ตอนที่แล้วบทที่  055 –ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (9)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่  057 –ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (11)

บทที่  056 – ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (10)


บทที่  056 – ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (10)

“…….”

ตอนนี้ริฟไม่มีทางรู้เลยว่า ผู้คนตรงหน้านั้นมาจากไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้นั่นคือ ความจริงที่ว่า มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีรอดจากผู้ไล่ล่าทั้งร้อยคน

ความจริงที่ว่าเกราะของเขากำลังถ่วงให้เขาช้าลง

ความจริงที่ว่าเขาได้สูญเสียพละกำลังไปมากจนถึงตอนนี้

และในท้ายที่สุด นั่นหมายถึงว่า โอกาสที่เขาจะตายนั้นมีอย่างสูงลิ่ว

‘ควรทำยังไงดี? ควรทำยังไงดี?’

ริฟยกแขนขวาลงปลายหอกจ่อกับพื้น ความปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหนเพราะความตื่นเต้นจากการต่อสู้มากลบไว้ ทั้งร่างของเขานั้นร้องครางด้วยความอ่อนล้า

“หัวหน้า! เกิดอะไรขึ้น!?”

“ไอ้พวกห่าที่อยู่ตรงนั้นนั่นมันใครกัน!?”

นักผจญภัยคนอื่นวิ่งมาสมทบกับริฟ พวกเขานั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่แหกหน่วยออกมาเพราะคำสั่งของริฟ บางคนในหมู่พวกเขายังคงก่นด่าริฟอยู่ที่ทำตัวไร้ความรับผิดชอบแล้วทำลายกระบวนรบ

ริฟมองไปรอบข้างด้วยแววตาว่างเปล่า

“…….”

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและกระสับกระส่าย แนวขบวนนั้นพังลงทันทีเมื่อมีนักผจญภัยแยกตัวออกมา และก็อบลินก็กระโดดเข้าไปในช่องเปิดพวกนั้น

คนนับร้อยค่อยๆสร้างทางที่เต็มไปด้วยเลือดเข้าหาพวกเขา การสร้างวงล้อมที่ริฟต้องการจะเลี่ยงมากที่สุดได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็อบลินมาจากด้านหลัง ชาวบ้านมาจากทั้งสองข้างและคนอีกนับร้อยที่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้

“……สี่เหลี่ยม”

เขาพูดบ่นอย่างอ่อนล้า

“ตั้งแถวสี่เหลี่ยม…….”

“ตั้งรูปแถวสี่เหลี่ยม!”

หนึ่งในนักผจญภัยอาวุโสได้กระจายในสิ่งที่หัวหน้าพูดด้วยการตะโกนออกมา คำสั่งได้กระจายไปทั้งกลุ่มทันที มีนักผจญภัย 30 คนและกองทหารอาสาที่เหลือได้ตั้งรูปขบวนสี่เหลี่ยมโดยมีริฟอยู่ตรงกลาง

ยังมีทหารอาสาบางส่วนที่ไม่สามารถจัดการกับก็อบลินที่โถมโจมตีเข้ามาไม่หยุดและทิ้งตำแหน่งไปร่วมกับริฟ

“ขยับไป ขยับ!”

“แม่งเอ้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!?”

แต่ถึงอย่างนั้นมีเพิ่มเข้ามาเพียง 5 คนที่ร่วมสร้างขบวนสี่เหลี่ยมได้ ที่เหลือนั้นล้มและตายหลังจากที่สหายศึกต่างทิ้งพวกเขา และแนวขบวนเดิมก็แตกสลายไป แน่นอนว่า ทั้งริฟและคนอื่นๆต่างได้ยินเสียงสบถด่าริฟเมื่อพวกเขากำลังจะตาย

“ริฟ,ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”

“มึง มันไอ้,อั่ก! อ๊ากกกกกก!”

ในท้ายที่สุดอีกครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่ไม่สามารถหนีไป หรือแก้รูปขบวนได้ก็ล้มลงกับพื้นดินอย่างไร้กำลัง สิ่งมีชีวิตที่เหมือนแมลงสาบต่างรุมทึ้งซากศพ พวกมันฉีกเนื้อของพวกเขาทำให้เลือดกระจายไปทั่วทุกที่ บางคนกลืนน้ำลายขณะที่เห็นภาพเหล่านั้น

พวกเขาได้สร้างแนวรบสำหรับป้องกัน แต่กำลังใจในขณะนี้กลับช่างน่าหัวเราะ

“หัวหน้า,นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น……!?”

“ทำไมไอ้พวกชาวบ้านห่านั่นถึงโจมตีพวกเรา!? แล้วมันจะคอยเอาแต่ดูเราไปถึงไหน!? หัวหน้า! ถ้ายังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป!? พวกเราได้ตายหมดแน่!”

“พี่ชาย!”

ริฟไม่ตอบกลับอะไรพวกเขาเลย

นักเวทย์ที่ยืนอยู่ตรงกลางของรูปขบวนป้องกัน นักเวทย์ยังคงยืนอยู่แนวหลังมาตลอดนับตั้งแต่ที่กลุ่มแรกเข้ากระแทกกับก็อบลิน รวมถึงระหว่างที่ต่อสู้กับพวกมันด้วย เธอนั้นสามารถหนีกลับไปรวมกลุ่มใหม่ได้โดยง่าย

ผู้หญิงคนนั้น ผู้ที่ดูเหมือนใจเธอลอยไปอยู่กับทุ่งข้าวโพดอยู่เสมอ ยังสามารถตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่เธอเห็นตรงหน้าด้วยดวงตาคม

‘ยัยอ่อนโลกนี่คือความหวังสุดท้ายของพวกเราแล้ว’

ริฟขบฟัน เขาเก็บนักเวทย์ไว้เพราะต้องการให้จัดการกับโกเลม แต่ขอบคุณสำหรับการตัดสินใจนั้น นักเวทย์เลยไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ความสามารถของเธอนั้นยังไม่กระจ่างชัดแต่เธอคงจะใช้เวทย์ทรงพลังโดยที่ไม่ต้องยั้ง

เขาสามารถใช้เวทย์ของเธอเหมือนเป็น ‘เขี้ยว’ เล็งไปที่จุดที่อ่อนที่สุดของวงล้อม และในขณะที่ศัตรูกำลังตื่นตระหนกกับเวทย์มนตร์ที่มาไม่ทันตั้งตัว เขาจะฉวยโอกาสนั้นเพื่อวิ่งฝ่าวงล้อมไป

‘แม่งเอ้ย นี่จะได้ผลไหมวะ?’

ไม่มีเวลาให้พักแล้ว ก็อบลินมาใกล้เกือบจะถึงตัวพวกเขา รูปแบบกระบวนทัพตั้งรับนั้นสามารถป้องกันการจู่โจมในตอนนี้ได้ แต่35คนไม่สามารถอดทนได้นาน เขาต้องทำอะไรสักอย่างไม่ว่าแผนนั้นจะใช้ได้หรือไม่

ริฟถามคำถามกับนักเวทย์

“เฮ้ยนี่ เธอใช้เวทย์ที่ยิงแรงที่สุดได้ไหม?”

“อืมม ฉันก็มีนะแต่มันยากมากที่จะออกจากสถานการณ์นี้ได้ถ้าฉันใช้มัน”

นักเวทย์ตอบตามสบายราวกับไม่ใช่ปัญหาของเธอ

“ไม่ได้อยากโม้หรอกนะ แต่ฉันน่ะเชี่ยวชาญการใช้เวทย์ดวลตัวต่อตัวมากกว่า ดังนั้นฉันเลยไม่รู้จักเวทย์พื้นที่ขนาดใหญ่(AOE:Area Of Effect)เลยสักเวทย์

นั่นสินะ ถ้าคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว นายต้องมีระดับห้าวงเวททย์ถึงจะสามารถใช้เวทย์พื้นที่ขนาดใหญ่แบบนั้นได้”

“แม่งเอ้ย หยุดพูดหมาๆแล้วเตรียมร่ายมันซะ”

“ฉันทำไปแล้ว ฉันร่ายจบเสร็จไปแล้วตั้งแต่ที่นายหยุดวิ่งเอาหางจุกตูดเหมือนหมา”

ริฟมองผู้หญิงคนนั้นด้วยความประหลาดใจ

“นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่ได้ยินมาเลย”

“เฮ่อออ มันเป็นคอมม่อนเซ็นส์ที่จะต้องคิดล่วงหน้าหนึ่งถึงสองก้าวน่ะ นายนักผจญภัยโง่ นักเวทย์น่ะฉลาดกว่าคนอย่างนายอยู่แล้ว และฉันก็เป็นด้านฉลาดของพวกเขาด้วย กล่าวโดยสรุปคือ ฉันนั้นฉลาดกว่านาย เรื่องนี้สำคัญมากนะ อยากจะให้ขีดเส้นใต้ ย้ำไว้ด้วย”

“ห่าเอ้ย”

นังนักเวทย์ห่านี่มันพูดมากขนาดนี้เลยหรือ? ริฟขมวดคิ้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว

เขาเหลือบมองหาจุดที่อ่อนแอที่สุดของวงล้อมที่มีกลุ่มคนราว 30 คน สามารถพุ่งผ่านไปได้ นักเวทย์ยังคงพูดกับตัวเองอยู่

“ด้วยความยอดเยี่ยมของฉัน ฉันคิดว่า สมควรโค้งคำนับให้กับสุภาพบุรุษที่เป็นผู้นำมอนสเตอร์พวกนั้น เขาสามารถใช้ประโยชน์จากมนุษย์ได้ถึงแก่นเหง้า เขาจงใจทำให้สองหมู่บ้านที่ไม่เข้าร่วมกับเรานั้นน่าสงสัย เขาทำให้พวกเราเชื่อว่า พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมกับเราเพราะเป็นผู้ทรยศ”

เธอดูตื่นเต้นราวกับได้พบสิ่งที่น่าสนใจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย ดวงตาของเธอเป็นประกายใต้แพขนตาที่ยาว

“ความจริงกลับตรงข้ามกัน พวกคนทรยศนั้นต่างหากที่เข้าร่วมกับเราอย่างแข็งขันแล้วตั้งเป้าไปที่ทำลายทุกอย่างจากภายใน ถ้าทำให้ทั้ง4หมู่บ้านเข้าร่วม ก็จะถูกสงสัยทันที แต่ เขาฉลาดมากพอที่จะแบ่งให้ สองหมู่บ้านเข้าร่วม และอีกสองหมู่บ้านไม่เข้าร่วม……หืมม นี่มันจิตวิทยามาก จิตวิทยาสุดๆไปเลย”

“หุบปากไปเหอะ แกทำข้าประสาทเสีย!”

“แกต่างหากควรหุบปากไป ลมหายใจก็เหม็น ลมหายใจเหม็นมากเสียจนฉันไม่รู้ว่าแกเป็นมนุษย์หรือกองขยะกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมเขาถึงไม่ใช้โกเลมของเขา? นั่นคือสิ่งที่ฉันสงสัย จริงอยู่พลเดินเท้ามนุษย์นั้นอาจจะแข็งแกร่งแต่การใช้โกเลมจัดการก็เพียงพอแล้วนี่”

ริฟยอมแพ้กับการสั่งให้นักเวทย์หญิงหุบปาก

เขาหาจุดอ่อนของวงล้อมไม่เจอเลย ไม่ว่าจะอยู่ด้านไหน พวกมันก็มีจำนวนมากที่กดดันเข้ามา มนุษย์ราว 200 คน ……ก็อบลินราว 300 ตัว

นักผจญภัยค่อยๆตายลงทีละคน หนึ่งในพวกเขานั้นหัวแตกหลังจากถูกหนังสติ๊กของก็อบลินยิงเข้า

“หัวหน้า! พวกเราทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!”

“พ-พี่ชาย!”

สมาชิกคนอื่นดูเหมือนตระหนักได้แล้วว่า ชาวบ้านที่เข้ามาจากด้านข้างไม่ใช่พันธมิตรกัน ไม่มีทางที่พันธมิตรจะดูกระหายเลือดแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นคนที่รู้ความจริงเรื่องนั้นก็จบชีวิตลง ทุกสิ่งนั้นมุ่งเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งจุดจบอย่างที่ใครบางคนได้กล่าวไว้

สุดท้ายแล้วริฟตัดสินใจเดิมพันด้วยการชี้ไปยังทิศทิศหนึ่ง

“สหายข้า! วิ่งไปทางนั้นหลังจากยิงเวทย์ออกไป! อย่าหยุดเด็ดขาด! ทิ้งไอ้พวกเร่ร่อนพวกนั้นแล้ววิ่งไป! เข้าใจไหม!?”

“ครับ หัวหน้า!”

“ยิงได้!”

ริฟตะโกนใส่ผู้หญิง ผู้หญิงคนนั้นที่ได้ร่ายเวทย์เตรียมไว้ก่อนที่เธอเขาจะพูดจบ

ลำแสงแห่งความมืได้ส่องสว่างออกมาจากปลายไม้เท้าของเธอเป็นเวลาเดียวกับที่เธอใช้มันกระแทกลงกับพื้น วงเวทย์เล็กๆกระจายตัวไปที่พื้นก่อนจะขยายวงกว้างคลุมทั้งกลุ่ม

“ชำระล้างคำสาปด้วยคำสาป”

ผู้หญิงคนนั้นกล่าวเพียงประโยคเดียวเพื่อใช้งานเวทย์ เสาไฟทั้ง 12 ต้นปรากฏขึ้นจากที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้

พอเธอยกคทาขึ้นและชี้ไปยังทิศทางดังกล่าว ลูกบอลไฟก็พุ่งไปตามทิศนั้นราวกับหินก้อนใหญ่ที่ยิงออกจากเครื่องยิงหิน ทั้งก็อบลินและมนุษย์ที่อยู่ในแนวนั้นตอบสนองไม่ทัน

“ห้ะ?”

ลูกบอลไฟที่ใหญ่เท่ากับขนาดตัวมนุษย์กลืนกินพวกเขา ในขณะที่พวกเขาพึ่งเริ่มแตกตื่น ลำไฟได้เร่งความเร็ว ทั้งก็อบลิน 30ตัวและมนุษย์ 10คน ถูกย่างสด ในทันที

ตอนนั้นเองที่วงล้อมบางลง

เวทย์ที่ร่ายออกมานั้นนั้นมีพลังมหาศาลกว่าที่คิดไว้ ก็อบลินหลายตัวกรีดร้องและวิ่งมั่วซั่วตามสัญชาตญาณแห่งความกลัวไฟ มนุษย์ที่ไม่เคยเห็นเวทย์มนตร์มาก่อนก็ช็อคมาก สำหรับพวกเขาแล้ว เวทย์มนตร์นั้นไม่ต่างจากภัยธรรมชาติ

ริฟตะโกนออกมา

“อว๊ากกกก!”

เขาไม่ได้ให้คำสั่งอะไร เขาเพียงแต่วิ่งไปข้างหน้า มันไม่เป็นปัญหาตราบที่สมาชิกคนอื่นในกลุ่มไม่ได้เฝ้ารอคำสั่งของเขา ตอนนี้กลุ่มลดจำนวนเหลือ 25 คน ที่กำลังตะโกนและมุ่งไปยังทิศทางเดียวกัน

“คุอ๊ากกกก!!”

ยังมีมนุษย์บางคนที่ไม่ได้ตื่นตกใจเพราะเวทย์มนตร์และยังพยายามจะหยุดนักผจญภัยอย่างกล้าหาญ มันไม่มีเวลามาจัดการกับคนพวกนั้น ริฟจึงดึงขวานมือจากสะโพกออกมาแล้วขว้างใส่คนที่ขวางทาง ขวานมือหมุนไม่กี่รอบก่อนปักเข้าจุดตายที่กลางหัว คอของชายคนนั้นบิดกลับไปข้างหลังและร่างก็ล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

25 คน เหยียบข้ามผ่านศพนั่น

“แม่งเอ้ย! เราตายได้ครั้งเดียวโว้ยย!”

“ตาย! ตาย ตาย ตาย!”

ไม่มีรูปขบวนอีกต่อไป พวกเขามุ่งไปข้างหน้าด้วยความป่าเถื่อน มีแต่เพียงประสบการณ์และสัญชาตญาณเท่านั้นที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่รอดได้ พวกเขาแกว่งหอกตราบที่แขนยังไหวอยู่ ร่วมกันกับพวกพ้องและฆ่ามอนสเตอร์ฆ่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า นักเวทย์ที่สร้างเสาไฟขึ้นมาเองนั้นได้ยิงออกไปเพื่อทำลายสิ่งที่กีดขวาง

ไปข้างหน้าต่อ พวกเขายังคงไปข้างหน้าต่อ เวลาผ่านไปสมาชิกทั้งหลายก็ค่อยๆล้มลงทีละคน เวทย์อาจกระตุ้นความกลัวของอีกฝ่ายได้ แต่พวกมันก็มีจำนวนมากเกินไป ไขสันหลังโดนเครื่องยิงหินยิงร่วง หลังจากนั้นก็ถูกก็อบลิน5ตัวกระโดดเข้าใส่ ถูกแทงที่แขนด้วยหอกที่ถือโดยหนึ่งในมนุษย์ที่เป็นศัตรู

สมาชิกของกลุ่มริฟนั้นยังคงล้มลงอย่างต่อเนื่อง มีชะตากรรมเดียวที่รอคนที่ล้มลงไป นั่นคือ ความตาย

ถึงแม้ว่า พวกที่เหลือจะพยายามเหยียบร่างสหายตัวเองเพื่อออกไปจากวงล้อม แต่ก็มีเพียง 3 ผู้รอดชีวิตเท่านั้นที่ตีฝ่ากำแพงออกมาได้

ริฟ,นักเวทย์ และ นักผจญภัยอาวุโสอีกคน พวกเขายังคงวิ่งต่อไปอีกสักพักหลังจากหนีจากวงล้อมของมอนสเตอร์และผู้คนที่ไล่ตามหลังมาได้ ณ ขณะนั้น

* * *

“ช่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน ที่มาคิดว่า พวกเขาจ้างนักเวทย์มาด้วย”

ผมแอบกลัวขึ้นมาจริงๆ

ผมรู้ดีถึงคุณค่าของนักเวทย์ในโลกใบนี้ นักเวทย์โดยทั่วไปจะสั่งสมคุณสมบัติจากครอบครัวมาหลายต่อหลายรุ่น จึงสามารถใช้เวทย์พวกนั้นได้

การพยายามอย่างหนักและมีประสิทธิภาพจากคนหลายต่อหลายรุ่นจึงจะก่อให้เกิดนักเวทย์ที่มีประโยชน์สักคนหนึ่ง

“ได้โปรดลงโทษหญิงสาวผู้นี้ด้วย”

ลอร่าคุกเข่ากับพื้น

“การไม่สามารถกำจัดศัตรูของพวกเราได้หมดจดนั้นเป็นความผิดพลาดตัวฉันแต่เพียงผู้เดียว”

“เธอคิดว่า ข้าจะรู้การมีตัวตนอยู่ของนักเวทย์นั่นด้วยหรือ? ศัตรูของพวกเรานั้นซ่อนไพ่ตายไว้ อย่ากล่าวโทษตนเองมากเกินไปเลย ดูสิ”

ผมชี้ตรงไปยังทุ่งหญ้าท้ายหมู่บ้าน

“มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่หนีรอดไป ไม่สิ ตอนนี้ มีเพียง 2”

หนึ่งในสามคนนั้นล้มลงทันที ดูเหมือนเขาจะถูกยิงจากหนังสติ๊กโดยก็อบลินจำนวนมาก นั่นหมายถึง มีเหลือเพียงสองคนที่วิ่งเข้าไปในป่าใกล้ๆ มันง่ายที่จะหนีเข้าป่าอยู่แล้ว

“เธอได้ยึดหมู่บ้านที่มา รั้ว 4 ชั้น ฆ่ามนุษย์ไป 300 คน และสังหารหมู่ทั้งหน่วย ยกเว้นสองคนนั่น นี่ยังมิใช่ ชัยชนะอันยอดเยี่ยมอีกหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว ว่า ชัยชนะอันยอดเยี่ยมคืออะไร!”

“…….”

มอนสเตอร์และมนุษย์ในทุ่งหญ้านั้นส่งเสียงไชโยดีใจ มันเป็นเสียงเชียร์แห่งชัยชนะ โลกนั้นย้อมไปด้วยสีแดงราวกับท้องฟ้ายามเย็น และผู้ที่ยังยืนมั่นคงอยู่ได้ไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่เสียโกเลมแม้แต่ตัวเดียวเลย

“ลอร่า ข้าภูมิใจมากที่ได้เจ้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา”

ผมดึงเธอขึ้นด้วยตัวเอง

ผมจริงจัง

ใครจะไปเชื่อว่า เด็กหญิงอายุ 16 ปี จะสามารถสร้างความสำเร็จขนาดนี้ได้? ผ่านการต่อสู้ครั้งนี้เธอได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เป็นลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ และได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเต็มๆไปจากผม

ลอร่ายังคงก้มหน้าอยู่หลังจากที่ผมดึงเธอขึ้น มันบอกได้เลยว่า ไหล่ที่เพรียวงามของเธอนั้นหดเล็กลง และสั่นเล็กน้อย

ใช่แล้วล่ะ แต่เดิมเธอมีชะตาที่ต้องกลายเป็นตุลาการหญิงเหล็กในอีก 10ปี ไม่ใช่แต่ลูกสาวชนชั้นสูงที่เข้าสู่ความตกต่ำของตระกูล แต่เธอยังถูกปฏิบัติเป็นทาสกาสเมื่อไม่นานมานี้ แถมยังไม่เคยได้นำทัพด้วยตัวเองมาก่อนเลย

เธอคงจะต้องรับแรงกดดันอย่างมาก

เธอต้องอดทนที่จะเผชิญความคาดหวังจากผม

เธอจะต้องขุดฝังความรู้สึกพวกนั้นไว้ในมุมหนึ่งของหัวใจ

แต่ตอนนี้ทุกสิ่งจบแล้ว ความเครียดที่สะสมมานาน ได้ถูกชำระออกทันทีที่เธอผ่อนคลาย นี่เธอได้คุกเข่าเพราะเธอคิดว่า เธอไม่สามารถทำตามความคาดของผมด้วยการปล่อยให้ 2 คนนั้นหนีได้?

ผมลูบผมบลอนด์ของเธอ

เธอทำได้ดีแล้ว ลอร่า เธอทำได้ดีมากๆ

ขณะที่คิดอย่างนั้นผมก็ลูบหัวของเธออย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้

“พยายามทำให้ดีที่สุด ที่จะไม่ต้องทำอะไรให้เป็นเหตุให้เจ้าต้องคุกเข่าให้ข้าอีก”

ลอร่าเชิดหัวของเธอขึ้น

“……ค่ะ นายท่าน”

เธอนั้นยิ้มออกมา มุมตาของเธอเปียกชื้น

การโจมตีพันธมิตรหมู่บ้าน 5หมู่บ้าน และปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E ที่มีจำนวน 70 คนรวมถึงสมาชิกทหารอาสา จบลงด้วยชัยชนะอันท่วมท้นของพวกเรา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด