บทที่ 019 - ฉากจบ หมายเลข.01
บทที่ 019 - ฉากจบ หมายเลข.01
บันทึกผู้เขียน : บทนี้เป็น เนื้อเรื่องเสริม ‘What if’ (จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…) สำหรับคนที่ไม่ชอบBad Ending ข้ามบทนี้ไปได้เลย
เงื่อนไขการจบ :
1. ค่าความชอบของนักผจญภัยหมู่บ้านเจลเซ่นเกินกว่า 30
2. ค่าชื่อเสียงในทางลบ ต่ำกว่า 100
.
.
.
‘ไม่ มันไม่มีโอกาสชนะแล้ว’
ผมขบฟันตัวเอง ไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำได้ ผมทำได้อย่างมากแค่ซื้อก็อบลิน 2 ตัว ไม่ว่ายังไงการอยู่กับก็อบลิน2ตัวแล้วมาเผชิญกับนักผจญภัย 15 คนนั้นมันเป็นไปไม่ได้
แล้วจะทำอย่างไรดี…..หรือผมควรร้องขอชีวิต?
แทนที่จะต่อต้านอย่างเปล่าประโยชน์ และเลิกยุ่งกับไอ้ค่าความชอบนั่น ที่ผมพยายามเพิ่มมาตั้งแต่แรก มันอาจจะดีกว่าก็ได้ มันไม่มีเหตุผลเลยที่ผมต้องปกป้องดันเจี้ยนนี่ไว้ ชีวิตผมสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น
พึ่งพาความรักความเมตตาเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดมันไม่ดีตรงไหน?
ผมที่ได้เพิ่มค่าความชอบนั่นมากมายตอนที่พวกเขาเห็นผมถอนเงินมาเกือบ 500 โกลด์ ผมรู้อยู่แล้วว่า ณ ตอนนั้นเวลานั้น ผมจะไม่ถูกฆ่า
นับเป็นโชคดีที่พวกเขาไม่ฆ่าผมแล้วพาผมกลับมาที่เมืองตัวเป็นๆ เจ้าเมืองยกย่องนักผจญภัยและขายผมในราคาสูง
“ขอประทานอภัยนะท่าน”
“หืม? มีอะไรรึ?”
“ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับจอมมาร?”
ริฟถามอย่างระวังตัว ผมบอกได้ว่า เขานั้นเป็นห่วงผม สำหรับหลายวันที่ผ่านมา ทั้งปาร์ตี้และผมค่อนข้างเงียบ หลังจากที่พวกเขาขายผมไปเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี เขาคงรู้สึกผิดจึงแสดงออกว่า เป็นห่วงผม
“เขาจะถูกประหารกลางแจ้งหรือเปล่า?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก หากชื่อเสียงเจ้านี่มันแย่ อาจต้องทำให้เป็นเยี่ยงอย่าง”
เจ้าเมืองพร้อมหนวดคมมองมาที่ผม แขนทั้งสองข้างของผมถูกเครื่องพันธนาการตรึงแน่น
“ว่ากันตามตรง ถึงจะเป็นจอมมารแต่ก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก”
“ชะ-ใช่แล้ว แปลว่าเขาจะไม่ถูกประหารทันทีใช่ไหม?”
“อาจเป็นอย่างนั้น อัลเบท เจ้าเมืองมีอะไรบางอย่างจะบอก”
ริฟถอนใจอย่างโล่งอก ผมก็รู้สึกเช่นกัน ที่ผมยอมแพ้ก็เพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป หากผมตายทุกอย่างที่ทำมาก็สูญเปล่า
ผมรู้สึกดีใจเล็กน้อยที่ริฟเป็นห่วงผมจนสร้างความรำคาญให้กับเจ้าเมือง
แน่นอนว่า ต้นเหตุการที่ผมถูกจับเป็นเพราะปาร์ตี้พวกเขา แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นความผิดของคนที่ส่งมาที่โลกใบนี้ ไม่ใช่ พวกเขาที่ต้องลงดันเจี้ยนเพื่อหาเลี้ยงชีวิตที่อยู่อย่างลำบาก
แล้วพวกเขาจะไปรู้ได้ยังไงว่า แท้จริงแล้วผมไม่ใช่จอมมารกันล่ะ?
ทั้งปาร์ตี้กำลังจะออกไปจากสำนักงาน พวกเราอำลากันด้วยสายตา มันอาจดูน้อยเกินไปสำหรับคนที่อยู่ด้วยกันมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ แต่เราได้เลี้ยงอำลากันไปจริงๆจังๆกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
หลังจากนั้นเจ้าเมืองก็ได้สั่งให้ยามพาตัวผมไปขังคุก
ตลอดสามเดือนที่โหดร้ายผมประทังชีวิตด้วยบิสกิตที่แข็งเหมือนคอนกรีตและน้ำสกปรกนิดๆหน่อยๆ ท้องผมโครกครากบางเวลา แต่ไม่นานก็ดีขึ้น พลังการฟื้นฟูดีอย่างน่าเหลือเชื่อเมื่อผมเป็นจอมมาร เท้าขวาที่เละเทะก็กลับฟื้นฟู เป็นอะไรที่น่าสนใจเหลือเกิน
“เฮ้ย ออกมา”
ยามพูดออกมา ผมฝืนลืมตาขึ้นมา ใบหน้าสกปรกมองผมผ่านลูกกรงเกล็ก นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงคนพูดในรอบ3เดือน มีเด็กชายคนหนึ่งเอาขนมปังและน้ำมาให้ผม เขาเป็นคนใบ้
หลังจากอยู่ในคุกหลายวัน ผมได้รู้ว่า ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ขังผู้ทรยศ ผู้สมรู้ร่วมคิด และอาชญากรที่ก่อเหตุรุนแรง
มีคนมากมายที่กุมความลับที่สาธาณชนไม่ควรรู้
นั่นคือ สาเหตุที่ทำไมคนใบ้ถึงได้รับหน้าที่เอาอาหารมาแจกจ่าย เด็กน้อยคนนั้นไม่ต่างจากราชาในโลกแห่งนี้ที่จะมีสิทธิ์ทำให้อยู๋หรือตายด้วยการให้หรือไม่ให้อาหาร
นักโทษที่ถูกขังไม่ว่าจะอายุหรือสถานะใด พวกเขาต่างทำกับเด็กคนนั้นเหมือนเป็นเจ้านายตน นักโทษในห้องขังอีกฟากอาจเคยเป็นขุนนางมาก่อน เขาดูถูกและสบถใส่เด็กชายคนนั้นในตอนแรกๆ แต่ผ่านไปไม่ถึง2 วัน พวกเขาก็เริ่มเรียกเด็กชายผู้นั้นว่า ‘นายน้อย’
เพื่อมิให้ต้องตายในกรงขังเน่าๆชื้นๆที่แสงแดงไม่เคยส่องมาถึง คุณต้องกินบิสกิตแข็งๆน่าขยะแขยงพวกนั้น
“ที่ไหน”
ผมพยายามพูด แต่ก็มีเพียงเสียงแหบพร่า ดังออกมาเท่านั้น คอของผมมันแปลกๆเพราะมันเป็นการพูดครั้งแรกในรอบหลายเดือน
ผมไอออกมาหลายต่อหลายครั้ง และปรับเสียงอีกหลายทีกว่าจะพูดออกมาจนครบ
“ผมกำลังถูกพาตัวไปที่ไหน……?”
“แกจะไปไหน ข้าไม่รู้หรอก รีบๆออกมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นแกจะได้อยู่ที่นี่ตามที่แกชอบ แล้วเน่าตายไปทั้งชีวิต”
ผมรวบรวมแรงที่เหลือเพื่อให้เข่าเหยียดยืนขึ้น เข่าผมเกือบจะหลุดออกไปหลายครั้ง แต่ผมก็ยังประคองตัวอยู่ได้ ผมไม่เคยมีประสบการณ์ไปนรกมาก่อน แต่เชื่อว่า มันคงไม่แย่เท่ากับคุกใต้ดินแล้ว
ยามลากตัวผมออกมา ผมพูดกับยามนิดหน่อยก่อนจะออกพื้นที่คุก
“เจ้าเด็กคนที่มาส่งอาหารและน้ำพวกแกน่ะ มันยักยอกเงินค่าอาหารไป”
“อะไรนะ?”
“ไอ้เด็กนั่นจงใจไม่ให้อาหารกับนักโทษบางคนอยู่บ่อยครั้ง ไอ้แฟรงค์ที่พึ่งมาก็ตายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพราะเรื่องนี้นี่แหละ”
ใบหน้าของยามบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ผมถูกนำตัวส่งขึ้นรถม้าทันทีหลังออกจากคุก
ในรถม้าที่ทาสีดำสนิทนั้นไม่มีหน้าต่าง ผมแอบดีใจอยู่เงียบๆที่ได้แก้แค้นเด็กใบคนนั้นแล้ว
ผลจากการยักยอกเงินของส่วนกลาง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องโดนลงโทษให้เสียดวงตาทั้งสองข้างไปโดยไม่ต้องสงสัย เด็กชายที่อยู่มาทั้งชีวิตโดยเป็นใบ้คราวนี้ก็ตาบอดด้วย มันทำให้ชีวิตของเขามันไม่ต่างจากการถูกขังอยู่ในคุก
ผมมาถึงตลาดค้าทาส กิจการการค้าทาสนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศนี้ ทั้งชนชั้นสูงและชนชั้นกลางต่างสูญเสียข้าทาสบริวารเนื่องจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นมาในเร็วๆนี้ ดังนั้นจึงยุ่งกับการหาทาสใหม่ทุกวัน
การที่ตลาดค้าทาสคับคั่งต้องขอบคุณสิ่งนี้จริงๆ เมื่อความต้องการซื้อมากว่าความต้องการการขาย ราคาของทาสก็เตะพุ่งสูงขึ้น ที่ตลาดค้าทาสจึงมีการประมูลทาสหายากพิเศษเฉพาะสำหรับชนชั้นสูง
“หมอนี่ผอมจนอย่างกับสัตว์ดซ? นี่เขาได้อาบน้ำล้างตัวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันน่ะ?”
เจ้าหน้าที่รับผิดชอบการประมูลขมวดคิ้ว
“นี่ไม่ไหวเลย ชนชั้นสูงพวกนั้นอาจรู้ว่า อะไรที่มีราคาสูง แต่ไม่รู้หรอกว่า พวกเราต้องทุ่มเทขนาดไหนเพื่อให้สินค้าของเรามีค่าถึงระดับนั้น เจ้าพวกโง่นั่น เฮ้ย มาทำให้หมอนี่มันเหมือนใหม่พร้อมใช้ภายในเดือนนี้เลย”
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ได้รับอาหารดีๆเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ถ้าถามว่า ผมรู้สึกยังไง ผมรู้สึกเหมือนห่านที่ไม่มีทางเลือกนอกจากกิน กิน กินเข้าไป ทั้งที่รู้ว่า วันหนึ่งจะต้องกลายเป็นฟัวกราห์
แต่ถึงอย่างนั้น ใครคนหนึ่งที่เคยมีชีวิตรอดด้วยบิสกิตเน่าๆจนถึงตอนนี้ ที่นี่คือ โลกใบใหม่ เกือบเดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่การประมูลพยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อเห็น ผมได้น้ำหนักที่เหมาะสมแล้ว
“ทาสที่พวกเราอยากจะแนะนำในวันนี้ ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ ผู้สืบทอดลำดับสองของตระกูลฟาเนเซ่(House of Farnese)ที่มีอำนาจมหาศาลในราชอาณาจักรซาดิเนีย!”
โรงประมูลแห่งนี้เคยเป็นโรงโอเปร่าพังๆมาก่อนที่จะถูกซื้อมาแล้วซ่อมแซมรื้อฟื้นใหม่ ชนชั้นสูงทั้งหลายต่างอยู่บนที่นั่งของผู้ชมและห้องรับชม
หากไม่นับสองเรื่องที่ทาสขายบนเวทีและลูกค้าต่างสวมหน้ากาก โรงประมูลแห่งนี้ก็แทบไม่ต่างจากโรงโอเปร่า
“ท่านผู้หญิง ดัชเชส ลอร่า เดอ ฟาเนเช่ (Laura De Farnese)!”
มีสาวผมบลอนด์ยืนอยู่กลางเวที แม้จะสวมเพียงผ้าขี้ริ้วเก่าๆ แต่ก็เผยให้เห็นผิวที่ขาว บริสุทธิ์ และเธอยังดูกล้าหาญ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ยังคงเชิดหน้าและมองเข้าไปในดวงตาของชนชั้นสูงทั้งหลายที่อยู่เหนือเธอจากที่ไกลๆ ผมได้ยินเสียงชนชั้นสูงทั้งหลายซุบซิบๆกันจากด้านหลังเวทีที่ผมกำลังรออยู่
“อ้า จากสงครามเบญจมาศ(Crysanthemum War)ครั้งก่อน …….”
“อย่างที่ผมคิดจริงๆ การขับไล่ออกจากศาสนาของโบสถ์นั้นน่ากลัวมาก ทำให้ตระกูลฟานาเซ่ที่ไม่มีใครเทียบได้นั้นถึงกับ……”
“เธอดูน่ารักกว่าข่าวลือที่พูดถึงเสียอีก”
ลอร่า เดอะ ฟาเนเซ่
Laura De Farnese
มันเป็นชื่อที่ผมจำได้ เธอเป็นตัวละครหลักของฝ่ายมนุษย์ที่เป็นศัตรูต่อตัวเอกในเกมDungeon Attack
ตัวเอกของDungeon Attackได้เข้าต่อสู้กับปีศาจและร่วมสงครามเพื่อช่วยมนุษยชาติ
เธอได้ปรากฏตัวในฐานะทหารของราชอาณาจักร บริแทนนี่( Kingdom of Britanny) ที่มีปัญหากับจักรวรรดิแฟรงค์( Empire of the Franks) ที่ตัวเอกสังกัดอยู่
ผู้เล่นมากมายเบื่อและแค้นชิงชังเธอเนื่องจากเธอมักจะทำให้ตัวเอกต้องเจ็บปวด แต่เธอก็ได้รับความนิยมในแฟนๆกลุ่มหนึ่งมากเนื่องจากภาพลักษณ์ของเธอที่น่ารัก และโศกนาฏกรรมที่เกิดกับครอบครัวของเธอ
ผมเข้าใจแล้ว ผมเห็นเบื้องหลังที่เกี่ยวข้องกับเธอ ที่ถูกขายมาในตลาดทาสที่ไหนสักแห่งจากในซาร์ดิเนียในช่วงที่เธอยังเป็นเด็ก อ้อ ตลาดค้าทาสแห่งนี้นี่เอง…… ความทรงจำเกี่ยวกับ Dungeon Attack ไหลกลับเข้ามาในหัวผม ผมหัวเราะเยาะตัวเองในทันที มีประโยชน์อะไรที่จะรู้ดีกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในเกม หากผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย?
ลอร่าถูกขายไปในราคาที่สูงมาก ทั้งสิ้น 2,000 โกลด์ ถ้าหากวัดเทียบจากทาสกามคุณภาพดีที่พยายามอย่างมากก็ขายได้สูงสุดไม่เกิน 500 โกลด์ ช่างเป็นช่วงต่างของราคาที่สุดยอดมากจริง
มีสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้หลังจากถูกขายด้วยมนุษย์หลายต่อหลายครั้ง คือ ความจริงที่ว่า มอนสเตอร์ที่ผมซื้อในดันเจี้ยนนั้นแพงฉิบหาย
ก็อบลินที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ทำไมถึงมีราคาตั้ง 250 โกลด์? โลกนี้มันถูกตั้งค่ามาให้ยากเสียจน ผู้พัฒนาสมควรกัดลิ้นแล้วกระโดดลงแม่น้ำอินชอน ตายห่าไปเลย ถ้าไม่ยอมกระโดด ผมจะช่วยหนุนด้วยการถีบมันให้เอง
แม้ตอนที่ลงจากเวที ลอร่าก็ยังรักษาท่าทางอันหยิ่งยโสไว้ เธอคงไม่รู้หรอก แต่เธอนั้นพึ่งถูกขายให้กับท่านเค้าท์ พาลาไทน์ แห่ง ราชอาณาจักรบริแทนนี่
จากนี้ไปเกือบทศวรรษ เธอจะถูกท่านเค้าท์ล่วงละเมิดไม่จบไม่สิ้น เค้าท์พาลาสไทน์จะใช้เธอเป็นเครื่องมือทางการเมืองในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดลำดับของสองตระกูลฟาเนเซ่ เขาจะบุกรุกและถือครองที่ดินของตระกูลฟาเนเซ่ เขายังคงหมกหมุ้นในร่างกายของลอร่า แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ถูกกำจัดโดยลอร่า ภายใต้คมดายของเธอเพื่อแก้แค้นนับสิบปีที่ผ่านมา
‘ทรมานไอ้ฮีโร่ระยำนั่นด้วยเถอะ’
ฮีโร่คนนั้นที่จะกลายเป็นศัตรูยิ่งใหญ่หลังจากที่ผมกลายเป็นจอมมาร แต่เรื่องน่าตลกคือ ลอร่าค่อนข้างจะเป็นพันธมิตรฝ่ายปีศาจที่ค่อนข้างดีที่จะทำให้ฮีโร่ต้องทุกข์ทรมานจวบจนจบเกม ผมเฝ้ามองดูเธอจากด้านหลังจนกระทั่งเธอจาก
“เอาล่ะ ตอนนี้สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ”
โฆษกพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาถูกมือราวกับเป็นแมลงวัน เสียงของเขานั้นได้ขยายไปทั่วโรงโอเปร่าด้วยอุปกรณ์เวทย์มนตร์
“ในที่สุด พวกเราก็มาถึงไฮไล้ท์สำคัญของการประมูลในค่ำคืนนี้แล้ว บางท่านอาจเคยได้ยินข่าวลือมาแล้วเช่นกัน คงมิใช่เรื่องเกินจริงที่ว่า มากมายหลายท่านมาที่นี่เพื่อสินค้าชิ้นนี้เท่านั้น ถูกตค้องแล้วครับ ความยอดเยี่ยมในความหายากที่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ขอเสียงปรบมือดังๆให้กับการปรากฏตัวด้วยครับ!”
คนคุมประตูผลักหลังผมเข้าใจ ผมครางครั้งหนึ่งก่อนจะโผล่ไปหน้าเวที เสียงปรบมือกระหึ่มขึ้นจากคนเกือบ3,500 คน ดังสนั่นทั่วโรงโอเปร่า
“หนึ่งในปีศาจที่ยอดเยี่ยมที่เป็นเหตุให้มนุษย์ตกอยู่ในความหวาดกลัว! ผู้กล้าหาญลำดับที่ 71 จอมมารดันทาเลี่ยน⎯⎯⎯!”
ความทรงจำผมกระจัดกระจายไปหมด ผู้นำเสนอได้เพิ่มราคาขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหล่าชนชั้นสูงเองก็โห่ร้องขึ้นเหมือนแมลงเม่าเข้ารุมสั่งซื้อตัวผม
“ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 โกลด์!”
10,000 โกลด์ ผมรู้สึกคลื่นเหียน นี่ถ้าหากผมมีเงินมากขนาดนั้น ผมคงไม่ต้องมาทำให้บิสกิตมันนิ่มลงด้วยน้ำลายตัวเองนานนับเดือนใต้คุกชั้นใต้ดิน และไม่ตกมากลายเป็นสินค้าในตลาดทาสแบบนี้หรอก
ขณะที่ผมกำลังวนเวียนกับความสำนึกเสียดาย ราคาของผมก็พุ่งสูงขึ้น 20,000, 25,000, 40,000 โกลด์……..
ในที่สุดก็มีคนนึงตะโกนขึ้นมาว่า 100,000 โกลด์ ความบ้าคลั่งของพวกเขาจึงได้สิ้นสุดลง ผู้คุมการประมูลตะโกน 100,000 โกลด์ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งน้ำเสียงคงที่ 100,000 โกลด์! มีใครจะให้ราคามากกว่านี้อีกไหม? 100,000 โกลด์! เอาล่ะ!
ขาย!…….
บุคคลที่ซื้อผมไปนั้นเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งจักรววรดิฮับบวร์ก (Habsburg Empire) ราชวงศ์นั้นได้ใช้ผมเป็นเครื่องสร้างความบันเทิงให้กับแขกคนสำคัญ มีตราเวทย์ที่ประทับถาวรลบไม่ออกอยู่ที่หลังของผม มันเป็นตราทาส
“อุฮ่าฮ่า! ไวน์ที่รินด้วยฝ่าบาทจอมมารนี่ พิเศษสุดจริงๆ!”
“เป็นพระคุณล้นพ้นเหลือเกิน, ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาท,โปรดให้อภัยกับความโอหังของผู้นี้ด้วย!”
ตัวตลก
ของเล่น
และบางครั้งก็เป็นทาสกาม
กาลเวลาไหลผ่านไป ผู้คนตระหนักได้ว่า จอมมารนั้นไม่แก่ลงเลย ใบหน้าผมยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
พวกคนในราชวงศ์ต่างพบจุดมีเสน่ตรงนี้ของผม เหมือนพวกเขาได้เจอของเล่นที่ไม่มีวันพังไม่ว่าจะเล่นยังไงก็ตาม
ราชสกุลนั้นมิได้มีแต่ด้านสว่างเท่านั้น ยังมีด้านอื่นที่ซ่อนบังอยู่หลังม่าน
ต่างจากเมดในวังที่เป็นลูกสาวจากตระกูลขุนนาง ความลับที่ซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นคือ การที่มีเผ่าพันธุ์อื่นๆและเหล่าเอลฟ์ถูกนำตัวมาที่นี่ด้วย
มีเอลฟ์คู่หนึ่งในหมู่ทาสเหล่านั้น ฝ่ายสามีทนไม่ได้ที่เห็นภรรตนถูกข่มขืน และวางแผนที่จะหนี ผมเข้าไปแตะหลังเขาเพื่อเตือนให้เข้าใจถึง สถานะที่พวกเขาอยู่
แต่มันไม่ใช่การข่มขืนอย่างเดียว ……ครั้งหนึ่งร่างของภรรยาของเขาแปดเปื้อนด้วยอะไรต่อมิอะไร สามีจึงไม่อาจทนอยู่ได้ต่อไป
ตั้งแต่แรกแล้ว กฏที่บอกว่า ‘พวกแกต้องไม่สวมเสื้อผ้า’ นั้นก็สร้างความโกรธแค้นให้กับเผ่าที่ถือศักดิ์ศรีอย่างเอลฟ์พอสมควร.
“อย่าหนีนะ”
ผมได้แนะนำพวกเขาไป แต่ก่อนที่จะรู้ ผมก็กลายเป็นเหมือนปากกระบอกเสียงแทนทาสหลวงไปแล้ว มันอาจเป็นเรื่องธรรมดาก็ได้เพราะผมนั้นเป็นทาสที่มี ‘ชีวิต’ อยู่ได้ยาวนานที่สุด ค่าเฉลี่ยอายุทาสในที่แห่งนี้คือ ประมาณ 50 วัน
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่ข้าไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว”
“ถึงจะดูน่าตลก แต่คิดว่า พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับสันดานผู้คนหรือ? พวกเขาจงใจทำแบบนั้น พวกเขาเฝ้าให้เจ้าหนีอยู่แล้ว ขอเดิมพันด้วยชีวิตนี้”
“ข้ารู้”
“แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ยังคิดจะหนี?”
เอลฟ์ผงกหัว
“ในโลกนี้มีสิ่งใดที่มีค่าเกินไปกว่าชีวิตอีกเล่า”
“……ไม่ควรหนีไปทางใต้อย่างเด็ดขาด ถ้าเป็นไปได้ จงไปทางเหนือ แล้วจะบอกทางหนีให้”
เอลฟ์คู่นั้นหนีไป และถูกจับกุมตัวภายใน 6 ชั่วโมง
ผมกลับรู้สึกทึ่งที่พวกเขาฝ่ายามราชวงศ์และหนีได้ถึง6ชั่วโมง หรือผมควรรู้สึกแย่ที่พวกเขาหนีไปถึง 6ชั่วโมงทั้งที่เตรียมตัวจะตายแล้ว? ผมไม่รู้คำตอบนั้น
ฝ่ายภรรยาถูกข่มขืนต่อหน้าสาธารณ อยู่หลังม่านคอก สามีก็ถูกฆ่าที่นั่น ฝ่ายภรรยาก็กัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเห็นเขาตาย
ผมถูกตำหนิ เนื่องจากได้รับการดูแลทาสกาม มันไม่มีทางหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบที่ทาสคู่นั้นได้หนีออกไป ยิ่งไปกว่านั้นพวเขาก็เริ่มสงสัยผมด้วยซ้ำว่า ผมจะเป็นคนที่บอกทางหนีให้พวกเขา ผมยืนยันหนักแน่นว่า ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการหนีของพวกเขา แต่ไม่มีทางที่พวกนั้นจะเชื่อ ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอก หากผมเป็นพวกนั้น ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
“ช่างน่ากลัวเสียจริง”
ผมได้ยินเสียงคน นานกี่วันแล้วนะ นับตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงผู้คนเป็นครั้งล่าสุด? ผมขยับเปลือกตาขึ้น หนังตาของผมเปิดขึ้นไม่ง่ายเพราะมีเลือดปกคลุมอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ผมมองเห็นเพียงเล็กน้อย
“เจ้าไม่แม้แต่จะฟังคำสั่ง แม้ข้าจะขอให้ยกโทษ ถึงที่นี่จะเป็นประเทศอันฟอนเฟะ และราชวงศ์มันเน่าเหม็นก็ตาม
ผมมองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่ผมพอบอกได้จากเสียงว่า เป็นผู้หญิง ด้วยการมองเห็นที่เลือดลาง เธอมีผมสีเงิน ผมสีเงินนั้นเป็นสัญลักษณ์ของสายเลือดเชื้อพระวงศ์ฮับบวร์ก
“แม้ข้าจะมีสายเลือดโสมมเช่นกัน แต่อย่างน้อยที่สุด มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องปลิดชีพผู้คน”
ผมเข้าใจแล้ว
เด็กสาวคนนี้คือ⎯⎯⎯.
“ข้าได้กำจัดทาสที่แสดงความไม่เคารพต่อตัวข้า ไม่มีใครสามารถตำหนิ หากข้าต้องการอย่างนั้น”
“……ขอบคุณ”
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรที่คู่ควรกับการซาบซึ้งคุณของเจ้า จอมมาร มีคำสั่งเสียอะไรไหม?”
คำสั่งเสียเรหอ
ถ้าหาก แค่เพียงหากตอนนั้น
ถ้าผมไม่ยอมแพ้แล้วกลับไปกับนักผจญภัย
ถ้าหากผมยอมเสี่ยงแล้วสวนกลับไป ทุกสิ่งอาจแตกต่างไปจากเดิมก็เป็นได้
“……ระวังไว้ให้ดีนะ มาร์คกราฟ นอฟโกรอด(Margrave Novgorod) เขาคือ ผู้ลอบสังหารเหนือหัวของพวกเรา จักรพรรดิคนล่าสุด”
“……!? รู้ได้อย่างไรว่า จักรพรรดิคนล่าสุดถูกลอบสังหาร? ไม่สิ สำคัญกว่านั้น”
“แค่นั้นแหละ”
แล้วทั้งหมดก็เงียบ
เธอถอนใจเสียงต่ำออกมาด้วยความโศกเศร้า
“ข้านั้นช่างโง่เขลา ข้าควรจะช่วยเจ้าให้เร็วกว่านี้”
ผมได้ยินเสียงดาบเคลื่อนออกจากปลอก
“ปรารถนาให้เจ้าได้พบกับสันติสุขในอีกโลก”
ในอีกโลกอย่างนั้นเหรอ? หา?
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมตาย?
ผมจะกลับไปสู่โลกเดิม? หรือผมอาจจะ⎯⎯⎯
Ο
Ο
Ο
Ο
สัมปชัยญญะ
Ο
การรับรู้ของผมถูกตัดขาด
Ο
Ο
Ο
Ο
Ο
Ο
Ο
Ο
─ ฉากจบหมายเลข 01 (เดธ เอนดิ้ง): <ตัวตลกแห่งราชสกุล>
─ ฉากจบนี้จะถูกเพิ่มเข้าไปในอัลบั้ม
─คุณต้องการจะเล่นใหม่หรือใหม่?
—--------------------------------------------
คำส่งท้ายจากผู้เขียน Author’ Afterword
ผมกำลังคิดอยู่ว่า จะเขียนฉากจบแบบนี้บ้างในบางที
อาจเป็นเพราะมันเป็นฉากจบแรก มันถึงได้รู้สึกว่าอ่อนไปหน่อย จากการอ้างอิงแล้ว แบด เอนดิ้งสมควรให้ความรู้สึกเชือดเฉือด ทิ่มแทง อึดอัดและทะลวงความรู้สึก…
—---------------------------
[ Ending no.01 (Dead Ending): <Clown of the Imperial Household>]
[An ending has been added to your album.]
[Would you like to replay the game?]