บทที่ 050 – ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (4)
บทที่ 050 – ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง E (4)
ไพ่ลับที่เธองัดออกมาใช้เป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน
“มีเผ่าก็อบลินอยู่หลายเผ่าใกล้กับเขตแดนปราสาทจอมมารของพวกเรา เราต้องใช้งานหมู่บ้านก็อบลินพวกนั้น”
“นี่เธอกำลังจะใช้เผ่าก็อบลินในฐานะกองกำลัง?”
ผมถามกลับไปด้วยความประหลาดใจมาก ผมถามอย่างนั้นเพราะแปลกใจจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เริ่มการสนทนาแล้วลอร่าได้ชี้สิ่งที่ผมไม่ตระหนักถึง
มันมีเผ่าก็อบลินอยู่หลายเผ่าใกล้ๆนี้ ก่อนที่ผมจะเดินทางไปเนฟเฮม ผมพยายามตะล่อมพวกมนุษย์ในหมู่บ้านเพราะผมกลัวนักผจญภัยจะบุกดันเจี้ยนช่วงที่ผมไม่อยู่
การตอบแทนที่ผมมอบให้กับพวกเขาก็คือ ‘ก็อบลินพวกนั้นจะไม่โจมตีหมู่บ้านเจ้า’
ผมเลิกคิ้วขึ้น
“ลอร่า มันเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้งานมอนสเตอร์ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนพวกนั้นในฐานะกองกำลังของเรา มันก็จริงอยู่ที่พวกเขานั้นมีความเป็นมิตรต่อจอมมารเช่นข้า แต่ถึงอย่างนั้น มันยังคงมีคำถามว่า พวกมอนสเตอร์อย่างนั้นมันจะยอมเสี่ยงชีวิตเหมือนกับมอนสเตอร์ใต้การปกครองของข้าหรือ”
“แม้แต่ทหารอาสาก็ไม่เสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อนักผจญภัยค่ะ”
“หืมม”
เหตุผลที่ทำไมทหารอาสาได้เข้าร่วมกับนักผจญภัยนั้นไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาจงรักภักดีกับนักผจญภัย เป็นเพราะพวกเขาได้รับประโยชน์ต่างหาก
หากผมสัญญาว่า จะให้การตอบแทนที่เหมาะสมกับพวกก็อบลินได้ พวกมันต้องยินดีใจการเข้ารบด้วยเช่นกัน━นั่นคือ สิ่งที่ลอร่าพยายามจะสื่อ
“นายท่านได้สั่งห้ามไม่ให้ก็อบลินล่ามนุษย์ นั่นเป็นการวิธีที่ทำให้มนุษย์มาอยู่ฝั่งเรา ตรรกะก็ง่ายๆแบบนั้น พวกเราก็แค่บอกให้พวกมันล่าหมู่บ้านมนุษย์ที่หันคมดาบใส่เราได้ตามสะดวก จะล่าอย่างไรก็ได้”
“การล่ากับการทำสงคราม ทั้งสองสิ่งนั้นต่างกันในหลายมิติ แม้เราจะอนุญาตให้พวกมันล่าได้ แต่ก็ไม่อาจบังคับให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม”
ลอร่าส่ายหน้า
“สมมุติฐานของนายท่านนั้นผิด”
“สมมุติฐานของข้า?”
ผมตอบกลับไปด้วยความสนใจ
“ตรงไหนของสมมุติฐานของข้าที่ผิด?”
“ทำไมท่านถึงคิดว่า พวกเราถึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของสงครามด้วยล่ะ? นายท่านคะ นั่นเป็นสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้ขอคัดค้านค่ะ ท่านใจดีกับกับมอนสเตอร์มากเกินไป นายท่านอาจกำลังคิดว่าเราบังคับให้มอนสเตอร์เข้าสู้ด้วยโดยไม่รู้ตัวอยู่ นั่นเป็นความเข้าใจผิดที่น่าเป็นห่วงมากค่ะ”
ลอร่าชี้ไปที่แฟรี่ที่นั่งบนบ่าของผม
“ท่านต้องไม่เข้าใจผิดเรื่องนั้นค่ะ มอนสเตอร์ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของท่าน!
มอนสเตอร์นั้นมีความป่าเถื่อน ดุร้ายเหมือนสัตว์ป่า เช่นเดียวกับมนุษย์ ดังนั้นพวกมันจะกลายเป็นนักรบทันทีที่พุ่งเข้าสนามรบ หากพวกมันได้รับประโยชน์”
คำพูดของเธอนั้นจมลึกเข้าไปในหัวผม
ผมนึกขึ้นได้ทันทีถึงคำแนะนำของลาพิสตอนที่เตือนผมที่ ตลาดค้าทาส ตอนที่ผมเห็นพวกมนุษย์ทำกับพวกสายพันธุ์อื่น ผมโกรธขึ้นมา ตอนนั้นเองที่ลาพิสพูดกับผมว่า:
‘การมีความเห็นอกเห็นใจมากเกินไปไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย
ความเข้าอกเข้าใจกันของผู้หญิงทั่วไปในร้านค้า กับ การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของตุลาการในศาล อย่างใดอย่างหนึ่งไม่คู่ควรกับราชา’
‘ ราชาจะต้องทั้งมีความเข้าอกเข้าใจและการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดค่ะ ’
ผมคิดว่าผมตั้งใจฟังคำพูดของเธอมาจนเข้าใจแล้ว แต่ดูเหมือนผมมีแนวโน้มที่จะเห็นว่า มอนสเตอร์ทุกตัวเป็นพรรคพวก
“ตัวฉันรับประกันได้ค่ะ หากพวกเราจัดสถานการณ์ให้พวกก็อบลินได้อะไรบางอย่างบ้าง พวกมันก็จะยินดีเข้าร่วมกับสงครามไม่ว่าพวกเราจะขอหรือไม่ นายท่าน โปรดคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ว่าจะมนุษย์หรือมอนสเตอร์ พวกมันทั้งหลายก็ไม่ต่างจากหมากบนกระดานที่เรียกว่า สงคราม”
ผมยอมรับจากใจเลยว่า ลอร่าพูดถูกจริงๆ
ในมุมหนึ่งของจิตใจผมยังมีด้านที่เอนเอียงไปทางมอนสเตอร์ ผมแค่ตั้งใจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวหมู่บ้านกับนักผจญภัยนั้นแตกหัก แต่ไม่เคยนึกถึงวิธีการใช้มอนสเตอร์เลย
แทนที่ผมจะรู้สึกอาย ผมกลับรู้สึกดีมีความสุข
‘การให้การช่วยเหลือเจ้านาย ยามที่เขาไม่สามารถเห็นอะไรบางอย่าง นั่นคือ หน้าที่ของนักวางแผน’
ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่า จะสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ต่อให้ผมทำได้อย่างนั้นจริง ผมคงไม่มีทางจะหาตัวลอร่ามาอยู่ด้วยตั้งแต่แรกแล้ว ผมเป็นคนที่ขี้กังวลไม่ใช่พวกที่มั่นใจ ดังนั้นลอร่าจะช่วยเติมเต็มความกังวลเหล่านั้นให้
“นายท่าน”
ดวงตาสีเขียวของลอร่ามองมาที่ผม เธอกำลังรอผมตอบรับอยู่
“……แล้วหากเราจะใช้งานพวกก็อบลิน เราจะยกประโยชน์อะไรให้พวกมันล่ะ”
“มันเป็นอะไรที่ง่ายเช่นกันค่ะ”
ลอร่าตอบกลับมาโดยไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาที
“ไม่ว่าจะมนุษย์หรือมอนสเตอร์ ของๆผู้อื่นย่อมดีกว่าเสมอ”
* * *
ในป่านั้นขึ้นหนาแน่นโดยไม่มีจุดที่ว่าง พาร์ซิ,หัวหน้าหมู่บ้านที่ยังหนุ่ม เดินนำหน้าไปโดยใช้ไม้เท้าแหวกใบไม้ เขาสบถทุกครั้งที่ถูกใบไม้คมๆอย่างหญ้าข่วนตามเนื้อตัว
“โอ้ย ไอ้ชิบหาย ไอ้แมลงห่านี่!”
เขาหันกลับมาหาผม ปอยผมด้านหน้าของเขาแนบติดกับหน้าผาก
“นายท่าน! ผมมีเรื่องจะถาม”
“ข้าอนุญาต”
“ทำไมเป็นผมล่ะ?”
ผมตอบคำถามของพาร์ซิอย่างสบายๆและตามหลังเส้นทางที่เขาบุกเบิกให้
“เจ้าน่ะหนุ่มและแข็งแรงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นข้าคงไม่ให้ชายแก่นำทาง?”
“อ่า แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ใช้นักล่าคนอื่นในหมู่บ้านก็ได้…….”
“ข้าน่ะชอบเจ้าไง”
“เอ๋”
พาร์ซินั้นทำท่าเหมือนไม่ชอบ
ถึงอย่างนั้น มันไม่ใช่ว่าเขาก็คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรดีระหว่างที่แกว่งไม้เท้าในมือ แม้จะเป็นคนที่คิดอย่างไรพูดอย่างนั้นแต่ดูเหมือนเขาจะอายหากถูกใครพูดอะไรตรงๆ
“น่ารักดีนะ”
“นะ-น่ารัก? เมื่อครู่ท่านบอกว่า ผมน่ารัก?”
พาร์ซิเปลี่ยนจากสะดุ้งกลายเป็นตกใจ เขากระโดดหนีทันที ท่าทางของเขาเหืมือนเด็กที่มาจากบ้านนอก นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมา นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนแบบพาร์ซิที่รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาทันที
“อ่าฮะ เจ้าอาจจะไม่รู้ตัวนะ แต่เจ้าก็น่ารักระดับหนึ่งเลยล่ะ”
“ชิบหาย! ตลอดชีวิตผม แม้แต่แม่ยังไม่บอกว่าผมน่ารักเลย! ดวงตาท่านมีปัญหาแล้วล่ะ แม้นายท่านจะบอกว่า ดวงตาปกติดี แต่ผมก็เชื่อว่าต้องมีปัญหาอยู่แน่ๆ!”
ไหล่ของพาร์ซิสั่นเทา
“นายท่าน…… หรือว่า ท่านเป็นพวกที่ชอบเสาะหาทางอื่น?”
“ทางอื่น?”
“ท่านก็รู้อยู่แล้วนี่ พวกเขาเอาไว้เรียก ชายที่สนใจใน…… ผู้ชายอีกคน”
เฮ่อ
ผมมองเพอซิด้วยแววตาที่สงสาร เขาคงรู้สึกแปลกๆที่ผมมองอย่างนั้นจึงเกาหลังหัวตัวเอง
“อะแฮ่ม โล่งใจไปที ผมแค่สงสัยน่ะครับ”
“หากข้าจะเป็นพวกเล่นรูหลังจริงๆ ข้าก็ขอยืนยันว่า รูหลังของเจ้านั้นไม่ใช่เป้าหมายของข้าแน่นอน”
“รูหลัง? ท่านพูดถึงอะไรน่ะ?”
ดูเหมือนเจ้าคนบ้านนอกคนนี้จะรู้เพียงว่า มีชายที่รักชายด้วยกันอยู่แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาทำกันยังไง
ผมยิ้มหึ
“คืออย่างนี้ เวลาที่ชายสองคนนั้น เขารักกันมากน่ะ เขาจะ…….”
มันเป็นหน้าที่ของผมในฐานะผู้มีปัญญาที่จะสั่งสอนคนโง่ที่ไม่รู้ความจริง และความปรารถนาที่จะสอนเจ้าคนบ้านนอกคนนี้ ผมอธิบายให้รายละเอียดเชิงลึกว่า ชายสองคนมีเพศสัมพันธ์กันอย่างไร
เพราะผมตั้งใจฟังในชั่วโมงศิลปะโบราณเกี่ยวกับเรื่องเพศในมหาวิทยาลัย คำอธิบายของผมจึงทั้งเป็นรูปธรรมและลงรายละเอียด
(TTL : พรี่ดันจะพาหนุ่มน้อยไปสู่โลกใหม่ ใ จ เ ก เ ร ทำไมค้าบบบ!?)
ผมทำด้วยความจริงใจ มิได้มีเจตนาใดแอบแฝงในการให้ข้อมูลพวกนั้น ทั้งหมดมันเป็นเพียงหน้าที่ของผู้มีสติปัญญาและความนึกถึงคนอื่นของผม
ผิวพรรณของพาร์ซินั้นกลับซีดลงซีดลงระหว่างที่ผมอธิบาย
“มะ-ไม่เอาาา!”
เขาตะโกนเหมือนกำลังจะเป็นลมไป เหมือนเด็กชายอายุ 5 ขวบที่ค้นพบเป็นครั้งแรกว่า เด็กผู้หญิงนั้นไม่มีไอ้จ้อน
“ทะ ท่านกำลังจะบอกว่า พวกเขาใช้มันในการทะลวงตรงนั้น!?”
“ถ้าพูดให้ชัดๆเลย ในส่วนรูทวารที่…….”
“พออออ! พอแล้ววว!”
พาร์ซิกรีดร้องพร้อมกับปิดหูด้วยฝ่ามือ จากรีแอ็คชั่นของเขา ชายคนนี้เป็นเหมือนบัณฑิตหนุ่มใสซื่อ จากที่พูดออกมาดูเหมือนเขาไม่มีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงมาก่อน ซึ่งนั่นทำให้เขาดูน่ารักขึ้นไปอีก
“ได้โปรดหยุดใช้คำ หยาบโลนพวกนั้นเถอะ!”
“ข้าไม่ได้รู้เรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก แต่เคยได้ยินมาว่า มันสร้างความพึงใจได้เป็นอย่างมาก”
“ผมไม่อยากจะเชื่อ! สามัญสำนึกของ! โอ้ย สามัญสำนึกโผมมม!”
“สามัญสำนึกน่ะ มีไว้ทำลาย”
ผมแย้งไปอย่างเย็นชา
“หนุ่มน้อย, เจ้าควรจะเปิดตาสู่โลกใหม่”
“ผมไม่ต้องการโลกแบบนั้น!”
เด็กหนุ่มใสซื่อกรีดร้องออกมาลั่นป่า ผมเรียนรู้หลังจากที่ได้พูดคุยกับเขาและพบว่า เจ้ายักษ์ขนดกนี่อายุแค่ 16ปี เขาอาจจะเท่ากับลอร่า แต่ดูแก่กว่าวัย
ใบไม้ในป่านั้นหนาแน่น อาจเพราะฝนที่ตกมาเมื่อหลายวันก่อน พวกพืชต่างๆจึงโตเร็วมากจนยากที่จะหาเจอว่าตรงไหนที่ไม่มีมอสปกคลุมและตรงไหนที่ต้นไม้ไม่มีใบไม้ห่ม
มันให้ความรู้สึกเหมือนป่านั้นพยายามอย่างมากที่จะถนอมรักษาฤดูร้อนที่กำลังจะจากไป ด้วยการรั้นจะให้ตนกลายเป็นสีเขียวต่อ ผมมาอยู่ในโลกนี้ตอนที่ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนนั้นเกือบจะหมดฤดูแล้ว
━เครุรุก,เครุ
━เคะรุรุก
เสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนตามหลังพวกเรามา
“เหอะ”
เขาพยายามจะเปลี่ยนเรื่องหรือเปล่า? พาร์ซิมองกลับมาที่ด้านหลังพวกเรา
“ผมไม่เคยคิดมาตลอดชีวิตเลยว่า ผมจะได้อยู่ฝ่ายเดียวกับก็อบลิน”
มีก็อบลินอยู่เกือบร้อยตัว
กองกำลังจำนวนมากที่ตามหลังเราแบ่งออกเป็นสองแถบ ก็อบลินนั้นถืออาวุธยุคโบราณ อย่างขวานหินและหอกหิน ช่างน่าสนใจเหลือเกิน แถมยังมีหนังสติ๊กยิงหินมากมายด้วย พวกมันเดินไปพร้อมถือมันไว้ในมือพร้อมที่จะยิงหิน พวกเขาชำนาญมากเนื่องจากใช้มันล่านกและยิงกระต่ายมาตลอด ในขณะที่อาวุธของผมคือ หน้าไม้ ผมไม่สงสัยเลยว่า มันเป็นอาวุธที่หรูหราที่สุดในบรรดาพวกเราแล้ว
ผมจึงพูดล้อหยอกเล่นก่อนว่า:
“ข้าไม่รู้เลยว่า พวกมันจะสู้ด้วยเจ้าสิ่งนั้นได้ยังไง”
พอผมพูดแบบนั้น พาร์ซิก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธผม
“นี่ท่านพูดอะไรของท่านน่ะ? ผมไม่ห่วงเรื่องก็อบลินนะแต่ผมจะไม่ยุ่งกับตัวที่ถือหนังสติ๊กหรอก”
“หินดาดๆนั่นจะแข็งแกร่งได้ยังไงกัน?”
“นายท่าน ท่านไม่รู้รสชาติของหินซะแล้ว หินเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก มันแข็งระดับที่ส่งคนที่โดนไปเกิดใหม่ได้ทันทีที่โดนเข้าจังๆเพียงก้อนเดียว”
ผมก็ด้วยเหรอ? ผมก็แอบสงสัย แต่ก็ยากที่จะเชื่อเหลือเกินว่า หนังสติ๊กจะทรงพลังขนาดนั้น แต่เสียงของพาร์ซิยืนยันอย่างเชื่อมั่นอย่างนั้น ผมก็เลยไม่พูดอะไรอีก มันคงจะดีถ้าพาร์ซิเป็นฝ่ายถูก ผมหวังว่า เจ้าหนังสติ๊กยิงหินของก็อบลินั้นจะช่วยพวกเราทั้งหมดได้
หากไม่นับอาวุธของพวกเรา การกรีฑาทัพของก็อบลินนับร้อยนั้นก็เป็นภาพที่น่าตื่นตาอยู่ดี
“รู้สึกแปลกๆที่ต้องอยู่ฝั่งเดียวกับพวกมอนสเตอร์”
“เจ้ากลัวรึ?”
“ยิ่งกว่ากลัวอีกครับ ผมรู้สึกแย่แปลกๆ”
พาร์ซิปากกระตุกเหมือนกับไม่พอใจ
“ใครจะไปเชื่อล่ะว่า มนุษย์กับมอนสเตอร์จะร่วมมือกันได้? ถ้าไปเล่าให้ใครฟังเขาคงสั่งให้ผมหยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว แล้วก็ด่าผมแทน เอาจริงนะ แม้แต่ตอนนี้ผมยังไม่เชื่อเลย”
เพ้อเจ้ออย่างนั้นหรือ ห้ะ
ผมเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก มีคนอยู่สองประเภทในโลกที่จะพูดเรื่องเพ้อเจ้อของจริง นักปฏิวัติหรือคนโง่ ตอนนี้ผมเจอทั้งสองแบบครบแล้ว แจ็คเป็นพวกหลัง เขาตายไปแล้ว ส่วนบุคคลที่เป็นพวกแรกนั้น━
“มีคนกำลังมา”
พาร์ซิพูดขึ้น เข้าชี้ไปที่ข้างหลังผม พอหันหลังไปก็เห็นลอร่าเข้ามาใกล้พวกเราขณะที่กำลังขี่หลังลา เธอใช้เวลาไม่นานนักที่จะแซงก็อบลินเพื่อเข้ามาหาผม ลาร่าลงจากหลังลาอย่างนิ่มนวล
“ฝ่าบาท”
ถึงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผมก็บอกได้เลยว่า ทักษะการขี่ม้าของเธอนั้นยอดเยี่ยม ปัญหา คือ ไอ้เจ้าลาที่เธอขี่นั้นมันอ้วนเกินไปเมื่อเทียบกับทักษะการขี่ของเธอ
ถึงแม้จะพูดกันว่า ผู้เชี่ยวชาญนั้นไม่เกี่ยงเรื่องเครื่องมือ แต่ลา มันก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ
ลอร่าดูไม่ใส่ใจเรื่องนั้นเธอคุกเข่าลงต่อหน้าผม แฟรี่ทั้งหลายที่บินรอบเธอก็มาหาผม
“จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีก็อบลินตัวใดออกจากรูปขบวนค่ะ ฝ่าบาท”
ลอร่าพูดอย่างเป็นทางการ เธอทำอย่างนั้นเพราะพาร์ซิอยู่ข้างๆพวกเรา ผมเชื่อว่า เรื่องส่วนรวมกับเรื่องส่วนตัวควรจะมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนเด็ดขาดจึงไม่รู้สึกว่า การพูดแบบเป็นทางการของเธอนั้นเป็นเรื่องประหลาด
“ทำได้ดี พาร์ซิ อีกนานแค่ไหนพวกเราจะถึงหมู่บ้าน?”
“อ่า? หา? เอ้อ ก็ อีกไม่ไกลนี่แหละครับ”
พาร์ซิ ชายผู้ที่เผลอใจหลงไหลไปกับใบหน้าแสนสวยของลอร่า รีบตอบในทันที เขาต้องประหม่าแน่ๆที่เพิ่งได้เคยเห็นความงดงามของบุตรีชนชั้นสูงหลังจากที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในเขตบ้านนอก
“อืมฮึ หากเรายังไปด้วยความเร็วเท่านี่อีกไม่นานเราก็จะเห็นหมู่บ้าน”
“ไม่เป็นไร ลอร่า นั่นจะเป็นรายงานสุดท้ายของเจ้า”
ผมแตะบ่าเธอ
“จากตรงนี้ไป เดินไปกับข้า”
“รับบัญชาค่ะ”
ผมสั่งให้ก็อบลินเดินเท้ากันอย่างเงียบเชียบ เป็นอย่างที่พาร์ซิบอกไว้ เส้นทางในป่าใกล้จะสิ้นสุดแล้ว
ชายคนหนึ่งเห็นเราจากที่ไกลๆและแตกตื่นทันที เหมือนเขาจะเป็นคนตัดไม้ เขากรีดร้องสุดเสียงก่อนจะวิ่งหนีไป เขานั้นไปไกลเกินกว่าที่ผมจะยิงด้วยหน้าไม้หรือด้วยหนังสติ๊ก
“การลอบจู่โจมไม่สำเร็จ ยังโอเคอยู่ไหม?”
“อย่าห่วงไปเลยค่ะ”
พวกเขาจะพร้อมรับมือได้มากน้อยแค่ไหนนะจากตอนนี้?
พวกเรายังคงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านต่อ