บทที่ 052 –ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (6)
บทที่ 052 –ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (6)
พาร์ซิยักไหล่ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แต่จากการที่ผมไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่บอกว่า ค่าความชอบของเขาลดลง นั่นหมายถึงว่า เขาก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนอย่างที่ถามไปเหมือนกัน
นักผจญภัยที่บุกรุกดันเจี้ยนผมก็เหมือนกัน พวกเขามีทั้งด้านที่โหดร้ายและไร้เดียงสาในเวลาเดียวกัน
ในแง่หนึ่งพวกเขายิงธนูออกไปโดยไม่ลังเล ขณะเดียวกันก็เปิดเผยเชื่อใจคนง่าย ผมเคยได้ยินมาว่า คนเรานั้นจะมีด้านตรงข้ามจากที่แสดงออกเป็นปรกติ ชาวนาในยุคกกลางนั้นบ่อยครั้งจะผันตัวไปเป็นโจรนอกกฏหมายได้ง่าย ถ้ามันจำเป็น นี่คือ โฉมหน้าของสองบุคลิกภาพที่เป็นปรกติของผู้คนในยุคนี้
━ คิรุรุรุก!
หมู่บ้านนั้นพังลงกลายเป็นแค่งานเลี้ยงขนาดใหญ่ ที่จะช่วยเติมความอิ่มหนำให้กับก็อบลิน มีเนื้อมากมายจากซากมนุษย์เกือบห้าสิบเก้าร่าง
“ด้วยการชนะโดยสมบูรณ์อย่างนี้ จำนวนเผ่าก็อบลินที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้จะต้องเพิ่มขึ้นมหาศาล”
“อ่าา ถึงอย่างนั้นก็ตาม อย่างที่เราได้คุยกันแล้วก่อนหน้า พวกเราจะให้บางส่วน ปฏิบัติการโจมตีหลอก”
“ถูกต้อง ข้าจะสั่งให้โกเลมขนย้ายศพพวกนั้น”
พวกเราอยู่ในย่านหมู่บ้านและพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง มันไม่ใช่เพราะว่าพวกเรามีหัวข้อใหม่ให้สนทนากัน แต่มันเป็นการปล่อยให้ทหารของพวกเรานั้นสนุกกับงานเลี้ยงไปก่อน
ีมีก็อบลินมากกว่า 14เผ่าที่กระจายตัวไปรอบแนวเขา ถ้าหากพวกเรารวมเผ่าทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ ก็จะมีจำนวนกองทัพที่มีก็อบลินถึง 500 คนได้ง่ายๆ
พวกมันอาจไม่ได้พร้อมสำหรับการรบ แต่หากผมสามารถขนย้ายก็อบลินจำนวนเกือบจะถึงร้อยตัวได้แบบที่ใช้ในวันนี้ ถึงอย่างนั้น มีเหตุผลง่ายๆที่ว่าทำไมผมถึงสามารถพาไปด้วยได้เพียงร้อยตัว
เผ่าก็อบลินนั้นกลัวการสูญเสีย
ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ ก็อบลินนั้นอาจจะจู่โจมและปล้นชิงหมู่บ้านมนุษย์เหมือนเช่นโจรภูเขา แต่พวกมันจะไม่รบเต็มกำลัง
ตอนที่ก็อบลินและชาวภูเขามีกำลังใกล้เคียงกันเข้าห้ำหั่น และเมื่อฝ่ายมนุษย์ได้เปรียบ มันเป็นเรื่องยากที่ก็อบลินจะทำลายหมู่บ้านมนุษย์ที่มีทั้งรั้วและเครื่องป้องกันอื่นๆ
เผ่าก็อบลินจึงไม่ได้กระตือรือร้นเกี่ยวกับคำขอของผมที่ให้กำจัดเหล่ามนุษย์ พวกมันยังคงเป็นเช่นนั้นแม้ว่า ผมจะบอกให้มันพวกลดความเสียหายให้น้อยที่สุดโดยให้โกเลมของผมเป็นแนวหน้าให้
สำหรับก็อบลินแล้ว มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำสงครามด้วย ดังนั้นพวกมันจึงปล้นชิงทุกครั้งจนถึงตอนนี้ โดยไม่คิดว่าจะต้องทำอะไรที่แตกต่างออกไปบ้าง
ไม่ว่าจะมนุษย์หรือมอนสเตอร์ ไม่สิ โดยเฉพาะมอนสเตอร์ มันยากที่จะเปลี่ยนนิสัยเดิม ผมสามารถนำพาก็อบลินร้อยตัวได้เพราะผมเป็นจอมมาร ที่ได้รับความรักชอบพอจากมอนสเตอร์ด้วยใจจริง หากผมไม่ได้เป็นจอมมาร ผมคงไม่มีทางที่จะพาก็อบลินมาได้แม้แต่ตัวเดียว
ลอร่ามองไปยังแผนที่
“การจู่โจมเมืองต่อไปในทันทีนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี”
มันไม่ใช่แผนที่สมบูรณ์ แต่เป็นอะไรที่ร่างขึ้นมาคร่าวๆโดยพาร์ซิ และมนุษย์คนอื่นที่เป็นเพื่อนกับพวกเรา
ตำแหน่งของหมู่บ้านมนุษย์และเผ่าก็อบลินเขียนไว้ในนั้น
“กองกำลังของพวกเราจะเคลื่อนทัพตามเข็มนาฬิกา และทำลายหมู่บ้านไปทีละหมู่บ้าน นักผจญภัยจะคาดเดาเส้นทางของเราได้ หลังจากที่พวกเรายึดไปแล้วอย่างน้อยสองหมู่บ้าน
การลอบจู่โจมอาจเป็นกลยุทธพื้นฐานในสงคราม แต่เรายังคงพอมีเวลาอยู่บ้าง”
ลอร่าชี้ไปที่หมู่บ้านก็อบลินบนแผนที่
“พวกเราจะต้องกระจายกองกำลัง เดี๋ยวนี้เลย”
“เอ๋ ทำไมล่ะ?”
พาร์ซิดูสับสน
“สองสามวันที่ผ่านมาพวกเราได้รวมพวกมันจนได้ถึงร้อย แล้วตอนนี้ต้องการจะเลิกทัพตอนนี้เนี่ยนะ?”
แม้พวกเราจะมีแผนที่ แต่ก็แค่ร่างหยาบๆ ทั้งลอร่าและผม เราต่างไม่คุ้นชินกับภูเขา ไม่กี่วันที่ผ่านมา พาร์ซิได้เป็นไกด์ให้พวกเราขึ้นลงภูเขา จากมุมมองของพาร์ซิในฐานะที่อุตสาหะพยายามรวมกำลังพลมา การกระจายกำลังพลดูเหมือนจะทำให้สิ่งที่เขาทำนั้นสูญเปล่า
ลอร่ายิ้มออกมา
“เหตุผลที่ว่าทำไมฝ่าบาทถึงต้องลงพื้นที่สำรวจด้วยตัวเอง ดึงก็อบลินที่ปฏิเสธการเข้าร่วมรบอย่างสมัครใจ มาเข้ากองทัพ แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ก็อบลินนั้นแทบไม่เสียอะไรเลยจากการปะทะกันในวันนี้”
มันเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ ศพมนุษย์เรียงรายเต็มหมู่บ้าน ขณะที่มีศพก็อบลินนิดหน่อยใกล้แนวรั้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มากพอที่จะให้พวกมันรู้สึกถึงการสูญเสีย
“พวกมันได้ประโยชน์แต่ถ่ายเดียวจากสิ่งนี้ ศพมนุษย์มากมายที่ก็อบลินได้รับอย่างไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน ขอฉันถามนายหน่อยสิ”
ลอร่าหันไปหาพาร์ซิ
“นายคิดว่า ในครั้งหน้าที่พวกเราสั่งให้เหล่าก็อบลินประชุมทัพกันที่ไหนสักแห่งในศึกครั้งหน้า จะมีก็อบลินคิดมาร่วมทัพกับเราสักเท่าไหร่?”
“อะ-เอ่อ……เธอคิดว่า ผลมันจะออกมาดีอย่างนั้นเหรอ?”
พาร์ซิพยายามอย่างมากที่จะสบตาลอร่า สมกับเป็นลูกสาวชนชั้นสูง แม้แต่การแสดงอารมณ์ของเธอก็ยังสูงส่งจนเกินที่เด็กหนุ่มชาวเขาจะสามารถเผชิญได้
เฮอะ เขาจะพูดอะไรก็ได้ตามที่ใจคิดกับจอมมารแบบผม แต่กลับขัดขืนคนสวยไม่ได้เลย
“วันนี้พวกเราทำได้ดีแล้วไม่ใช่หรือ ดังนั้นพอแค่นี้แหละ!……ไม่คิดว่า พวกเขาจะคิดแบบนั้นหรือ?”
“หากพวกเขาได้อะไรมาฟรีๆโดยไม่ต้องจ่ายอะไรตอบแทน ไม่ว่าอย่างไรเดี๋ยวพวกเขาก็หาทางมาร่วมจนได้ ก็อบลินพวกนั้นจะกลับไปที่เผ่าของพวกมันและคุยโตโอ้อวดเรื่องที่ว่า การศึกวันนี้มันง่ายดายขนาดไหน และได้รับศพจำนวนมากแค่ไหน แล้วนายคิดว่า ก็อบลินตัวอื่นจะให้การตอบรับยังไงล่ะ?”
ลอร่าดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องพูดกับพาร์ซิอีกต่อไปจึงหันหน้ามาทางผม เธอแสดงรอยยิ้มเชื่อมั่นและก็พูดต่อ
“ตัวฉันขอประกาศว่า ในการศึกครั้งหน้าฝ่าบาทจะมีกำลังพลมากกว่า 300นาย”
ผมรับฟังคำแนะนำของเธอแล้วสั่งให้กองทัพแยกย้าย พาร์ซิยังคงกึ่งงงกึ่งสงสัยกับการที่พวกเขากระจายกำลัง
สองวันต่อมา
สิ่งที่ลอร่าคาดการณ์ไว้นั้นเกิดขึ้นจริง
เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงทางแยกไปยังหมู่บ้านถัดไป ก็มีก็อบลินนับร้อยตัวแออัดอยู่ตรงนั้น ทิวเนินเขานั้นเต็มไปด้วยคลื่นสีเขียว
พาร์ซิมองลอร่าด้วยความประหลาดใจอย่างมาก ลอร่าได้บังคับบัญชากองทหารไปตามปรกติเหมือนเป็นธรรมชาติของเธอ แล้วพวกเราก็พิชิตหมู่บ้านที่สองได้ง่ายดายราวกับแย่งขนมจากเด็กทารก
* * *
“ไอ้สารเลวเอ๊ย!”
ริฟนั้นพลิกโต๊ะไม้ เสียงโต๊ะกระแทกดังลั่น
ที่นี่คือ บ้านที่นักผจญภัยระดับหัวหน้าพักกันอยู่ บ้านหลังนี้ได้รับมาหลังจากที่ได้ข่มขู่เจ้าของบ้านเดิม แต่ริฟกลับไม่รู้สึกสบายใจขึ้นเลยแม้จะขว้างทุ่มเฟอร์นิเจอร์ตามที่ต้องการแล้ว
หลังจากริฟได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจากผู้รอดชีวิตความโกรธก็เต็มอยู่ในอกของเขา
“ชิบผาย ไอ้ระยำนั่น! มันกล้าดียังไงวะ สารเลวเอ๊ย!”
ลูกน้องผู้ติดตามของเขานั้นไม่กล้าหยุดเขา
ริฟนั้นได้รวบรวมกลุ่มนักผจญภัยระดับสองเข้าร่วมกันให้กลายเป็นปาร์ตี้ระดับหนึ่งภายในไม่กี่เดือนและเอาชนะทหารอาสาภูมิภาคอื่นได้ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นหัวหน้าโดยสมบูรณ์
พวกเขาจึงรู้ดีว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะห้ามปรามหัวหน้าที่กำลังโมโหอยู่
“แม่งเอ้ย ไสหัวพวกแกไป! เราต้องบุกเข้าดันเจี้ยนตอนนี้เลย!”
“ทันทีเลยหรือ?”
หนึ่งในสมาชิกอาวุโสต่างถามอย่างระมัดระวัง
“เหล่าทหารอาสาเป็นกังวลมากที่ได้ยินข่าว การฆ่าล้างสองหมู่บ้าน มันจะดีกว่าหากเราพยายามเพิ่มขวัญกำลังใจพวกเขาอีกสักหน่อย…….”
ริฟมองชายคนนั้นอย่างดุร้าย แล้วก็ชกเข้าไปที่ท้องของชายคนนั้นในทันที เขาถอยหลัง ตัวงอและร้องคราง นักผจญภัยคนอื่นต่างตื่นตระหนกและยืดเหยียดหลังตรง
ริฟตะโกนใส่นักผจญภัยระดับหัวหน้าคนอื่นที่ไม่รู้ว่าควรทำยังไง
“ไอ้พวกโง่ระยำ! ถามมาได้จะบุกเข้าไปตอนไหน!? ไอ้จอมมารเหี้ยนั่นตอนนี้มันจู่โจมหมู่บ้านอยู่! นั่นก็หมายความว่า ดันเจี้ยนของมันว่างเปล่าแล้วไง!”
“อ่า”
“ไอ้พวกสมองกลวง……! ออกไปบอกคนอื่นๆข้างนอกนั่นว่า เราจะเดินทางในหนึ่งชั่วโมง!”
นักผจญภัยคนอื่นรีบออกไปโดยเร็ว มีเพียงบุคคลหนึ่งยังอยู่ด้านหลัง เด็กสาวที่ไม่เข้ากับปาร์ตี้นักผจญภัยที่มีแต่ผู้ชายล้วน เธอนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของบ้าน
ริฟไม่สนใจเธอแล้วยังคงครุ่นคิดต่อ ตอนนี้เขารักษาท่าทีสงบ ซึ่งยากจะเชื่อว่า เขาเป็นคนเดียวกับบุคคลที่เกรี้ยวกราดก่อนหน้า
ขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของเขา เขาไม่ใช่คนที่จุดเดือดต่ำ และยังใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง การที่เขาโกรธก่อนหน้านั้นเป็นการดึงให้นักผจญภัยอื่นคืนสติหลังจากได้รู้ข่าวว่า ชาวบ้านถูกฆ่าล้างไป สหายร่วมรบของเขาอาจเชื่อถือได้ในแง่พลังของการต่อสู้ แต่เขาไม่ไว้ใจพวกนั้นในเรื่องการใช้สมองแม้แต่น้อย
‘มันคงจะดีมาก ถ้าตอนนี้ไซคลอปส์ยังอยู่ที่นี่เวลาแบบนี้’
ริฟนึกถึงสหายที่เขาสูญเสียไปในปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยน ไซคลอปส์และริฟนั้นต่างเป็นสุดยอดคู่หู ริฟนั้นจะคอยคุมบรรยากาศ ในขณะที่ไซคลอปส์นั้นจะคอยคุมสถานการณ์
การจะคุมนักผจญภัยโง่ๆอย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะต้องมีการแบ่งบทบาทที่ชัดเจน แต่ตอนนี้ริฟแบกรับทุกบทบาท ยิ่งนานวันเขายิ่งเหนื่อยล้า พอนึกขึ้นมาได้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะจอมมารระยำนั่น ก็ยิ่งทำให้เขาโกรธยิ่งขึ้น
สองหมู่บ้านโดนกวาดล้างไปแล้ว
‘แต่ความจริงมันยังไม่ได้ทำอันตรายกับเรา’
เขาให้ข้อสรุปอย่างใจเย็น
ีมีอยู่ 3 อย่างที่ริฟต้องพึ่งพา
อย่างแรก, หมู่บ้านอาจจะหายไป แต่มันไม่ได้มีผลต่อปาร์ตี้ของเขา
ทหารอาสาทั้งหมดอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับนักผจญภัย สำหรับริฟแล้ว เขาแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่า หมู่บ้านสักกี่หมู่จะหายไป ตราบใดที่กองกำลังที่รู้จักในนาม ทหารอาสาของเขานั้น ยังคงอยู่ดี มันไม่ใช่หมู่บ้านของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะไปแคร์อะไร?
ข้อที่สอง,เขาได้จ้างนักเวทย์มา
ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในมุมห้องและงีบหลับอยู่นั้นเป็นนักเวทย์ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ใช่พวกมือใหม่อย่างพวกนักเวทย์หนึ่งวงหรือสองวง แต่เป็น นักเวทย์ระดับสามวง! ในฐานะนักเวทย์สายต่อสู้ เธอเป็นบุคคลที่สามารถจัดการกับโกเลมระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย
จากการรายงาน จอมมารนั้นมีโกเลม ก็อบลิน และแฟรี่ใต้การบัญชาการ ซึ่งมันก็เพียงพอแล้วในการรบที่จะให้นักเวทย์จัดการกับโกเลม ส่วนนักผจญภัยก็จัดการกับก็อบลินไป
ริฟนั้นโชคดีอย่างมากที่ได้จ้างนักเวทย์มาแม้จะเป็นเพียงนักผจญภัยระดับต่ำ นักเวทย์ระดับล่างนั้นไม่มีสถานที่ทำงานเป็นของตนเอง ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาส่วนมากในการเรียนและทำงานที่หอคอยนักเวทย์
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็มี การเพิ่มระดับวง (Circle Rank) ค่าใช้จ่ายในการเรียนเวทย์มนตร์นั้นก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้นนักเวทย์ระดับล่างบ่อยครั้งจึงต้องหางานพาร์ทไทม์มาทำ ในปาร์ตี้นักผจญภัยเพื่อเหตุผลที่จะเอาเงินไปใช้เรียนต่อ
จากสิ่งที่ริฟบอกได้ก็คือ ผู้หญิงคนนี้นั้นเป็นจำพวกหลัง
‘ใครจะไปรู้ว่า โง่ๆอย่างเธอจะกินเบ็ดง่ายขนาดนี้? หิหิ’
เธอช่างเป็นคนโง่อย่างแท้จริงที่ไม่รู้ว่า โลกทำงานยังไง ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีพวกนักเวทย์ที่ไม่รับรู้เลยว่า สังคมนั้นโหดร้ายและใช้เวลาทั้งหมดกับการเรียนหนังสือ นักผจญภัยจะพูดถึงพวกนักเวทย์พวกนั้นว่า เป็นพวกอ่อนโลก
ผู้หญิงคนนี้แสดงให้เห็นถึง ความเป็นพวกอ่อนโลก การที่เธอเข้ามามองไปมองมาขณะที่อยู่ที่สมาคมนักผจญภัยนั้นเหมือนกำลังตะโกนบอกว่า ‘ฉันเป็นพวกอ่อนโลกนะ เชิญมาหาผลประโยชน์จากฉันได้เลย’
ดังนั้นริฟจึงเข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้นโดยไม่ลังเล แล้วใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการพูดหวานดึงให้เธอเซ็นสัญญาไม่เป็นธรรมหลังจากบอกเธอเรื่องปราสาทจอมมารว่าเต็มไปด้วยทองและไม่มีกับดักอื่นใด นอกเสียจากโกเลมระดับต่ำที่เป็นมอนสเตอร์
พวกเราสัญญาว่าจะให้ส่วนแบ่งเธอ 5% จากที่ได้ทั้งหมด ซึ่งมันก็เหมือนกับจ้างนักเวทย์ระดับสามวงมาฟรีๆนั่นเอง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับตอบรับและตามพวกเรา ริฟจึงแอบหัวเราะอยู่ในใจเป็นร้อยครั้งจนถึงตอนนี้
ในท้ายที่สุดผู้ที่ทำกำไรจากโลกนี้ได้คือ ผู้ที่หลอกลวงผู้อื่น
‘เหมือนกับไอ้จอมมารระยำนั่น’
ริฟขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยังคงขัดเคืองใจทุกครั้งที่จำได้ว่า เขาเคยถูกชายคนนั้นหลอก ตอนนั้นเขาช่างโง่มาก!
หากพูดกันตามตรงไม่ทางที่จอมมารจะทำเพื่อนักผจญภัยอยู่แล้วและยิ่งริฟกับพรรคพวกจากหมู่บ้านเจลเซ่นเชื่อจอมมารอย่างกับลูกแกะ ราวกับถูกครอบงำ
‘ไอ้ระยำนั่น ข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆแล้วเหวี่ยงไปให้ทั่ว’
ริฟค่อยๆจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เขาต้องทำให้แน่ใจว่า จะสามารถเอาอารมณ์โกรธพวกนั้นไปทุ่มใส่จอมมารแทน
และเหตุผลสุดท้าย…….
“หะ-หัวหน้า”
หนึ่งในนักผจญภัยกลับมา เขาคือชายที่ถูกริฟชกไปก่อนหน้า เขามีสีหน้าตื่นกลัวเป็นอย่างมาก
“ห้ะ? แกจะกลับมาทำไม? เตรียมตัวเสร็จแล้วรึไง??”
“เอ่อ คือ อืม ……ตอนนี้มีปัญหาแล้วครับ”
“ปัญหา? ปัญหาบ้าอะไรวะ?”
ริฟโต้ตอบอย่างรวดเร็วราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อเขา ชายหนุ่มตอบเหมือนอยากจะด่าโลกใบนี้ที่ทำให้เขาต้องมารับหน้าที่นี้
“มันคือ อืม เอ่อ……กองทหารอาสา…….”
“เกิดอะไรกับกองทหารอาสา!?”
“พะ-พวกกองทหารอาสาพูดว่า พวกเขาปฏิเสธที่จะไม่ไปดันเจี้ยนครับ!”
ใบหน้าของริฟบิดเบี้ยวราวกับกระดาษที่ถูกขยำ