ตอนที่ 65 ดาบอัสนีสวรรค์! (ฟรี)
ตอนที่ 65 ดาบอัสนีสวรรค์!
เมื่อเห็นการปฏิเสธของซูหยาง ฟางเฉิงเต้าก็โกรธจัด และต้องการพุ่งเข้าไปในเมืองหลิวเฟิง
แต่คำพูดแผ่วเบาที่ดังขึ้นทำให้ความหวังของเขาพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
“เขตแดนดาบ!”
ภายใต้การควบคุมของซูหยาง เจตจำนงดาบครอบคลุมตำแหน่งของฟางเฉิงเต้า และโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด ทำลายทุกสิ่งในนั้นเป็นชิ้นๆ
เขตแดนดาบนี้เป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นมา ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้เจตจำนงดาบ
พลังของมันเกิดจากเจตจำนงดาบล้วนๆ ไม่ได้รับการส่งเสริมจากวิชาดาบ แต่สำหรับตอนนี้ มันก็เพียงพอแล้ว
ฟางเฉิงเต้าทำอะไรไม่ถูกขณะที่ร่างกายของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้วยดาบจำนวนนับไม่ถ้วนในแต่ละลมหายใจ
ร่างของเขามีรู และขาดหายไปหลายส่วน
แต่เขาไม่กลัวเพราะเขายังสามารถอยู่รอดได้
ตอนนี้เขาเป็นกึ่งวิญญาณมารแล้ว
หากเขาต้องการเป็นวิญญาณมารอย่างสมบูรณ์ เขาต้องกลับไปยังที่ๆ วิญญาณมารถือกำเนิด และหลอมรวมกับออร่าที่นั่นเพื่อหาโอกาส
แต่ตอนนี้ ซูหยางไม่ให้โอกาสเขาเลย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่พังทลาย แต่จิตสำนึกของเขาก็จะสลายไป
เมื่อนั้นเขาจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดโดยสมบูรณ์ ที่ขับเคลื่อนสัญชาตญาณ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกกลัว
จริงๆ แล้วเขาต้องการรอจนกว่าซูหยางจากไปก่อนที่จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา
แต่แม้แต่วิญญาณมารก็ไม่สามารถควบคุมความสามารถนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงตัวเขาเลย?
เวลาการฟื้นคืนชีพจะช้าลง และช้าลงตามการตายแต่ละครั้ง
ความเร็วนั้นเร็วมากในช่วงต้น และค่อยๆ เว้นช่วงมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเขาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เขาก็อยากจะขอความเมตตาในทันที
น่าเสียดายที่เขาถูกห่อหุ้มด้วยเจตนาดาบ และเจตนาดาบอันรุนแรงนั้นฉีกร่างเขาออกจากกันในทันที ทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรได้แม้แต่คำเดียว
เขาเห็นแต่เพียงซูหยางจ้องมองมาอย่างสงสัยเท่านั้น
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายอยากจะดูว่าเขาจะฟื้นคืนชีพได้กี่ครั้ง
เมื่อฟางเฉิงเต้ารับรู้สิ่งนี้ได้จากสายตาของซูหยาง หัวใจของเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือก
ซูหยางไม่รีบร้อนที่จะทำลายค่ายกลสังเวยเลือด
ตอนนี้ ค่ายกลสังเวยเลือดเพียงถูกกระตุ้น และจะใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงในการสั่งสมพลัง และครอบคลุมทั้งจังหวัดเทียนเฟิง
อีกย่าง เขาจำเป็นต้องใช้ค่ายกลสังเวยเลือดเพื่อดึงดูดกู่ซิ่ว และคนอื่นๆ
เขาไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับสำนักกลั่นโลหิตมากนัก รอที่เข้าใจมากกว่ามาถึงก่อนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ดังนั้น จึงไม่ต้องจำเป็นต้องรีบร้อน
ภายในหนึ่งชั่วโมง ในฐานะปรมาจารย์ พวกเขาย่อมจะสามารถเข้าถึงที่นี่ได้โดยธรรมชาติ
ในเวลาประมาณ 10 นาที กลุ่มปรมาจารย์ที่นำโดยอี้เทียนป้าก็มุ่งหน้าใกล้เข้ามา
เมื่อคนเหล่านี้เข้าสู่ระยะการตรวจจับของใยแมงมุม ซูหยางก็รับรู้ได้ในทันที
แม้ว่าใยแมงมุมของเขาสามารถสัมผัสได้เพียงคราวๆ เท่านั้น
แต่ยังสามารถวิเคราะห์ได้ว่าพวกเขาเป็นปรมาจารย์หรือไม่ผ่านความเร็ว
เมื่อเข้าสู่ระยะที่ครอบคลุมด้วยเจตจำนงดาบ เขาจึงจะสามารถระบุได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ถ้าเป็นผู้ฝึกฝนปีศาจ เขาก็จะใช้เจตจำนงดาบจัดการในทันที และด้วยวิชาดาบใหม่ เขาก็ปรากฏตัวได้ในทุกที่ด้วยความเร็วสูง
ซูหยางกลายเป็นลำแสง และหายไปจากจุดเดิม
ต่อมา เขาปรากฏตัวต่อหน้าปรมาจารย์หลายคนในพริบตา
อี้เทียนป้า และคนอื่นๆ ที่กำลังเร่งเดินทาง ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
หลังพบว่าอีกฝ่ายคือ ซูหยาง
ทุกคนก็หยุดลง
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” อี้เทียนป้าถามเสียงดัง
“สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม สำหรับสถานการณ์เฉพาะ ท่านจะรู้หลังจากที่มากับข้า” ซูหยางตอบ
"เอาล่ะ!" อี้เทียนป้ามีความสุขมาก เขาคิดถูกจริงๆ ดูเหมือนด้วยความแข็งแกร่งของซูหยางการจัดการกับสำนักกลั่นโลหิตไม่ใช่เรื่องยาก
อี้เทียนป้า และคนอื่น ๆ แทบรอไม่ไหวที่จะตามซูหยางไป
เพื่อที่จะนำทาง ซูหยางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลื่ยนไปบินด้วยดาบตามเดิม
“เหล่ากู่ เจ้ายังมีหินวิญญาณมารอยู่หรือเปล่า?” ซูหยางถามระหว่างทาง
“ขอรับ” เมื่อได้ยิน กู่ซิ่วตระหนักดีถึงปัญหา “นายท่าน มีวิญญาณมารงั้นรึ?”
ซูหยางพยักหน้า "ส่งหินวิญญาณมารมาให้ข้าก่อน"
กู่ซิ่วหยิบหินวิญญาณมารออกมาจากถุงมิติ และมอบให้ซูหยางด้วยสีหน้าหนักใจ
“หากเราไม่จัดการให้ดีจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน”
“ปัญหา?” ซูหยางส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาหรอก”
กู่ซิ่วยิ้มอย่างขมขื่น และไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก
เขาคิดว่าซูหยางยังไม่รู้จักความน่ากลัวของวิญญาณมารดีพอ
วิญญาณมารบางตนกลัวบางสิ่งที่พิเศษเกินไป
ถ้าเราเจอสิ่งนั้นที่ไม่สามารถฆ่าได้จริงๆ มันจะเป็นปัญหาไหม?
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็มาถึงจุดๆ หนึ่งใกล้เมืองหลิวเฟิง
หลังจากมาถึงที่นี่ พวกเขาเห็นพื้นที่ๆ ปกคลุมไปด้วยเจตจำนงดาบอันบ้าคลั่ง
ในพื้นที่นี้ วิญญาณมารได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา และถูกสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันถูกบดขยี้จนแทบไม่เหลือเศษซากเลย
“ฟู่ วิญญาณมารระดับยอดปรมาจารย์!”
แม้ว่าเขาจะได้เห็นเพียงแวบเดียว แต่อี้เทียนป้ายังคงสัมผัสได้ถึงพลังของวิญญาณมารตนนี้
เหล่าปรมาจารย์ที่ตามมาก็หวาดกลัวเช่นกันนี่คือ ความแข็งแกร่งของจ้าวยุทธงั้นเหรอ?
อีกฝ่ายสามารถฆ่ายอดปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดาย
มีเพียงกู่ซิ่วเท่านั้นที่สงบกว่า
จริงๆ แล้ว จะบอกว่าเขารู้สึกชินชาก็ว่าได้
“ค่ายกลสังเวยเลือดอยู่ข้างใน ช่วยจัดการมันให้ที” หลังซูหยางได้รับหินวิญญาณมาร เขาก็กำลังยุ่งอยู่กับการทดสอบว่าวิญญาณมารกลัวอะไร ดังนั้นเขาจึงขอให้คนอื่นๆ จัดการค่ายกลแทน
ทุกคนมองหน้ากัน และเดินไปที่ถ้ำใต้ดิน
ซูหยางอยู่ที่นี่เพื่อรอผลการทดสอบของหินวิญญาณมาร
ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจะนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับคุณภาพของหินวิญญาณมาร และความแข็งแกร่งของวิญญาณมารเป้าหมาย
ในไม่ช้าออร่าของค่ายกลสังเวยเลือดก็ค่อยๆ หายไป
ออร่าสีเลือดที่ห่อหุ้มเมืองหลิวเฟิงทั้งหมดก็สลายไป
จากนั้น กลุ่มปรมาจารย์ก็กลับออกมา
กู่ซิ่วออกมาเป็นคนแรก และมอบถุงมิติเจ็ดใบให้กับซูหยางด้วยความเคารพ
“นายท่าน ท่านลืมสินสงครามเหล่านี้เอาไว้”
ซูหยางมองดู และดูเหมือนเขาจะลืมมันไปแล้วจริงๆ
ในเวลานั้นข้ารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นความสามารถที่น่าเหลือเชื่อของวิญญาณมาร
กู่ซิ่วผู้นี้ทำได้ดีจริงๆ
“เจ้าเก็บไปก่อน”
"ขอรับ"
อี้เทียนป้า และคนอื่นๆ ก็เดินออกมาเช่นกัน และพวกเขาไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติเมื่อเห็นกู่ซิ่ว ทำเช่นนี้
พวกเขาเข้าใจแล้วว่า กู่ซิ่วเป็นผู้พิทักษ์ดาบ และผู้ติดตามของซูหยาง
แค่ผู้ติดตามคนนี้มีความแข็งแกร่งพอๆ กับพวกเขาเลย
หลังจากการรอไม่กี่นาที หินวิญญาณมารก็ตอบสนอง
เสียงสายฟ้าร้องวูบวาบปรากฏขึ้นไปบนหินวิญญาณมาร
“นี่แสดงว่ากลัวฟ้าร้อง และฟ้าผ่าเหรอ?” ซูหยางไม่แน่ใจนัก ดังนั้นเขาจึงมองไปที่กู่ซิ่ว
“ใช่แล้วขอรับนายท่าน วิญญาณมารนี้คงกลัวฟ้าร้อง และฟ้าผ่า” เมื่อกู่ซิ่วเห็นสิ่งนี้ เขาก็ค้นหาในความทรงจำว่ากองกำลังใดที่ฝึกฝนเกี่ยวกับสายฟ้าบ้าง
“นายท่าน ตามความทรงจำของข้า ภูเขาเทียนเล่ย สำนักสายฟ้าอนันต์ ศาลาวายุอัสนี กองกำลังเหล่านี้ต่างก็มีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่ง”
“แต่อาจเป็นเรื่องยากเล็กน้อยที่จะขอให้จอมยุทธ์เหล่านั้นยื่นมือช่วย”
“ไม่จำเป็น พวกเจ้าถอนออกไปก่อน” ซูหยางส่ายหัว เขาจัดการเองได้ จะเสียเวลาเรียกคนอื่นๆ ไปทำไม
แม้ว่ากู่ซิ่วจะไม่เข้าใจว่าซูหยางจะทำอะไร แต่เขาก็ยังส่งสัญญาณให้อี้เทียนป้า และคนอื่นๆ ถอยออกไป
ด้วยความคิด ซูหยางใช้เจตจำนงแห่งสรรพชีวิต 30 ดวงเพื่อสร้างวิชาดาบที่มีคุณลักษณะสายฟ้า
ตามกฎแล้ว วิญญาณมารต้องฟื้นคืนชีพก่อนจึงจะสังหารได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นซูหยางจึงถอนเขตแดนดาบออกไป
หลังจากรอสักพัก ในที่สุดฟางเฉิงเต้าก็ฟื้นคืนชีพกลับมา
เมื่อรับรู้ว่าตนยังไม่ตาย ฟางเฉิงเต้าจึงพูดในทันที "ปล่อยข้าไป! เจ้าไม่สามารถฆ่าข้าได้ ในขณะที่ข้ายังมีสติอยู่ จงปล่อยข้าไป และหลังข้าหลอมรวมได้สำเร็จ ข้ายินดีที่จะเป็นผู้ช่วยของเจ้า ในอนาคต"
ซูหยางไม่ได้เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ผู้ช่วย?
บาประดับ 723
คนๆ นี้สมควรตาย!
เขาไม่สนใจข้อเสนอของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
"ใช้เจตจำนงดาบของข้าเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลก!"
"ดาบอัสนีสวรรค์!"
เมื่อซูหยางพูดจบ ท้องฟ้าที่แจ่มใสก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆมืด
มีเสียงฟ้าร้อง และฟ้าผ่าแวบวับอยู่ในนั้น
ดาบยักษ์ที่ก่อตัวจากสายฟ้าฉีกผ่านเมฆฝนฟ้าคะนอง และพุ่งลงมา