บทที่ 066 – สองแผนร้าย(7)
บทที่ 066 – สองแผนร้าย(7)
เขาจับขวดไวน์ตามแต่ที่เขาต้องการแล้วรินไวน์ลงไป ดวงตาของบาร์บาทอสนั้นเบิกกว้างขึ้น
“เฮ้ยนี่ เฮ้!”
“ไวน์น่ะมีไว้เพื่อความสุขนะ ทำไมถึงปล่อยให้วิธีการถือและการเทมาทำให้เสียเรื่องด้วยล่ะ? ชีวิตจะเหี่ยวแห้งเพราะเธอเอาแต่กังวลกับเรื่องแบบนั้นน่ะแหละ”
“นี่แหละน้า ทำไมพวกผู้ชายมันไม่ได้เรื่อง! ทุกอย่างมันมีกฏที่จะสามารถเพลิดเพลินกับมันอย่างถูกต้องทั้งนั้น!”
“คร้าบ คร้าบ”
ดันทาเลี่ยนตอบไปตามมารยาท บาร์บาทอสเม้มริมฝีปากราวกับจำยอมกับวิธีการที่เขาเท มันช่วยไม่ได้นี่
มันมีโอกาสที่แต่ละหยดที่มีค่าดั่งทองจะหกหากเธอไปขยับมันตอนนี้ หลังจากนั้นดันทาเลี่ยนก็รินให้กับแก้วของตนด้วย
“เชียร์ส”
“ช-เชียร์ส”
กริ้ง
เสียงของแก้วไวน์ที่ทำจากคริสตัลส่งเสียงกระทบกัน เมื่อเทียบกับดันทาเลี่ยนที่ขยับแก้วไปมา ก่อนจะดื่มลงไปแล้ว บาร์บาทอสกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิ้วเดียว เธอจ้องมองดันทาเลี่ยนที่ไม่แม้แต่จะสัมผัสถึงกลิ่นหอมอย่างถูกต้อง แล้วกระดกดื่มลงไปราวกับบาเล่อไวน์นั้นเป็นเบียร์
“ฮ่าชช์”
“มัน……ดีไหม?”
“มันดี ดีสุดๆไปเลย หืมม จริงๆแล้วข้าไม่ได้ชอบไวน์เป็นการส่วนตัวนะ แต่เจ้านี่มันสุดยอดไปเลย”
ดวงตาสีทองของทองเป็นประกายระยิบ
“แล้วรสชาติมันเป็นยังไงล่ะ? หา? ข้ากำลังถามเจ้าเรื่องรสชาตินะ อธิบายมาให้ละเอียด ละเอียดที่สุดเท่าที่จะเล่าได้เลย”
“……ท่านก็แค่ดื่มเข้าไปน่า”
“นะ-นั่นสิ.”
บาร์บาทอสนั้นสูดหายใจเข้าลึก ฟู่ว ฟู่ เธอพยายามสะกดจิตตัวเอง นี่มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าไวน์แดง มันไม่เป็นอะไรมากไปกว่าของเหลวสีแดง…….
เธอบ่นกับตัวเองเพื่อให้สงบใจลงได้
ในขณะที่ดันทาเลี่ยนมองเธอเหมือนเห็นคนบ้า
ในที่สุด
ทุ่งหญ้าไสว ไวน์ไหลลง ปลายลิ้นและริมฝีปากของเธอแตะสัมผัสของเหลว
“……!?”
เวลานั้นเอง ที่บาร์บาทอสเข้าใจแล้วว่า เธอมีชีวิตอยู่เพื่อชั่วขณะนี้
เธอยอมรับความจริงนั่น จวบจนถึงบัดนี้เธอได้กักขังตัวเองอยู่ในห้องเล็กๆที่รู้จักกันว่า กระโหลกศีรษะ ไม่เพียงแต่ที่นั่นจะมืด แต่เธอยังเห็นแสงที่สาดส่องลงมาผ่านเบ้าตา แต่นั่นมันอะไรกันน่ะ?
บาร์บาทอสพึมพัมกับตัวเองจากที่อันห่างไกล จากดินแดนแห่งจิตสำนึก ไม่สิ หรือเทพเจ้ากำลังกระซิบกับเธออยู่จากที่ไกลๆ
นั่นมันอะไรกันน่ะ? นั่นมันแสงไม่ใช่หรือ? ช้าก่อน ทำไมถึงมีแสงมาจากที่ตรงนั้นได้ล่ะ?
ช่างน่าประหลาดใจ แสงนั้นกลับยิ่งกว่าสว่างขึ้นเรื่อยๆ!
‘อะ, อ๊าาาาาา’
บาร์บาทอสนั้นเป็นประจักษ์พยานแห่งความเหนือล้ำเกินจินตนาการ เธอกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่กำลังเคลื่อนตัวไป
เธอกลับเป็นพวกชนเผ่าที่แท้จริง ที่ได้ควบขี่ม้าอย่างไม่ลังเลสงสัย เคลื่อนผ่านภูมิประเทศอย่างเร็วรี่ สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของโลกที่กระเด้งขึ้นมา การกระตุกกระตุ้นม้าที่ไม่มีอยู่จริง
ดึงสายบังเหียนที่ไม่อยู่ให้แน่น แล้วยังคงควบตามไปยังที่ราบอย่างนุ่มนวลที่ทอดตัวยาวอยู่เบื้องหน้าเธอ ส่วนท้ายของม้ากลับหายไปเหลือแต่เพียงหัว เห็นแต่เพียงแผงคอที่ยังโบกพริ้ว…….
“ฮึก,อื้ออื้ออ ฮึก”
การไถ่บาป การไถ่บาปของจริงเริ่มจากตรงนี้
ดันทาเลี่ยนถึงกับตื่นตระหนก
“กะ-เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?”
“ข้าดีใจที่ ยังมีชีวิตอยู่ อืออฮือออ ทุกๆวันที่ผ่านมามันยากลำบากมาก เป็นสองพันปีที่เหนื่อยและทรมาน ฮืออ แต่ข้าดีใจ ข้าดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่”
เธอปาดน้ำตาเช่นเดียวกับที่ยังคงดื่มไวน์ต่อ จนดูคล้ายกับว่า เธอชดเชยน้ำที่ไหลออกมาจากตาด้วยไวน์นั้น มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เธอดมรับกลิ่นของมัน ม้วนไวน์ไว้บนลิ้น รับถึงสัมผัสของของเหลวก่อนจะไหลลงคอ
เธอทำให้แน่ใจว่า ทุกขั้นตอนที่จำเป็นในการลิ้มชิมรสไวน์นั้นครบถ้วนในทุกจิบ บาร์บาทอสพูดด้วยน้ำตาออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ดันทาเลี่ยนรู้สึกเหมือนเห็นทุ่งจากภาพยุคโพสโมเดิร์นที่ปรากฏตรงหน้า
“ส่งมันมา”
หลังจากแก้วของเธอว่างเปล่าในชั่วพริบตา บาร์บาทอสก็ชิงขวดไวน์ไป เธอวางนิ้วโป้งขวา ไว้ที่ร่องขวด
ด้วยการล็อคขวดไว้ในตำแหน่งนั้นทำให้สามารถเธอสามารถรินไวน์ลงสู่แก้วไวน์ในมือซ้ายได้ หลังจากรินอย่างไหลลื่น เธอก็ยกขวดอันหรูหรานั้นโดยไม่ให้กระเซ็นแม้สักหยดเดียว เธอได้ดื่มตามมารยาทโดยไม่มีความวิตกกังวลใดอีก
ภาพฉากนั้นเกิดขึ้นซ้ำๆ
ร้องไห้,รินไวน์และดื่ม
“ฮึก,ฮึก.”
ริน
“อืออือฮืออ,มันดี, มันดีมากๆ, ฟัค.”
ริน
ดันทาเลี่ยนลืมที่จะดื่มไวน์ตัวเอง เด็กสาวที่ดูเหมือนอายุ12ปี กำลังรินไวน์ให้ตัวเองแล้วก็ร้องไห้ไปด้วย มันช่างเป็นสิ่งที่ดูดี ดูสมจริง ดูแย่ ออกจะบ้าหน่อยๆ
ดันทาเลี่ยนรู้ว่า จอมมารบาร์บาทอสนั้นมีชื่อเสียงมากเรื่องการชื่นชอบแอลกฮออล์ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็เกินกว่าที่จินตนาการได้
เขาเปิดปากถามขึ้นมา
“ข้ามีคำถาม ทำไมท่านถึงต้องพูดว่า ฟัค อยู่ตลอดเวลาที่รู้สึกว่า มันดีด้วยล่ะ?”
“ฟืดดด ก็มันดีจริงๆนี่หว่า ทุกครั้งที่ข้าดื่มมันลงไปนะ มันก็จะหายไปจากขวด ซึ่งความจริงแล้ว แม่งโคตรของโคตรจะล้อเลียนกันเลย อึก
ว่ากันว่า ไม่ควรคุยอะไรกับใครดื่มบาเลอโดยไม่เคล้าด้วยน้ำตา”
ที่มาของไอ้คำพูดที่ว่านั่น ช่างน่าสงสัยเหลือเกิน แต่ดันทาเลี่ยนก็ตัดสินใจที่จะพูดถึงเป้าหมายของตัวเอง หลังจากที่ก่อนหน้าเวลาได้ไหลผ่านไปนานเหลือเกินเพราะการแกล้งแหย่บาร์บาทอสเล่นนั้นช่างน่าสนุกอย่างไม่น่าเชื่อเลย
“อย่างนั้นเองหรือ ? ข้ายังคงไม่สามารถพูดกับท่านได้สินะ?”
ดันทาเลี่ยนบ่นกับตัวเองราวกับเป็นปัญหาใหญ่
“เป็นปัญหาซะแล้วสิ”
“อุฮุฮุ ปัญหาอะไร เจ้าหนู?”
“ข้ามาที่นี่เพื่อคุยกับท่านเรื่องสัญลักษณ์ที่ท่านน่ะทิ้งไว้บนศพของริฟ ท่านบอกเองไม่ใช่เหรอว่า ข้าไม่สามารถคุยได้ถ้ายังไม่หลั่งน้ำตาให้กับไวน์บาเลอก่อน ข้าเลยคิดว่า เป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะ”
ขณะนั้นเอง
การที่บาร์บาทอสนั้นไม่ได้ทำแก้วไวน์ในมือตกนั้นไม่ได้แปลว่า สิ่งที่ได้ยินนั้นมันไม่มีผลกระทบต่อเธอ หรือแกล้งทำเป็นไม่รับไม่รู้
เธอนั้นไม่สามารถตอบสนองอะไรได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่า ร่างกายของเธอถูกแช่แข็งไปโดยสมบูรณ์นับแต่แต่ปลายมือที่ถือแก้วจนถึงริมฝีปาก
“……อ่า”
เธอดึงสถานการณ์กลับมาได้ทัน นิสัยและญาณหยั่งรู้ที่เธอลับคมมาเกือบสองพันปีได้บอกกับเธอว่า ตอนนี้เธอถูกซัดเข้าอย่างจัง มันเป็นการลอบโจมตีที่สมบูรณ์แบบ จะไม่ประทับใจได้อย่างไรเล่า?
ความมึนเมาในดวงตาสีทองหายไปแล้วกลายเป็นการจ้องของนางสิงโตแทน เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่บาร์บาทอสได้เปลี่ยนจากคนคลั่งไวน์กลายเป็นจอมมารลำดับ 8
หลังจากที่กลับมาขยับได้ตามเดิม เธอก็วนแก้วไวน์
“เพราะอย่างนั้นนายถึงได้นำ ไวน์เบเลอปี 505 มาด้วย”
แม้ประโยคนั้นจะไร้บริบท แต่ชายตรงหน้าเธอนั้นก็เข้าใจถึงความหมายทั้งหมดเป็นอย่างดี
“ถูกต้อง ถึงอย่างนั้น ฝ่าบาทก็เป็นจอมมารลำดับ 8 อยู่ดี ดังนั้นข้าจึงได้ลงทุนให้สูงพอ เพื่อที่จะได้ให้ท่านลดความระวังลง”
“ข้าว่า ข้าเริ่มจะเข้าใจเจ้าขึ้นมาแล้ว เจ้าวางแผนนับตั้งแต่โยนไวน์เบเลอขึ้นไปบนอากาศแล้ว เจ้าบังคับให้ข้านั้นให้แต่ความสนใจการกระทำเปิดเผยเบื้องหน้าของเจ้า”
เธอมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ? คนแบบไหนกันที่เอาของมาฝากด้วยการโยนขึ้นไปบนอากาศ?
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายให้คุณค่ามากกว่าสิ่งใดๆทั้งสิ้น
ใครกันที่จะโยนความปรารถนาทิ้งอย่างตั้งใจ โยนสิ่งที่เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าที่กว่าได้มาแสนจะยากเย็น มันมิเป็นการกระทำที่เกินเหตุและไม่อาจเข้าใจได้อย่างนั้นหรือ?
“ยิ่งไปกว่านั้น แกยังพูดเหมือนแกนั้นดูถูกเหล้าไวน์ด้วย แกสร้างความประทับใจได้ดี ไอ้ลูกกะหรี่ ไอ้ดันทาเลี่ยนผู้ไม่รู้อะไรเลยเรื่องเหล้า”
บาร์บาทอสหัวเราะคิกออกมา เธอกลับรู้สึกสดชื่นที่ไม่ต้องยั้งตัวเองไว้
“มาคิดๆดู มันก็ไม่เม้คเซ้นส์นั่นแหละ แกเป็นคนที่หาไวน์ขวดนี้มา แกจะไม่รู้ได้ยังไงกันว่า เจ้าสิ่งนี้มีคุณค่าแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นแกยังพร่ำบนเหมือนข้าเป็นคนขี้เหล้า ทั้งหมดนั่นก็เพื่อลวงให้ข้าลดความระวังลงสินะ
ฮื่ออ…… ฮืมมม เจ้านี่มันช่างเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่น่าประทับใจเสียจริง”
ดันทาเลี่ยนยักไหล่
“ข้าไม่ปฏิเสธ”
“จะโม้สักหน่อยก็ได้ เจ้าจัดการให้ข้าลดความระวังลงได้เชียวนะ เจ้าหนู
ตัวข้า,บาร์บาทอส,ลอร์ดแห่งเวทย์มนตร์ดำ,ราชนุกูลแห่งดวงวิญญาณนับพันดวง,นักฆ่าล้างมนุษย์
ในท้ายที่สุดแล้วตอนที่จู่ๆแกยกเรื่องศพริฟมาพูด ข้าก็ตัวแข็งนิ่งไปในทันที นั่นเป็นสิ่งที่ขอยอมรับเลยว่า ข้าทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ”
ดวงตาสีทองของเธอนั้นจดจ่ออยู่ที่ดันทาเลี่ยนสักพัก แววตาของเธอนั้นมันคล้ายกับสัตว์นักล่าที่กับกำลังจ้องคู่ต่อสู้ มันเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
“ดันทาเลี่ยน,จอมมารลำดับ 71 ที่ใครๆก็รู้ว่าอ่อนแอ นี่เจ้าเล่นละครมานานแค่ไหนกัน นับตั้งแต่แรกที่เข้ามาแล้วใช่ไหม? วิธีการที่เจ้าพูดกับข้าอย่างเป็นกันเองตอนนั้นก็เป็นการแสดงแต่แรกแล้วเรอะ?”
คำตักเตือนของเธอทำให้รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของดันทาเลี่ยนนั้นดูฝืน
“เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าความงดงามแล้ว การเสแสร้งและความสุภาพอันไร้สาระก็สลายไปในทันที”
คำพูดเหล่านั้นที่พูดกันยามที่พบกันตอนแรก
“นี่ บาร์บาทอส แต่ไวน์ที่ประทับบนริมฝีปากของท่านก็งดงามจริงไม่ใช่หรือไง?”
“โฮ่ ที่เจ้ากำลังจะพูดว่า ไวน์นี้มันเพียงพอที่จะช่วงชิงเวลานั้นไปจากข้าอย่างนั้นรึ”
บาร์บาทอสอึ้งเล็กน้อย
“แกพูดถูก แม้ข้าจะรู้เรื่องนี้แต่กลับทำอะไรไม่ได้แล้วปล่อยให้มันเกิดขึ้น
ฮาช์ แกนี่ไม่เพียงทำให้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยังทำให้ข้าน่ะยอมรับมันอย่างมีความสุขด้วย
แบบนั้นก็ได้ ข้าจะเฉลิมฉลองช่วงเวลานี้ให้เต็มเหนี่ยว มันช่างเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมเสียจริง”
เธอถือแก้วไวน์คริสตัลไว้
“ข้า,บาร์บาทอส ขอดื่มอวยพรให้เจ้า ดันทาเลี่ยน แด่ดันทาเลี่ยน”
“แด่ดันทาเลี่ยน”
เกร้ง
เสียงใสสะท้อนกังวาล
บาร์บาทอสนั้นกลืนไวในอึกเดียว จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย รสชาติของมันยังคงน่าตื่นใจ ก็ในเมื่อไวน์มันดีขนาดนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไรแย่ ถ้าจะยอมถูกหลอกสักครั้ง
เธอบอกกับตัวเองอย่างนั้น แม้เขาจะเอาไวน์คุณภาพสูงมาฝาก ดันทาเลี่ยนก็ยังคงเป็นคนหลอกเธออยู่ดี
แม้เธอจะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างหลังจากรู้ว่าทุกเป็นแค่แผน
เธอก็ยังรู้สึกว่าควรจะให้เขาพูดแบบเป็นกันเองต่อไป เธอกระตุ้นเตือนให้อย่ากังวลถึงไพมอน และพยายามเปิดใจต้อนรับการมาเยือนแม้จะถูกหลอกใช้และหักหลัง
ดันทาเลี่ยนนำไวน์ที่เลอค่าที่สุดในโลก นั่นเป็นสิ่งเดียวที่มีความหมาย
‘ต้องใช้สิ่งที่มีคุณค่าเท่านี้ถึงจะใช้หลอกท่านได้’
นี่มันไม่ใช่ความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเกินจะคาดฝันถึงหรืออย่างไร?
นี่มันเป็นการให้กำลังใจและความใจดีที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยไม่ใช่หรือ?
เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจึงดื่มไวน์อย่างมีความสุขหลังจากถูกหลอก
เธอดูหมิ่นคำเยินยอเพราะโดยมากแล้ว มันไม่ได้เป็นอะไรมากเกินไปกว่าคำลวง
แต่ดันทาเลี่ยนนั้นไม่ใช่ เขายืนประจันหน้าแล้วมองเธออย่างกล้าหาญ
เขาสำเร็จตามเป้าหมายของตนและยังเชิดชูเธอด้วย มันไม่ใช่การป้อยอกันไปมาของพวกสกปรก
แต่เป็นเหมือนนักดาบผู้ยอมรับแล้วว่า คู่ต่อสู้ตรงหน้านั้นคู่ควรต่อการดวลกันถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย ความเป็นญาติสาโลหิตกันจะสร้างขึ้นได้ในรูปแบบของนักรบเท่านั้น
ไม่เพียงแต่ดันทาเลี่ยนจะได้รับชัยชนะ แต่เขายังได้รับความชื่นชมจากคู่ต่อสู้ด้วย มันเป็นชัยชนะโดยแท้จริง
บาร์บาทอสยิ้ม
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นข้าล่ะ?”
“มันเป็นช่วงเวลาที่ท่านควรจะเพลิดเพลินไปกับไวน์ ไม่ใช่เหรอ?”
“ไอ้หนูนี่ ข้าเป็นคนที่ทนไม่ได้ถ้ามันคาใจ ถ้าแกไม่บอกข้า ข้าก็จะคิดวนอยู่อย่างนั้นตอนที่ดื่มเบเลอที่สุดยอดเนี่ยแหละ”
ดันทาเลี่ยนหัวเราะออกมา
“ก็ได้ เป็นปัญหาเสียจริง มันคงแย่มากหากเพื่อนข้าไม่สามารถเพลินไปกับของขวัญที่ข้าต้องทนเจ็บปวดกว่าจะได้มันมา”
“ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ก็รีบๆพูดมาเหอะน่า รีบตีฝีปากฉลาดๆของเจ้าได้แล้ว”
“หลังจากข้าดื่มนี่เสร็จนะ”
ดันทาเลี่ยนจิบไวน์ของตัวเอง เขาจงใจจะยั่วกวนอีกฝ่าย บาร์บาทอสเริ่มหงุดหงิดกับแทคติกชั้นต่ำแต่ก็ยังคงรออย่างเงียบๆ ในฐานะผู้แพ้ เธอไม่สามารถพูดอะไรได้กับผู้ชนะ
“อ้าาา อร่อยเหลือเกิน”
“ไอ่ หนู”
“โอเค โอเค บอกแล้วๆ”
ดันทาเลี่ยนหัวเราะออกมา
“ก็ตอนแรกน่ะ ทุกคนที่เข้ามาร่วมกันในราตรีวัลเพอกีสต่างเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งนั้น จนกระทั่งได้เวลา มันเป็นไปไม่ได้ที่คนที่ไม่ได้อยู่ในงานจะสามารถสนับสนุนปาร์ตี้ของริฟได้”
“ฟัค! ช่างแม่งเหอะ ข้าเข้าใจแล้ว”
รอยย่นปรากฏบนหน้าผากซีดๆของบาร์บาทอส
“แต่ตรงนั้นมีจอมมารถึง 32 ตนในคืนนั้น แล้วทำไมแกถึงคิดว่าเป็นข้าล่ะ?”
“มันง่ายมาก”