ตอนที่ 9 ความช่วยเหลือ
ห้องโถงขนาดใหญ่ของตระกูลซู
ผู้คนที่อยู่ในระดับสูงของตระกูลซู ต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่กันเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าตระกูล หัวหน้าหน่วยต่างๆ ครูฝึกระดับสูง อัจฉริยะของตระกูล หรือแม้กระทั่งผู้คนที่ถูกส่งออกไปลาดตระเวนรอบๆเมืองก็ถูกเรียกตัวกลับมาเป็นการด่วน
บรรยากาศในยามนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะเมื่อสักครู่นี้มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมาจากคุณชายสาม สัญญาณที่ส่งมานั้นก็เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ และแจ้งว่าคุณชายสามกับคณะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขับ
“มีใครจะเสนออะไรไหม” ซูเกอ หัวหน้าตระกูลซูคนปัจจุบัน รวมถึงเป็นพ่อของซูไห่ กล่าวถามออกมาด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ข้าว่า เราควรส่งผู้ฝึกตนระดับสามทั้งหมดออกไปช่วยโดยด่วนขอรับ ศัตรูมีมากหลายร้อย ถ้าชักช้าอาจจะไม่ทันกาลได้ ถึงแม้ว่าอาคมปราการแสงจันทร์จะต้านผู้ฝึกตนระดับสามได้หลายชั่วยามก็ตาม” ชายชราคนหนึ่งกล่าวเสนอความคิดเห็นออกมา ทำให้คนบางส่วนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย
“แต่ข้าไม่เห็นด้วย ถ้าเราส่งผู้ฝึกตนระดับสามซึ่งถือว่าเป็นกำลังสำคัญออกไปทั้งหมด มันจะทำให้ตระกูลของเราไร้ซึ่งการป้องกัน มันอาจเป็นแผนของศัตรูในการล่อให้กองกำลังของเราออกไปแล้วบุกโจมตีก็ได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวแย้ง
“นั่นก็จริง แต่คุณชายสามก็สำคัญสำหรับตระกูลของเรา จะปล่อยให้เขาตายไม่ได้เด็ดขาด”
เสียงผู้คนต่างเสนอความคิดเห็น โต้แย้ง ดังกันระงมไปหมด ฝั่งที่เห็นด้วยและสนับสนุนคุณชายสามก็อยากจะให้ส่งคนไปให้เยอะที่สุด ฝั่งที่สนับสนุนผู้สืบทอดคนอื่นต่างก็โต้แย้งโดยให้เหตุผลต่างๆออกมา ในใจของพวกเขาต่างก็คาดหวังให้คุณชายสามตาย เพื่อที่ผู้สืบทอดที่พวกเขาถือหางไว้จะได้มีสิทธิเป็นผู้นำตระกูลมากขึ้นไปอีก
“เงียบได้แล้ว!” ซูเกอส่งเสียงออกมาเพื่อให้ทุกคนเงียบ
“ส่งผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสห้า ผู้ฝึกตนระดับสาม ยี่สิบคน ผู้ฝึกตนระดับสอง ห้าสิบคน ไปช่วยเหลือคุณชายสาม ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดให้เตรียมพร้อมสำหรับการบุกโจมตีที่ไม่คาดฝันเอาไว้” เมื่อกล่าวจบก็ได้ข้อสรุป ทุกคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองทันที
ใช้เวลาแค่สิบนาทีกองทัพตระกูลซูก็รีบมุ่งหน้าไปตามจุดหมายที่แสดงอยู่ในแผ่นอาคมทันที แผ่นอาคมนี้จะจับสัญญาณจากอาคมลับที่สมาชิกในตระกูลส่งมาขอความช่วยเหลือ และแสดงตำแหน่งคร่าวๆออกมา
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันมองภาพตรงหน้าพร้อมกับพูดคุยกัน เพราะการเคลื่อนทัพเกือบร้อยคน แถมมีแต่ยอดฝีมือแบบนี้หาได้ยากนัก สายสืบของแต่ละตระกูลต่างก็ส่งข่าวกลับไปยังต้นสังกัดของแต่ละคนอย่างเร่งรีบ
ภายในสถานที่ต่างๆภายในเมือง
“ตระกูลซูอาจจะค้นพบสมบัติอะไรก็ได้?”
“หรือพวกเขาจะค้นพบสิ่งล้ำค่าโบราณ?”
“ต้องไปช่วยคนสำคัญของตระกูลแน่ๆ”
“เราจะอาศัยจังหวะนี้บุกโจมตีหรือไม่?”
ทุกตระกูลต่างเรียกประชุมลับกันหมด หัวข้อการประชุมก็หนีไม่พ้นการคาดเดาเรื่องต่างๆที่อาจจะเป็นไปได้
สุดท้ายแล้วทุกตระกูลก็แอบส่งสายสืบติดตามไปอย่างลับๆ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความแตกตื่นมากนัก
และถึงแม้ศัตรูของตระกูลซูต้องการใช้โอกาสนี้บุกเข้าโจมตี แต่พวกเขาย่อมไม่โง่พอ เพราะทุกตระกูลที่ขึ้นมาเป็นตระกูลชั้นสูงได้ ย่อมมีเส้นสายและไพ่ตายเก็บเอาไว้เสมอ ทำให้ถึงแม้จะโค่นตระกูลซูยามนี้ได้มันก็ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องจ่ายไป
“พวกเราถอย!” หนึ่งในกลุ่มนักฆ่าตะโกนออกมา ทำให้พวกที่ล้อมรอบอยู่กระจายตัวกันไปอย่างรวดเร็ว
จนในเวลาไม่นานก็เหลือเพียงสมาชิกตระกูลซู เย่ซี ฟิช และศพที่กองอยู่ทั่วบริเวณเท่านั้น รวมถึงหัวหน้านักฆ่าที่กลายเป็นปลาไปด้วยอีกตัว
“... ท่าน” ซูไห่ส่งเสียงออกมา
“เรียกข้าว่าเย่ซี”
“ท่านเย่ซี ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกข้าไว้” ซูไห่ประสานมือก้มหัวขอบคุณให้กับชายหนุ่มตรงหน้าเขา ถึงแม้ดูจากภายนอกแล้วทั้งสองคนจะดูอายุไม่ต่างกันก็ตาม
“เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าแค่ทำมาค้าขายเท่านั้น ถ้าเจ้าไม่ได้เรียกข้าเพราะอยากดูสินค้า ข้าก็คงจากไปแล้ว” เย่ซีตอบแบบขอไปที เป็นความจริงที่เขาไม่ได้สนใจชีวิตของคนอื่นมากนัก ที่เขามาที่นี่ก็แค่โชคล้วนๆ เลยบังเอิญช่วยพวกตระกูลซูเอาไว้
“แต่ถึงจะยังไงท่านก็ช่วยพวกเราเอาไว้ นับว่าข้าติดค้างหนี้ชีวิตท่านแล้ว ก่อนอื่นข้าขอแนะนำตัวก่อน ข้าชื่อซูไห่เป็นคุณชายสามของตระกูลซู ตระกูลชั้นสูงจากอาณาจักรวูดเสธ และท่านนี้คือซูเกาหลี่ เป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุดของตระกูลข้า หัวหน้าของผู้ฝึกตนในตระกูลซู” ซูไห่กล่าวแนะนำตัวสมาชิกทุกคนที่ยังเหลืออยู่ให้เย่ซีฟัง ซึ่งชายหนุ่มก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง เขาจำได้ไม่หมดหรอก คนตั้งเยอะขนาดนี้
“ข้าชื่อเย่ซี ส่วนนี่สัตว์เลี้ยงชื่อฟิช ข้าเป็นแค่พ่อค้าเร่ร่อนทั่วไป” ชายหนุ่มกล่าวแนะนำตัวบ้าง
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายทำความรู้จักกันแบบคร่าวๆแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ทันที เพราะเหม็นกลิ่นคาวเลือดและซากศพเป็นอย่างมาก ตระกูลซูแยกย้ายกันไปรวบรวมศพของคนในตระกูลมาวางเรียงกันไว้ เพื่อจะได้นำกลับไปทำพิธีและฝังร่างไว้ในตระกูล
ส่วนพวกศพของพวกนักฆ่า พวกเขาก็พาเอาไปกองสุมไว้ไกลๆ ทิ้งไว้รอให้พวกสัตว์ป่ามากิน ความจริงจะขุดหลุมหรือเผาทิ้งก็ได้ แต่พวกที่มาตามฆ่าพวกเขาแบบนี้ทิ้งไว้ให้สัตว์กินไปยังจะดีซะกว่า
โชคร้ายที่พวกนักฆ่าไม่ได้พกอะไรติดตัวกันมามากนัก มีแค่อาวุธที่พวกมันใช้ เสื้อผ้า ยาเม็ดบางส่วนเท่านั้น แต่หลังจากไปค้นๆยังร่างของหัวหน้านักฆ่าที่กลายเป็นปลาไปแล้ว ก็พบเข้ากับแหวนมิติวงหนึ่ง แหวนมิตินับว่าเป็นสิ่งของที่หาได้ยากมาก ขนาดกลุ่มนักฆ่ายังมีแค่หัวหน้าพวกมันที่มีไว้ในครอบครอง
ในแหวนมิติวงนั้นมีเงินอยู่ 200 ผลึก ยาเม็ดขั้นสองสิบกว่าเม็ด สมุนไพรบางส่วน ที่เหลือก็เป็นเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวที่ไม่ได้มีค่าอะไรนัก 200ผลึกก็ไม่นับว่าน้อย แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรถ้าเทียบกับเงินที่คุณชายสามของตระกูลซูมีอยู่
หลังจากทิ้งกองเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่ไร้ประโยชน์ของหัวหน้านักฆ่าไปแล้ว เย่ซีเก็บเก็บแหวนมิติและของต่างๆมาเป็นของตัวเองแทน
“แล้วไอ้ปลาตัวนี้จะเอายังไง พวกเจ้ากินไหม?” เย่ซีหันไปเห็นปลาที่กลายร่างมาจากหัวหน้านักฆ่า ตอนนี้มันกำลังดิ้นรนอยู่บนพื้นอย่างหมดหนทาง
“ไม่ขอรับ ท่านเอาไปเถอะ” แน่นอนไม่มีใครในตระกูลซูที่จะกินลงหรอก
“นายท่าน ข้าขอก็แล้วกัน” ฟิชเห็นดังนั้นมันจึงกล่าวขึ้น แล้วเดินไปเขมือบปลาตัวนั้นในคำเดียว
“อร่อย!” มันทำตาโตทันทีเมื่อกินปลาตัวนั้นลงไป
สัมผัสอันนุ่มลื่น ความหวานของตัวปลา เนื้อที่แน่นกำลังดีไม่แข็งไปไม่อ่อนไป ช่างต่างกับปลาทุกตัวที่มันเคยกินมาก่อนหน้านี้จริงๆ
“เหมือน ระดับพลังของข้าจะเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยด้วย สายเลือดก็มีความพิเศษขึ้นอีกบางส่วน” ฟิชที่สัมผัสได้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างจึงกล่าวออกมาด้วยความดีใจ มันรู้สึกว่ามันช่างเป็นปลาที่โชคดีจริงๆที่ได้ติดตามนายท่านมาแบบนี้