเหลืออยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไร ในการโต้เถียงอันแสนสิ้นหวังนี้ สุดท้ายแล้วดันทาเลี่ยนจะจบลงด้วยชัยชนะอยู่ดี นั่นคือ สิ่งที่เธอคิด
บาร์บาทอสนั้นเฝ้าแสวงหาการต่อสู้ด้วยการเดิมพันเกียรติยศศักดิ์ศรีอยู่เสมอ
ในฐานะจอมมาร เกียรติยศนั้นคือ การที่พิชิตโลกมนุษย์ได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอจึงยืนอยู่แนวหน้าของพันธมิตรเสี้ยวจันทรา แม้จะพ่ายแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน เธอก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปด้วยเชื่อว่า เกียรติยศในท้ายที่สุดนั้นยังรอเธออยู่ปลายเส้นทาง มันไม่สำคัญเลยว่า จะจบลงที่ได้รับชัยชนะหรือความตาย
ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการต่อสู้เท่านั้น การต่อสู้อันทรงเกียรติ
แม้จะผ่านไป 2,000ปี เธอก็ยังไม่สามารถสัมผัสถึงความปรารถนาดังกล่าวได้ พันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยความขัดแย้งภายในครั้งแล้วครั้งเล่า
ไร้ซึ่งความภาคภูมิโดยสิ้นเชิง ความขี้ขลาดและหวาดกลัว ความอิจฉาและริษยากัน เหนือไปกว่านั้นคือ ความโง่เขลาที่มีอำนาจสูงสุด สหายศึกของเธอค่อยๆอ่อนล้าลง พวกเขาหันหลังให้และบางส่วนก็จากไป
มันยากสำหรับเธอที่จะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า
‘ถ้าหากเป็นเจ้าหมอนี่’
ปลายมุมปากบาร์บาทอสยกขึ้น
ถ้าหากชายคนนี้อยู่ฝั่งเดียวกับเธอ เธออาจจะได้รับมันทั้งหมด เธอสามารถทนได้อีก 2,000 ปีด้วยซ้ำ
ผิดกับตัวเธอที่ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณและญาณหยั่งรู้ ดันทาเลี่ยนนั้นจะช่วยสนับสนุนพันธมิตรเสี้ยวจันทราด้วยสติปัญญาและความมากเล่ห์เพทุบาย บางทีความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่อย่างมหาสงครามที่เธอเคยเฝ้าฝันมาตลอดอาจมาอยู่ตรงหน้าเธอก็เป็นได้
แต่ก่อนหน้านั้นต้องทดสอบเขาเป็นอย่างสุดท้ายก่อน
ลองทำลายข้อโต้แย้งนี้ดูสิ ข้าจะทดสอบว่า เจ้าคู่ควรต่อการสนับสนุนของจอมมารที่มีกองทัพนับหมื่นไหม
“พล่ามอะไรไร้สาระ!”
บาร์บาทอสสบถออกมา มีรอยยิ้มสุดสนุกปรากฏบนหน้าของเธอ
“ข้อสมมุติฐานของแกนั่น มันตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ฝ่ายที่ราบนั้นเป็นผู้บงการ! โธ่เอ๊ย! แม้ฝ่ายภูเขากับฝ่ายที่ราบจะไม่ลงรอยกัน แต่ก็ยังมีผู้ต้องสงสัยเหลือ 6คนไง! รวมข้าไปด้วยก็ยังมีเหลือ 6คน!”
เธอโบกมือ เสียงกร่อบแกร่บดังขึ้นอีกครั้ง รายชื่อของฝ่ายที่ราบทั้งหมดถูกขีดฆ่าชื่อ เหลือแค่บาร์บาทอสที่ยังอยู่
“ข้าขอชมเจ้าจากใจจริงเลยที่สามารถลดผู้ต้องสงสัยจาก32ให้เหลือ6ได้!
แต่ถึงอย่างนั้น แล้วเจ้าจะกาหัวว่า เป็นข้าจาก 6 นั่นได้อย่างไร?
ยังมีฝ่ายที่เป็นกลางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอีกด้วย มันมีโอกาสที่หนึ่งในนั้นจะทิ้งรอยไว้บนอกของริฟ เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างฝ่ายภูเขาและฝ่ายที่ราบด้วยไม่ใช่รึไง”
เธอกำหมัด
“นอกเหนือจาก 6 ผู้ต้องสงสัย ยังมีคนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าเบเลี่ยล นั่นคือ ลำดับที่70 ซีเร่! (Rank 70 Seere)
อย่างที่เจ้าเคยบอกไว้ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปทำ ‘สิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนน่าเหนื่อยหน่าย’ มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่จะมาพึ่งพาแผนเพื่อคุกคามผู้แข็งแกร่ง
ดังนั้นแล้ว นี่แหละเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับอะไรบางอย่างจากการฉวยโอกาสสร้างความร้าวฉานกันระหว่างเจ้า กับเบเลี่ยล ยิ่งไปกว่านั้น!”
บาร์บาทอสชี้นิ้วไปบนสุดของรายชื่อ
“หัวหน้าของฝ่ายกองกำลังเป็นกลาง ลำดับที่ 5 มาร์บาส(Rank 5 Marbas)
ตาแก่นั่นไม่ชอบทั้งฝั่งภูเขาและทั้งฝั่งที่ราบมาเนิ่นนานแล้ว หากเป็นชายแก่คนนั้นคงไม่ลังเลที่จะจัดฉากใส่ร้ายฝ่ายภูเขาโดยไม่ต้องมีหลักฐานด้วยซ้ำ! เขาจะไปสนใจอะไรทำไมล่ะ! ก็ในเมื่อเขาแค่อยู่เฉยๆฝ่ายเป็นกลางก็แข็งแกร่งขึ้นในขณะที่อีกสองฝักฝ่ายมัวแต่ยุ่งวุ่นกับการตีกันเองน่ะ!”
เธอยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
ดันทาเลี่ยนตอนนี้ตรรกะอยู่สองอย่าง
‘ไม่มีเหตุผลที่ระดับสูงๆนั้นจะมาจัดฉากให้ร้ายเบเลี่ยล’
และ
‘ไม่มีเหตุผลที่ระดับต่ำๆนั้นจะคุกคามทำร้ายฝ่ายภูเขา’
เมื่อมันออกมาในรูปนี้ แม้แต่ลำดับ 70 ซีเร่ก็อยู่ในกรณีหลัง ส่วนลำดับ 5 มาร์บอสเองก็ด้วย รวมถึงบาร์บาทอสอย่างน้อยก็ยังมีเหลือ 3 ผู้ต้องสงสัย
“แล้วทำไมถึงเป็นข้า บาร์บาทอสเล่า ทั้งที่ยังมีผู้ต้องสงสัยอื่นอยู่!?”
ความตื่นเต้นของเธอนั้นแทบท่วมทะลักออกมา
“เจ้าคิดว่า จะเอาชนะข้าได้รึไง!?”
หัวใจของเธอนั้นเต้นเสียงดัง
“แสดงศักยภาพของเจ้าออกมาซะ!!”
น้ำเสียงของเธอสะท้อนผ่านห้องโถงอันกว้างใหญ่ สะท้อนดังไปจนถึงเพดานที่สูง เดธไน้ท์ทั้ง 500 ตน ที่รับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นของผู้เป็นเจ้านายจึงหอนขึ้น พวกเขากำสลับคลายมือราวกับอยากจะขยี้สารเลวผู้ยโสโอหังให้แหลกคามือ ในทันทีที่ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย
วังของจอมมารบาร์บาทอสนั้นเต็มไปด้วยความกระหายเลือด พอตัวเธอเองนั้นเริ่มเครื่องติดขึ้นมา ประสาทสัมผัสรับรู้ก็จดจ่ออยู่ที่สิ่งๆเดียว นั่นคือ ริมฝีปากของดันทาเลี่ยน
เขาจะหักล้างเจ้าสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน?
ไม่สิ แม้มันจะเป็นไปได้ก็ตาม แต่เขาจะหักล้างมันได้ยังไงล่ะ ด้วยวิธีไหนกัน?
ริมฝีปากของเขาขยับ
“ยังมีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เรามองข้ามไป มันเป็นความจริงที่สำคัญมากเสียด้วย”
น้ำเสียงสงบแผ่ออกไปในวังจอมมาร
“ต่อคำถามที่ว่า ใครคือ ผู้ฆ่าริฟ”
“…….”
บาร์บาทอสนั้นแน่นิ่งไป
“อีกทั้งคำถามว่า สัญลักษณ์บนศพของริฟนั้นมีขึ้นเมื่อไหร่ เพราะเมื่อพบศพแล้วก็มีเวทย์ที่ร่ายไว้เพื่อป้องกันสัตว์และแมลงมากิน ผู้ต้องสงสัยนั้นได้ร่ายเวทย์แบบเดียวกันไว้รอบข้างเช่นเดียวกับที่ร่ายใส่ศพด้วย”
เธอยืนนิ่ง และคิดในขณะที่ยังมองริมฝีปากนั่นขยับไม่หยุด
อ่า
้ข้าเข้าใจแล้ว
มันเคยเป็นเช่นนั้นเอง
“ใครกันที่ฆ่าริฟแล้วร่ายเวทย์นั่น? มันง่ายมาก แทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ในปาร์ตี้นักผจญภัยของเขา มีสองคนที่หนีรอดไปได้ ริฟและนักเวทย์ที่รู้ที่มา นักเวทย์คนนั้นฆ่าริฟและทำสัญลักษณ์บนศพของเขา ทั้งยังร่ายเวทย์รอบๆร่างอีก”
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นี่คือ การต่อสู้ที่แท้จริงที่เธอตามหามาตลอด 2,000 ปี
บทสรุปของทุกสิ่งที่เธอต้องการ
“คำถามต่อไป นักเวทย์คนนั้นเป็นใคร? ผมพยายามหาข้อมูลจากสมาคมนักผจญภัยในเมืองที่ริฟพักอยู่ แต่กลับไม่ปรากฏถึงข้อมูลนักเวทย์ที่ริฟจ้างในเอกสารเลย พวกเขาไม่ได้เซ็นสัญญากับหอคอยนักเวทย์ การมีตัวตนอยู่ของบุคคลนั้นจึงมีกลิ่นน่าสงสัยเหม็นโฉ่”
แม้ที่นี่จะไม่ใช่สมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยเหล็กคมและเลือดที่สาดกระจาย เธอจะได้ประสบการณ์แบบนั้นจากที่นี่อย่างนั้นหรือ?
“นักเวทย์ที่ดูเหมือนกับเป็นนักเวทย์สี่วงเวทย์ หรือพูดสั้นๆว่า เป็นนักเวทย์ระดับสูง ปัญหาคือ สีของมานานักเวทย์คนนั้นเป็นสีดำ เมื่อหันมาดูผู้ต้องสงสัยทั้ง 6 ราย อาจจะเป็นไปได้ว่า ผู้ต้องสงสัยอาจเป็นจอมมารที่ยังมีตัวตนอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ซึ่งมันก็ง่ายมากที่จะหาข้อมูล ทั้งตัวพวกเขาและข้ารับใช้”
เธอเชื่อว่า มันผ่านมานานมากแล้ว
“ในหมู่พวกเขา มีราว170คนที่เป็นนักเวทย์ 21คนนั้นเป็นนักเวทย์ระดับสูงกว่า นักเวทย์ระดับสี่วงเวทย์
และนอกจากนั้นมีเพียง 3 คนที่มีมานาสีดำ
พอรายชื่อนี้มันน้อยลงก็จริงแต่ก็ยังมีปัญหาอยู่อีกอย่าง ทั้งสามนั้นไม่ใช่มนุษย์ นักเวทย์ที่อยู่กับริฟนั้นชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัยว่าเป็นมนุษย์เพศหญิง แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน?
หากเราเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้ล่ะ อ่า”
เธอเชื่อว่า ตัวเธอเองนั้นอดทนได้ดีพอสมควร
“คนๆนั้นใช้เวทย์ปลอมแปลง เวทย์ปลอมแปลงนั้นเป็นเวทย์ที่สูงกว่าระดับเจ็ดวงเวทย์ ฮ่าช์! แค่นั้นไง ทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น จาก170นักเวทย์ เหลือเพียง 3 คนที่เหนือกว่าระดับ หกวง”
เธอไม่เคยมีเพื่อนที่สามารถพูดคุยได้อย่างสบายใจมาก่อนเลย เธอนั้นต้องอยู่ฝ่าไปท่ามกลางการสาดโคลนและความขัดแย้งทางการเมืองในขณะที่นำกองกำลังฝ่ายก็เริ่มเสื่อมถอย
เธอย้อนระลึกถึงวันเวลาพวกนั้นที่ผ่านไปแล้ว บาร์บาทอสมองไปยังชายตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“หลังจากที่เหลือเพียง 3 คน หนึ่งในนั้นเป็น อาร์คเมจที่มีมานาสีดำ”
ดันทาเลี่ยนยิ้ม
“ท่านนั่นเอง”
เงียบเชียบ
ภาวะอันนิ่งงันไหลทั่ววังจอมมาร
ดันทาเลี่ยนไม่เห็นสีหน้าของบาร์บาทอสอีกต่อไป เธอก้มหน้าลงโดยที่เขาไม่ทันสังเกต
เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว เวลาผ่านไปสักพักก่อนที่เธอจะเริ่มขยับมือขวาอย่างเชื่องช้า
5 ชื่อที่เหลือถูกขีดฆ่าทิ้ง
ลำดับ 8 บาร์บาทอส
มีเพียงชื่อของเธอเท่านั้นที่ยังคงอยู่
“ฟิ่ววว”
ดันทาเลี่ยนถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาสามารถหักล้างข้อโต้แย้งที่สามและเป็นข้อโต้แย้งสุดท้ายลงได้ บางสิ่งที่คล้ายกับอาการหลังจากออกกำลังกายอย่างหนักได้แพร่ออกไปทั่วทั้งร่างกาย
แค่คิดถึงภาพของ เดธไน้ท์ แค่คิดถึงภาพว่า มอนสเตอร์ระดับแร๊ง A จำนวน 12 ตัว จะช่วยเขาได้มากขนาดไหน มันก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้แล้ว
“เอาล่ะ เกิดอะไรขึ้นน่ะ เห็นเงียบมาก่อนหน้านี้แล้ว ข้าคิดไว้บ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดออกทั้งหมดในทันทีหรอกนะ”
“…….”
“ดังนั้นไม่ต้องให้มากขนาดนั้นก็ได้ ฮ่าฮ่า เอาจริงๆนะ เดธไน้ท์ 12 ตัวนี่ออกจะหือ……? บาร์บาทอส?”
จู่ๆดันทาเลี่ยนก็หยุดไป หัวของเธอยังคงก้มอยู่ บาร์บาทอสนั้นเข้ามาหาเขาทีละก้าวทีละก้าว แทนที่จะไต่ถามว่าเขาทำผิดอะไร เขากลับพูดไม่ออก เธอยังคงเดินเข้ามาใกล้เขา
และในที่สุดบาร์บาทอสก็มายืนตรงหน้า
“…….”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ท่านต้องการที่จะสู้กับ……ห้ะ?”
มือเล็กๆของเธอนั้นจับหัวดันทาเลี่ยนไว้
“⎯⎯อืมอืมม!?”
เพียงชั่วพริบตา เธอดึงหัวของเขาลงมา แล้วตอนนั้นเองที่เธอเขย่งเท้าขึ้น ความสูงต่างระดับหายไปในพริบตา ระยะที่ห่างระหว่างกันถูกกำจัดทิ้ง ริมฝีปากต่อริมฝีปากสัมผัสกัน
ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ บาร์บาทอสหลับตาของเธอ เวลานั้นไหลผ่านไปไม่นาน มือของเธอยังคงประคองหัวของเขาอยู่ เธอถอนริมฝีปากกลับมาและกำลังยิ้ม
“แกรู้ไหม? ว่าแกนี่มันโคตรของโคตรจะเท่เลยว่ะ”
ก่อนที่เขาจะให้คำตอบอะไรกลับไป เธอก็ชิงริมฝีปากของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นดีพคิส
ที่แม้แต่เดธไน้ท์ยังไม่อยากจะเห็นเจ้านายของตนมีพฤติกรรมน่าอาย จึงได้แต่หันหัวไปทางอื่น ภายในวังที่กว้างใหญ่ของจอมมาร มีเสียงชายผู้หนึ่งร้องครางออกมาแผ่วเบา