ตอนที่ 22 พรุ่งนี้ข้าจะไปซื้อเสื้อใหม่ (เปิดให้อ่านฟรีวันที่ 06/03/2567)
“มันยังไม่ตาย? พวกตระกูลถังไร้ฝีมือเกินไปรึเปล่า” เสียงที่ฟังดูเย็นชาดังออกมาจากปากของชายกลางคนที่ดูอบอุ่นผู้หนึ่ง คนที่เขากำลังเอ่ยถึงเป็นคนในตระกูลสายเลือดเดียวกันแท้ๆ แต่เหมือนจะไม่ได้สำคัญอะไรในใจของเขาเลย
“ใช่ขอรับ ข้าน้อยได้รับแจ้งมาว่าตระกูลถังไล่ต้อน ล้อมสังหารพวกมันไปได้เกือบหมดแต่กลับมีผู้เยี่ยมยุทธมาช่วยไว้ทำให้ตระกูลถังต้องล่าถอยออกมา” ชายที่กำลังคุกเข่ากล่าวออกมา
“อืม นับว่าน่าแปลกใจ ไปสืบดูว่าใครช่วยมันไว้ พวกมันได้อะไรกลับมาบ้าง” ชายที่ดูเหมือนจะเป็นคนสั่งการออกคำสั่ง
“ขอรับ” แล้วชายที่นำข่าวมาแจ้งก็จากไป
“ข้าแปลกใจจริง คิดว่าเจ้าจะตายกันหมดซะอีก ดูท่าจะต้องติดต่อคุณชายให้เร่งแผนการขั้นถัดไปเร็วขึ้นซะแล้ว” เสียงที่เย็นชากล่าวออกมายามที่เหลืออยู่คนเดียวภายในห้อง
ต่อให้ทุกคนในตระกูลต้องตายเขาก็จะขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไปให้ได้...
ทางด้านเย่ซี หลังจากที่มารโลหิตนภาสีชาด(ปลิง)กลับมามีชีวิต เขาก็ขี้เกียจจะตั้งร้านขายของต่อเพราะมันเริ่มจะมืดแล้ว
“เจ้าไม่มีบ้านมีช่องให้กลับรึไง จะตามไปถึงในห้องนอนข้าเลยไหม?” ชายหนุ่มหันกลับไปถามหญิงสาวที่เดินยิ้มตามมาไม่ห่าง แถมพูดไม่หยุดอีก หลังจากที่ได้ทราบถึงสินค้าที่มีนางก็หาเรื่องมาพูดๆๆไม่หยุด แถมนางยังสังเกตถึงฟิชที่อยู่ในโหลบนรถเข็นจนทั้งคู่ได้รู้จักกัน
หลังจากนั้นก็เกินการพูดคุยระหว่างคนกับปลามาตลอดทาง ความน่ารำคาญทวีคูณ ถึงผู้คนที่อยู่ระหว่างทางจะสงสัยว่าหญิงสาวตรงหน้าคุยกับปลาในโหลแก้วทำไม และถึงจะตะลึงในความงดงามของนางมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครเดินเข้ามาถาม ไม่มีใครเดินเข้ามาจีบนาง เพราะนึกว่านางเป็นบ้า!
“จะ...เจ้าบ้า ใครจะไปนอนห้องเดียวกับเจ้ากัน!” หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม
“เหอะ! เจ้าอย่าตาต่ำไป นายท่านของข้าคือผู้เยี่ยมยอดที่สุดในยุทธภพแล้ว พลาดแล้วพลาดเลยนะจะบอกให้” ปลาปากเสียในโหลขัดขึ้นมา ยิ่งทำให้หญิงสาวหน้าแดงกว่าเดิมแล้วเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้า เขาก็หล่อเหลาเอาการ แถมยังมีของวิเศษที่นางไม่เคยพบเห็นอีกมากมาย นางมั่นใจว่าอาจารย์ของนางก็ต้องไม่เคยพบเห็นเช่นกัน
“หุบปากได้แล้ว ไอ้ปลาปากมาก ไม่งั้นข้าจะจับเจ้ามาขอดเกร็ดต้มกิน” ชายหนุ่มกล่าวออกมา
“ข้าเงียบแล้ว ข้าเงียบแล้วนายท่าน” ฟิชหุบปากไปในทันที
“เราแยกกันตรงนี้ก็แล้วกัน นี่หินสื่อสารของข้า ถ้าเจ้าใส่พลังปราณเข้าไปมันจะสามารถใช้ติดต่อสื่อสารกับหินที่ข้ามีได้ แต่ก็จำกัดแค่ไม่เกินสามสิบกิโลเมตรเท่านั้นนะ ถ้าหินสองก้อนอยู่ห่างไกลกว่านั้นมันจะใช้ไม่ได้” หญิงสาวยื่นก้อนหินแบนๆขนาดเท่าไข่ไก่ให้ชายหนุ่ม มีอักขระประหลาดสลักเอาไว้ด้านหนึ่ง
“ขอบคุณ แล้วข้าจะทราบได้อย่างไรว่าตอนที่จะใช้งานอยู่ห่างจากเจ้าเกินสามสิบกิโลเมตรไหม?” ชายหนุ่มถามสิ่งที่สงสัยออกมา
“เจ้าสังเกตอักขระบนก้อนหิน ถ้าหินสองก้อนอยู่ห่างกันเกินไป อักขระพวกนี้จะไม่ปรากฏ” หญิงสาวอธิบายออกมา ถึงหินสองก้อนนี้จะไม่ได้หายากเท่าแหวนมิติ แต่มันก็หายากมากทีเดียว
ความจริงแล้วตระกูลซูก็พอมีอยู่บ้าง อย่างตอนที่ซูไห่ถูกไล่ล่าเขาก็พยายามจะใช้หินติดต่อกลับไปยังท่านพ่อของเขา แต่เสียดายที่ระยะมันไกลเกินไป จึงได้แต่พยายามสร้างอาคมสื่อสารแทน
“ไว้เจอกันใหม่ ถ้าสนใจสินค้าก็ติดต่อข้าได้ตลอดเวลา ข้าคงอยู่ที่เมืองนี้ไปอีกนานพอตัว” หลังกล่าวอำลากันเสร็จชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเขตนี้ โรงเตี๊ยมพลบค่ำ
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตเหมือนเป็นปราสาทแห่งหนึ่ง มีสีแดงสลับเขียวขับให้ดูโดดเด่นออกมาท่านกลางบ้านเรือนทั่วไปที่รายล้อม ความสูงโรงเตี๊ยมทั้งหมด5ชั้น มีห้องพักมากกว่าร้อยห้อง ห้องอาหารนับสิบ ห้องรอบรองแขกอีกสิบ
ทั้งโรงเตี๊ยมสร้างจากไม้ล้ำค่าทั้งหมด เสาแต่ละต้นสลักมังกรทองให้ความน่าเกรงขาม ดุดัน พื้นหินสีดำขัดมันเงางามเสริมให้ที่แห่งนี้ดูมีราคามากยิ่งขึ้นไปอีก โรงเตี๊ยมถูกล้อมด้วยรั้วอิฐสีแดงสูงสามเมตร มียามเฝ้าประตูที่กว้างพอจะให้รถม้าสองคันเข้าพร้อมกันได้สี่คน ทั้งสี่คนเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับสอง
ถ้าสังเกตดีๆก็จะพบว่ามีแต่คนที่ดูมีฐานะเดินเข้าออกกันไม่ขาดสาย ดังนั้นเมื่อมีชายหนุ่มท่าทางซอมซ่อ เข็นรถขายของตรงเข้ามา ย่อมดึงดูดสายตาผู้คนโดยรอบเป็นธรรมดา
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ยามเฝ้าประตูขวางชายหนุ่มเอาไว้หน้าประตู ไม่ยอมให้ผ่านรั้วโรงเตี๊ยมเข้าไปด้านใน
“มาโรงเตี๊ยมก็ต้องหาข้าวกิน หรือหาที่นอนสิ ถามแปลกๆ” ชายหนุ่มตอบกลับไปห้วนๆ นี่สภาพเขาดูแย่มากเลยรึไง สงสัยพรุ่งนี้ต้องไปหาชุดใหม่มาใส่ซะแล้วมั้ง
ตั้งแต่ตื่นมาโลกนี้เขาก็ยังไม่ได้หาเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่เลย ถึงจะพอมีชุดที่ได้มาจากพวกแหวนของนักฆ่าบ้าง แต่ก็เป็นชุดคลุมหน้าคลุมตาสีดำทั้งหมด ใส่ไปคนจะหาว่าน่าสงสัยเอา แถมเขาไม่ชอบใส่เสื้อผ้าของคนอื่นด้วย ดังนั้นแม้ชุดที่ใส่อยู่มันจะเป็นเพียงชุดผ้าฝ้ายสีขาวสกปรก แถมขาดเต็มไปหมดเขาก็ไม่สนใจ
“ปากดีนัก ห้ามขอทานอย่างเจ้าเข้าไป ถ้าไม่ฟังระวังจะเจอดี!” ยามสองคนไขว้หอกกันทางเข้าไว้ไม่ยอมให้ชายเบื้องหน้าเข้าไปด้านใน
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขอทานในสายตาพวกเขา เข็นรถกระแทกเข้าใส่อย่างแรง จนหอกของยามสองคนที่ขวางทางหักครึ่ง หอกสองเล่มนี้เป็นถึงอาวุธระดับกลางเลยนะ! นอกจากอาวุธจะหักแล้ว คนยังกระเด็นไปกองกับพื้นกระอักเลือดออกมาคำโตอีกต่างหาก
“สุนัขที่ดีย่อมไม่ขวางทาง! อ้าว ข้าพูดช้าไปเหรอ ช่างเถอะ” แล้วชายหนุ่มก็เข็นรถไปต่อโดยไม่สนใจยามทั้งสี่คนที่สองคนกองหมดสภาพ ส่วนอีกสองคนยืนอึ้งอยู่อีกต่อไป