ตอนที่ 11 มาดวลกัน!
ชื่อ : เย่ซี
อายุ : 20 ปี
เงินติดตัว : 1,100 ผลึก
พลังปราณ : ระดับสี่ ราชาปราณ
ร่างกาย : ระดับจักรพรรดิ
จิตวิญญาณ : ???
ทักษะ : ช่างไม้(ระดับราชวงศ์) , จ้าวแห่งธาตุ(ระดับสมบูรณ์) , ขายตรง(ระดับเซียน)
ชื่อเสียง : 20
“ระดับมันมีอะไรบ้าง?” เมื่อเห็นค่าสถานะของตัวเอง ชายหนุ่มจึงถามระบบขึ้นมา
“ระดับของร่างกาย จิตวิญญาณ ทักษะ จะแบ่งออกเป็นดังนี้
ระดับต่ำ
ระดับกลาง
ระดับสูง
ระดับสมบูรณ์
ระดับราชวงศ์
ระดับกึ่งจักรพรรดิ
ระดับจักรพรรดิ
ระดับตำนาน
ระดับกึ่งเทวะ
ระดับเทวะ
ระดับกึ่งเซียน
ระดับเซียน
” เสียงระบบตอบกลับมายืดยาว ชายหนุ่มก็พยายามจำให้ได้มากที่สุด
“ถ้าข้อมูลที่ฟิชและคนของตระกูลซูให้มาถูกต้อง แสดงว่าข้าก็นับว่าแข็งแกร่งพอตัวในทวีปนี้เลย แต่จะประมาทไม่ได้ เพราะอาจจะมีพวกตระกูลลับ สำนัก เผ่า หรืออะไรทำนองนั้นแบบในนิยายที่เคยอ่านซ่อนตัวอยู่ก็ได้” เย่ซีครุ่นคิดอยู่ในใจหลังจากทราบข้อมูลของตัวเอง
เขาเคยลองเช็คสถานะของฟิช และตระกูลซูมาหมดแล้วคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีระดับปราณที่ระดับสามเท่านั้น ส่วนร่างกาย จิตวิญญาณ ทักษะ แทบทุกคนจะระดับกลาง มีแค่หัวหน้านักฆ่าที่กลายเป็นปลาไปอยู่ในท้องฟิช ที่เป็นระดับสูง
“แล้วไอ้ จิตวิญญาณ ??? มันคืออะไรกัน”
“ไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากโฮสยังระดับต่ำเกินไป โปรดติดต่อข่าวสาร การอัพเดทต่อไปในอนาคต” เสียงระบบตอบกลับมา นับวันมันยิ่งเหมือนฟิชขึ้นไปทุกวัน
“ท่า...”
“ท่านเย่ซี” เสียงซูไห่ดังขึ้นขัดจังหวะที่เย่ซีกำลังคิดเรื่อยเปื่อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว
เมื่อหันไปมองก็พบว่าตระกูลซูพากันซ่อมแซมรถม้าและฟื้นฟูบาดแผลกันจนใกล้จะหายดีหมดแล้ว
“พวกเราจะเดินทางกันเลยไหมขอรับ ข้าคิดว่าใช้เวลาประมาณสัปดาห์ก็น่าจะถึงกำแพงอาณาจักรแล้ว” ซูไห่ถามต่อเมื่อเห็นว่าเย่ซีหันมองมาที่ตน
“ได้ ข้าเตรียมพร้อมตลอดอยู่แล้ว”
“แล้วพวกเจ้าไม่ต้องไปหาสมุนไพรแล้วเหรอ?” เย่ซีถามต่อ
“ไม่จำเป็นแล้วขอรับ ข้าว่าสินค้าที่ซื้อจากท่านมามันยังดีซะกว่าสมุนไพรที่ข้ากำลังตามหาซะอีก” ซูไห่กล่าวออกมา พลางทำหน้าเจื่อน สิ่งที่เขาตามหา สูญเสียคนไปก็เยอะ ยังไม่สู้สินค้าที่ชายหนุ่มตรงหน้าของมันนำมาขายเลยด้วยซ้ำ
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด เมื่อมีของเหล่านี้อยู่จะต้องช่วยให้ตัวเขาช่วยเหลือท่านพ่อ แล้วยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปได้ไม่ยากแน่นอน
“รถพร้อมแล้ว ท่านจะขึ้นไปนั่งบนรถม้าไหมขอรับ ข้าจะให้คนขี่ม้าลากรถเข็นไปด้วยแทน” ซูเกอหลี่ หัวหน้าผู้ฝึกตนของตระกูลซูหันมาถามเย่ซีอย่างนอบน้อม
“ไม่รบกวนพวกท่านหรอก”
“ฟิช มาลากรถ” เมื่อเห็นว่าตระกูลซูมีม้าคอยลากรถน่าจะสบายไม่น้อย เขาจึงเรียกปลาปากเสียที่มันเงียบผิดปกติมาลากรถเข็นบ้าง
เตาะ แตะ
ฟิชเดินมาช้าๆ ระหว่างเดินก็ยืดอก อวดเบ่งใส่ตระกูลซูที่กำลังมองมา เหมือนจะบอกว่าพวกเจ้ามันช่างไร้โชควาสนาซะจริงๆ อดติดตามนายท่านแบบตัวของมัน
แถมมันยังหันไปยิ้มเยาะให้พวกม้าที่กำลังพักผ่อนกินหญ้า ยังไงพวกเจ้าก็แค่อสูรชั้นต่ำ จะไปวิ่งเร็วกว่าตัวข้าได้ยังไง ข้าต่อให้ใช่แค่สองครีบเลย!
มาดวลกัน!!
ครึ่ก ครึ่ก
“แน่จริงก็ตามให้ทันสิ ม้ากระจอก!” เสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยดังขึ้น
ท่านกลางฝุ่นควันที่ฟุ้งตลบจากการที่มีกลุ่มคนเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว จะเห็นว่ามีรถม้าขนาดใหญ่คันนึ่ง กำลังแล่นตามหลังรถเข็นสีชมพูที่มีปลาตีนยักษ์ลากอยู่
“ฮี่ ฮี่” ม้าสี่ตัวที่กำลังลากรถอยู่ได้ยินดังนั้นก็เกินใจสู้ขึ้นมา แม้พวกมันจะยังสื่อสารไม่ได้ แต่ด้วยความที่เป็นอสูรระดับหนึ่งแล้ว พวกมันก็มีสติปัญญาที่จะฟัง ตอบโต้กับสิ่งต่างๆได้ไม่ยาก
เมื่อถูกท้าทายซึ่งหน้าเยี่ยงนี้ ย่อมต้องตอบรับเป็นธรรมดา!
“เจอกันหน่อยไอ้ปลาปากเสีย!” นี่คือสิ่งที่พวกมันพากันคิด ก่อนที่จะเร่งความเร็วขึ้นทันใด
“เฮ้ย บังคับม้าดีๆหน่อยคนขับ จะรีบไปตายรึไง” ซูเกอหลี่ที่เกือบหัวทิ่มจากความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันตะโกนออกไปด่าชายอีกคนที่กุมบังเหียนรถม้าอยู่
“ข้าทำไม่ได้ พวกม้ามันไม่ยอมฟังเลย เกิดอะไรขึ้นกัน!” ชายคนนั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นตะหนก
“อย่าบอกนะว่าเพราะคำพูดของไอ้ปลาปากเสียนั่น” พลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ฟิชมันเอ่ยยั่วยุพวกม้าอสูร
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เสียงแส้กระทบเนื้อดังขึ้น
“ไม่ไหว ตีก็แล้ว มันก็ไม่ยอมเบาลงเลย”
“เห้ยๆ มีฝีมือเหมือนกันนิ แซงข้าได้แบบนี้” ฟิชเห็นว่าพวกม้าแซงหน้าไปได้มันก็เริ่มอายขึ้นมานิดหน่อย จึงเร่งความเร็วการคลาน
ด้วยความเร็วที่มากขึ้น ทำให้ชายหนุ่มบนหัวของมันแทบจะกระเด็นไปมา
ผั้วะ!
“ฟิช! ช้าหน่อย มันเวียนหัว” “โอ๊ย มันเจ็บนะนายท่าน” เย่ซีที่นั่งอยู่บนหัวของมันจึงซัดเข้าไปหนึ่งหมัด ถึงแม้จะไม่ได้ใส่แรงมากนักแต่ก็ทำให้ปากยักษ์เจ็บจนต้องร้องออกมา
“ฮี่ ฮี่ ฮ่า” พวกม้าที่เห็นดังนั้นจึงชะลอความเร็วแล้วหันกลับมาเยาะเย้ย ถ้าฟังดีๆเหมือนเสียงพวกมันจะคล้ายๆเสียงหัวเราะชอบกล
“กรอด สักวันข้าจะจับพวกเจ้ามาย่างกิน” ถึงจะเจ็บปวดจากหมัดของเย่ซี มันก็ยังหันไปข่มขู่พวกม้าที่เยาะเย้ยมัน
พวกม้าสี่ตัวเองก็ไม่แพ้กัน ถึงจะโดนแส้ฟาดจนบาดเจ็บ ก็หาได้ใส่ใจไม่ เจ็บตัวไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ เป็นแค่ปลาจะมาเร็วกว่าม้าได้ยังไง
“เลิกเล่นได้แล้ว ! คลานไปดีๆ ไม่งั้นข้าจะจับเจ้าย่างกิน” เย่ซีส่งเสียงเตือนฟิช
“ขอโทษทุกท่านด้วย เหมือนสัตว์เลี้ยงของข้าจะชอบเล่นตลกเกินไปหน่อย” เย่ซีหันไปกล่าวกับคนของตระกูลซูที่ยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก พวกข้ายังไหว เราเดินทางกันต่อเลยไหมท่านเย่ซี” ซูไห่ถามกลับ
“ไปกันต่อเถอะ ฝากพวกท่านนำทางด้วย ข้าจะให้เจ้าปลาตัวนี้มันตามหลังไป จะได้ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอีก”
หลังจากจัดขบวนใหม่เรียบร้อย ทุกคนก็ออกเดินทางกันต่อ ชายหนุ่มจึงหยิบแผนที่ออกมาดู ก็พบว่าพวกเขาเดินทางกันมาได้รวดเร็วยิ่ง เพียงครึ่งวันก็เดินทางมาได้เกือบหนึ่งพันกิโลเมตรแล้ว ภาพบนแผนที่ก็แสดงออกในมุมมองแบบแผนที่ในกลูเกิ้ลแมพ ถ้าชายหนุ่มต้องการซูมลงไปก็เพียงแค่เพ่งมองไปยังตำแหน่งนั้น ภาพก็จะขยายตำแหน่งที่เลือกให้ทันที
แถมยังแสดงภาพตำแหน่งนั้นๆแบบเรียลไทม์ให้อีกด้วย ดูน่าเหลือเชื่อจนชายหนุ่มยังแปลกใจ
หลังเดินทางกันไปได้อีกสักพัก พระอาทิตย์ก็เริ่มตกดิน ตระกูลซูจึงกล่าวถามกับเย่ซีว่าจะพักค้างคืนหรือจะเดินทางต่อ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้รีบอะไร พวกเขาเลยหาพื้นที่โล่งในการตั้งกระโจมกัน
“สวยจริงๆ” หลังจากหยุดพัก ชายหนุ่มก็มานั่งอยู่ตรงก้อนหินใหญ่แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า มันเต็มไปด้วยแสงจากดวงดาราระยิบระยับ บ้างเล็ก บ้างใหญ่
ไม่เหมือนกับโลกก่อนหน้านี้ของเขา ถึงจะเจริญไปด้วยเทคโนโลยีมากมาย แต่ก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน มลภาวะ ดาวสักดวงก็มองแทบไม่เห็นเนื่องจากชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก
“หวังว่าชีวิตจะสงบสุขแบบนี้ต่อไปนะ”