บทที่ 164: ข้าไม่รังเกียจที่จะรับตำแหน่งนั้นล่วงหน้าหรอกนะ!
[กลับมาแล้วเน้อ ทำโปรเจคเสร็จแล้ว ขออภัยในความไม่สะดวกครับ ช่วงนี้ก็น่าจะกลับมาลง 2 ตอนต่อวัน แต่ถ้าแปลไวก็อาจจะเพิ่มเป็น 3-5 ตอนต่อวัน ซึ่งขอแจ้งล่วงหน้าไว้ก่อนว่าวันที่ 27-30 อาจหายหน้าไปสักพักเพราะต้องเตรียมพรีเซ็นโปรเจ็คจบ ขออภัยนะครับ]
บทที่ 164: ข้าไม่รังเกียจที่จะรับตำแหน่งนั้นล่วงหน้าหรอกนะ!
หลี่ไคกวง เสนาบดีกรมกลาโหมรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงทุกสิ่งที่หลินเป่ยฟานทำในปีที่ผ่านมา
เขาเสนอแผนที่จะผนวกอาณาจักรดาร์โรและค่อยๆ รวมเข้าด้วยกันโดย ใช้กลยุทธ์อสรพิษกลืนเหยื่อ!
เขาคิดค้นบัลลูนลมร้อนที่เป็นยุธโปกรณ์ทั้งทางฟ้าและทางน้ำอย่างเรือสะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งช่วยเพิ่มพลังทางทหารของอาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่!
เขาเสนอแผนการที่จะปล่อยคุณชายของอ๋องออกมา ซึ่งทำให้อำนาจของอ๋องแห่งเหอเป่ยทางเหนืออ่อนแอลง!
เขาโน้มน้าวให้ปรมาจารย์ทั้งสองย้ายการต่อสู้ออกไปนอกนคร รักษานครหลวงและรักษาศักดิ์ศรีของราชสำนัก!
เขาให้คำเตือนล่วงหน้า ทำให้ราชสำนักสามารถจัดการยอดฝีมือที่มีทักษะมากมายในระหว่างการฝึกของกองทัพเรือได้!
และตอนนี้เขาแก้ไขปัญหากองทัพกบฏได้อย่างง่ายดายอีก!
นอกจากนี้ ในเวลาเพียงหกเดือน เขาได้เพิ่มตำแหน่งของตนข้ามห้าระดับและกลายเป็นขุนนางระดับสี่แล้ว นี่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขาอย่างแท้จริง!
ทันใดนั้นหลี่ไคกวงก็ตระหนักว่าหลินเป่ยฟานมีความสามารถและมีส่วนร่วมอย่างมาก จนสมควรได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ไม่ต้องพูดถึงอะไรที่ไกลตัวเลย หากแผนของอาณาจักรดาร์โรประสบความสำเร็จและช่วยให้จักรพรรดินีบรรลุความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ในการขยายอาณาเขต เขาอาจได้รับตำแหน่งอันสูงส่งและกลายเป็นขุนนางระดับสูง การเลื่อนตำแหน่งสามอันดับย่อมไม่ใช่ปัญหา!
หลินเป่ยฟานเป็นขุนนางระดับสี่อยู่แล้ว แต่ถ้าเขาข้ามสามอันดับ เขาจะกลายเป็นขุนนางระดับสอง!
ตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว!
เมื่อหลี่ไคกวงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
“ท่านหลี่ ท่านคิดดีแล้วหรือ?”
“ในอดีตไม่มีใครสามารถแทนที่ท่านได้ นั่นคือเหตุผลที่จักรพรรดินีอดกลั้นและปล่อยให้ท่านทำตามที่ท่านพอใจ แต่ยามนี้มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว! เพราะนางมีข้า!”
“ข้ายังสามารถแบ่งเบาความกังวลของจักรพรรดินี และข้าก็สามารถแก้ปัญหามากมายได้ดีกว่าท่านในแบบที่สอดคล้องกับความตั้งใจของนางมากกว่า!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นคนที่นางส่งเสริมเป็นการส่วนตัว อาจเรียกได้ว่าข้าเป็นคนที่นางเชื่อมั่นได้อย่างสนิทใจ!”
“ไหนท่านบอกข้าหน่อยเถิดว่าจากตัวเลือกเหล่านี้แล้ว ท่านคิดว่านางจะเลือกใคร? ท่านหรือข้า?”
เม็ดเหงื่อละเอียดได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่ไคกวง
“ยามนี้สถานการณ์ค่อนข้างชัดเจนแล้ว …”
หลินเป่ยฟานยิ้ม “ด้วยความโปรดปรานของจักรพรรดินีและความสามารถของข้า อันดับของข้าจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน! แต่ทว่าตำแหน่งเสนาบดีมีเพียง 6 ตำแหน่ง และหนึ่งในนั้นคือที่ของท่าน หนึ่งในพวกท่านจะต้องลงจากตำแหน่ง ท่านไม่คิดอย่างนั้นเหรอ? และตอนนี้ มันก็เป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบเลยไม่ใช่หรือ?”
หลี่ไคกวงตกตะลึง “เจ้าเล็งตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมไว้แล้วหรือ?”
“ตอนนี้ข้ายังไม่สนใจตำแหน่งนั้น แต่…” หลินเป่ยฟานหันศีรษะและกระซิบ“ถ้าท่านหลี่ผู้เป็นเสนาบดีไม่ให้ความร่วมมือ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะรับตำแหน่งนั้นล่วงหน้าหรอกนะ! หากกรมกลาโหมไม่ปฏิบัติตาม หรือหากกองทัพไม่ปฏิบัติร่วมมือตามดีๆ...”
หลินเป่ยฟานหัวเราะเบาๆ ดวงตาของเขาดูมั่นคงยิ่ง “ข้ามีวิธีมากมายที่จะทำให้พวกเขา… ปฏิบัติตาม !”
เหงื่อมากมายพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่ไคกวง สีหน้าของเขาดูซีดลงไปอีก
หลินเป่ยฟานตะโกนว่า “ท่านหลี่ เชิญท่านเลือกจะเชื่อหรือไม่ได้เลย ตัวข้าน่ะสามารถดำเนินการสืบสวนเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหมดในราชสำนักได้ สามารถเลือกได้ว่าจะให้ผิดหรือถูก!”
หลี่ไคกวงตัวสั่น เสื้อผ้าของเขาที่อยู่ข้างหลังเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่ออันเย็นเหยียบ!
ขาของเขารู้สึกอ่อนแรงยิ่ง!
ถ้าเขาไม่ได้เอนตัวลงบนโต๊ะ เขาอาจจะล้มลงไปแล้ว!
“ยามนี้ท่านรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไรต่อ ท่านหลี่?”
หลินเป่ยฟานตบไหล่ของหลี่ไคกวง “ถ้าข้าไม่เห็นสิ่งเหล่านี้หลังจากที่ท่านกลับไปในคืนนี้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องสวมหมวกตำแหน่งของท่านอีกต่อไป และข้าก็ไม่ต้องการชีวิตของท่านด้วย เพราะข้าจะเป็นคนเอามันมาเอง!”
เมื่อพูดเช่นนั้น เขาก็ไปปล้นเรือนของขุนนางคนอื่นต่อ
ในขณะเดียวกัน หลี่ไคกวงหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง “ใครก็ได้ เอาทอง เงินและอัญมณีพวกนี้ไปส่งให้…ส่งไปที่ตระกูลหลิน!”
จากนั้นหลินเป่ยฟานก็ยังคงบุกโจมตีครัวเรือนอื่นต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เจ้าหน้าที่ของกรมกลาโหมโกรธเกรี้ยวมาก แต่ไม่กล้าพูดออกมา!
เมื่อนึกถึงเงินที่พวกเขาสะสมมาตลอดครึ่งชีวิตของเขา เงินทั้งหมดกลับต้องเข้าไปในกระเป๋าของไอ้สารเลวนั่น มันรู้สึกเหมือนเลือดในหัวใจของเขากำลังทะลักออกมา!
เขาได้แต่สาปแช่งบรรพบุรุษของหลินเป่ยฟานสิบแปดชั่วโคตร!
เหล่าขุนนางคนอื่นๆ ก็รู้สึกทั้งเห็นใจและกังวล!
ดูเหมือนขุนนางจากอีกกรมจะตกเป็นเป้าหมายเสียแล้ว!
ตอนแรกมันคือกรมโยธา ครานี้เป็นกรมกลาโหม เหตุใดพวกเขาถึงตกเป็นเป้าหมายได้?
ศาลปล่อยให้ตัวภัยพิบัตินี้เข้ามาได้เช่นไร?
คนทั่วไปที่เห็นทุกอย่างต่างก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
“พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง”
“มีคนฉ้อราษฎร์บังหลวงมากกว่าหนึ่งอีก!”
“เรื่องนี้จะจบลงเมื่อไรกัน? เมื่อใดราษฎรทั่วไปอย่างเราจะมีชีวิตผาสุข?”
“อาณาจักรอู๋อันแสนยิ่งใหญ่คงถึงคราวจบสิ้นกันแล้ว!”
…
บางทีคนเดียวที่มีความสุขยามนี้คงเป็นหลินเป่ยฟาน!
หลังจากการตรวจสอบ เขาก็ได้รวบรวมเงินมาทั้งหมด 16 ล้านตำลึง จนมันทำให้กระเป๋าเงินของเขาได้อ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว!
จำไว้นะว่านี่เป็นเงินที่มาจากกรมกลาโหมเพียงที่เดียว ยังมีนายพลในกองทัพที่ยังไม่ถูกเขาบุกไปตรวจเรือนอีก!
หลินเป่ยฟานประเมินว่าเขาสามารถรวบรวมได้อีกสิบล้านตำลึงจากกองทัพได้อย่างง่ายดาย!
ทว่านายพลส่วนใหญ่ของกองทัพต่างกระจายอยู่ทั่วอาณาจักรเพื่อปกป้องดินแดน มันคงจะใช้เวลาในการค้นหาและดำเนินการพอสมควร แต่ทว่าเขายังมีนายพลที่อยู่ในนครหลวงที่เขาสามารถจัดการได้อยู่!
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้อีก 4 ล้านตำลึงจนรวมกันกลาเยป็น 20 ล้านตำลึง!
ในขณะที่หลินเป่ยฟานบุกเรือนอย่างมีความสุข ท่านหญิงน้อยก็ไปหาจักรพรรดินีและแบ่งปันเรื่องราวการเดินทาง
“พี่สาวจักรพรรดินี ท่านรู้หรือไม่ว่าหลินเพ่ยฟานเกลี้ยกล่อมพวกกบฏยังไง?” ท่านหญิงน้อยกล่าวอย่างมีเลศนัย
“เขาเกลี้ยกล่อมพวกเขาเช่นไรหรือ?” จักรพรรดินีผู้สูงศักดิ์ได้หัวเราะเบาๆ ขณะที่นางอ่านฎีกา “ตามรายงานที่เขียนมา เขาทำข้อตกลงกับผู้นำกบฏและปล่อยตัวพวกเขากับกบฏทั้งหมดกลับมายังตำแหน่งเดิมของพวกเขา! ทว่ารายละเอียดจำนวนมากไม่ได้ถูกกล่าวถึง ไหนช่วยบอกข้าทีได้ไหม?”
“แน่นอนว่าข้าบอกให้ได้อยู่แล้ว! เช่นนั้นข้าจะแถลงไขให้ฟัง!” ท่านหญิงน้อยอธิบายอย่างตื่นเต้น บอกถึงรายละเอียดทั้งหมดว่าหลินเป่ยฟานเกลี้ยกล่อมพวกกบฏอย่างไร
“ถ้าเจ้าจากไป คนที่เจ้าเกลียดที่สุดอาจมีโอกาสร่วมหลับนอนกับภรรยาของเจ้า ทุบตีบุตรของเจ้า รังแกแม่ของเจ้า ยึดสมบัติทรัพย์สินและที่ดินของเจ้าแล้วเยาะเย้ยเจ้า เพราะมันไม่มีอะไรเหลือเลย… ฮ่าฮ่าฮ่า… นั่นแหละเป็นวิธีที่เขาทำให้พวกกบฏกลัวจนตาย!”
จักรพรรดินีผู้สูงศักดิ์ฟังและหัวเราะลั่น “ปากของหลินเป่ยฟานช่างมีพิษสงเหลือร้ายนัก คงไม่มีใครรับมือได้แล้วกระมัง!”
"ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าก็ว่าเช่นนั้น! ไม่ว่าผู้ใดฟังก็คงหวาดกลัวจนตัวสั่น!”
หญิงสาวทั้งสองระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
แต่แล้วอารมณ์ของท่านหญิงน้อยพลันเปลี่ยนไป “เมื่อเรากลับมา เราได้พบกับผู้ลี้ภัยจำนวนมากมาย! พวกเขาทั้งหมดมาจากเหอเป่ยตอนเหนือ เพราะกลุ่มโจรปล้นสะดมที่นั่นอย่างต่อเนื่อง ผู้คนจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปและต้องออกจากบ้านเกิดเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าที่อื่น พวกเขาดูน่าสงสารมาก!”
จากนั้นดวงตาของท่านหญิงน้อยก็เบิกกว้างขึ้น นางจับมือจักรพรรดินีด้วยความหวัง “พี่สาวจักรพรรดินี ท่านเป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้ ส่งคนไปจับพวกมันทั้งหมดเพื่อให้ผู้คนในเหอเป่ยทางเหนือมีชีวิตที่ดีขึ้นเถอะ!”
จักรพรรดินีพยักหน้าด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันมาก "ข้าเข้าใจแล้ว"
อันที่จริงนางรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ลังเลที่จะลงมือ
เพราะนางสงสัยว่าโจรที่ปล้นระดมจะเป็นฝีมือของอ๋องแห่งเหอเป่ยทางเหนือเอง เมื่อเขาขาดแคลนเงิน เขาก็คงเลือกใช้แผนที่สิ้นหวังเช่นนี้
ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่ตอบโต้อะไรเลยจนถึงตอนนี้ และเหตุใดขุนนางจากเหอเป่ยตอนเหนือจึงไม่รายงานเรื่องนี้?
แม้ต้องแลกด้วยชีวิตนาง นางก็ไม่เชื่อว่าพวกโจรไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอ๋องแห่งเหอเป่ยทางเหนือ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่านางอยากจะลงมือ ก็ใช่ว่านางจะสามารถทำได้!
ถึงเหอเป่ยตอนเหนือจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอู๋ แต่จริงๆ แล้วมันได้กลายเป็นดินแดนของอ๋องเหอเป่ยเหนือแล้ว มันอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสมบูรณ์เหมือนเป็นอาณาจักรที่อยู่ภายในอาณาจักร
ขุนนางที่นั่นต่างรับคำสั่งจากอ๋องเท่านั้น
ภาษีจำนวนมากไม่สามารถจัดเก็บได้ เพราะมันถูกยักยอกไปแล้ว
แม้ว่านางจะสั่งให้มีการปราบปราม แต่อีกฝ่ายก็คงต่อต้านอย่างลับๆ จนสุดท้ายก็เปลี่ยนให้มันกลายเป็นปัญหาเล็กน้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีอีกสิ่งหนึ่งที่นางไม่ต้องการจัดการ
หากเหอเป่ยทางเหนือโกลาหล มันก็เป็นเรื่องที่ดีนัก!
หากเหอเป่ยทางเหนืออยู่ในความโกลาหล อ๋องแห่งเหอเป่ยตอนเหนือย่อมสูญเสียการสนับสนุนจากราษฎร ซึ่งจะช่วยให้นางปกครองที่นั่นได้!
“ยุนหยิงน้อย เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง!” จักรพรรดินีกล่าวอย่างแผ่วเบา
"โอ้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ดูแลตัวเองด้วยนะ ท่านพี่สาวจักรพรรดินี!” ท่านหญิงน้อยเดินจากไปด้วยสีหน้าผิดหวัง
หลังจากที่ท่านหญิงน้อยจากไป จักรพรรดินีก็เงียบไปเป็นเวลานาน
นางหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “แม้ว่าข้าจะขึ้นครองบัลลังก์ แต่ข้าก็ยังไม่สามารถทำตัวโหดเหี้ยมเหมือนจักรพรรดิทรราชได้อยู่ดี!”
“ส่งคำสั่งไปยังผู้ว่าราชการเมืองถังโจว หลิ่วโจวและสถานที่อื่นๆ เพื่อให้พวกเขาช่วยเหลือผู้ลี้ภัย จัดหาอาหารและช่วยให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานในดินแดนใหม่ ร่วมถึงที่เพาะปลูกด้วย!” นางออกคำสั่งทันที
“ขอรับฝ่าบาท!”
ร่างสีขาวพร่ามัวพลันปรากฏขึ้นบนเสาของพระราชวัง รอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้าของร่างขาวนวลนี้
ในขณะนั้นเอง ท่านหญิงน้อยก็กลับไปที่คฤหาสน์หลินอย่างไม่มีความสุขนัก
หลินเป่ยฟานที่เพิ่งบุกเรือนคนอื่นเสร็จก็อารมณ์ดีผิดจากนาง “ท่านหญิงน้อย ท่านดูไม่มีความสุขเลย บอกเราหน่อยเถิดว่ามีอะไรกวนใจท่าน เราทุกคนจะได้ช่วยให้กำลังใจ”
“ไม่ต้องห่วง ยามนี้ข้าเพียงแค่อารมณ์ไม่ดี!” ท่านหญิงน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ใช้มือประคองคางของนางด้วยความรู้สึกหงุดหงิด “ข้ารู้สึกเหมือนพี่สาวจักรพรรดินีได้เปลี่ยนไปแล้ว!”
หลินเป่ยฟานตกตะลึง “เปลี่ยนไปเช่นไรหรือ?”
“ก่อนหน้านี้นางน่ะยังห่วงใยผู้คน! เมื่อใดก็ตามที่ข้าบอกนางว่าคนในบางสถานที่กำลังทุกข์ทรมาน นางก็จะโกรธมากและหาวิธีแก้ปัญหา! แต่ยามนี้เมื่อข้าบอกนางเกี่ยวกับโจรในเหอเป่ยทางเหนือ นางกลับเมินเฉยมากราวกับว่ามันไม่สำคัญเลย! นางเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง ไม่ใช่พี่สาวจักรพรรดินีที่เคยใจดีและใจกว้างอย่างที่ข้ารู้จักอีกต่อไป!”
ท่านหญิงน้อยรู้สึกทุกข์ใจมาก
"มันเป็นเรื่องปกติ เมื่อขึ้นครองบัลลังก์ แม้แต่คนที่ไร้เดียงสาย่อมต้องมีการเปลี่ยนไป!“หลินเป่ยฟานกล่าว”เพราะพวกเขาไม่มีตัวเองอยู่ในใจอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นทั้งโลก! ถ้าพวกเขามีความสามารถก็ถือว่าดี แต่ถ้าพวกเขาไม่มี มันจะกลายเป็นหายนะให้ทั้งอาณาจักร! นั่นเป็นเหตุผลที่ทุกการกระทำและคำสั่งของนางจะจะต้องได้รับการพิจารณาและคิดอย่างรอบคอบเสียก่อน มิฉะนั้นถ้านางทำผิดพลาด คงต้องมีหลายคนจะต้องทนทุกข์ทรมานไปพร้อมกับนาง!”
"เป็นเช่นนั้นเองสินะ!" ท่านหญิงน้อยพยักหน้าราวกับว่านางเข้าใจในทันที
“กล่าวตามตรง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดการกับโจรในเหอเป่ยทางเหนือ! มันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมากมายที่ไม่ง่ายอย่างที่ท่านคิด! การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆ อาจนำไปสู่ความโกลาหลทั่วอาณาจักร! ดังนั้นฝ่าบาทจึงไม่ได้ตัดสินใจอย่างรีบร้อน!”
ท่านหญิงน้อยถอนหายใจอย่างโล่งอก นางกระโดดลงจากเก้าอี้หินและมองไปทางหลินเป่ยฟานด้วยความจริงใจ “หลินเป่ยฟาน ขอบคุณเจ้ามาก! ทุกครั้งที่ข้าพูดคุยกับเจ้า อารมณ์ของข้าก็ดีขึ้นมาก!”
"ข้ายินดีเสมอ!" หลินเป่ยฟานขยี้ผมของท่านหญิงน้อยอย่างรักใคร่และยิ้มให้ “ในอนาคต เมื่อใดก็ตามที่ท่านพบกับสิ่งที่ทำให้ท่านไม่มีความสุข ท่านสามารถมาหาข้าได้ตลอด ข้ายินดีเป็นผู้ฟังให้ท่านเสมอ!”
ท่านหญิงน้อยรู้สึกว่ามือของเขาอบอุ่นและสบายมาก
นางเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถามอย่างกระตือรือร้น “หลินเป่ยฟาน สักวันหนึ่งเจ้าจะเปลี่ยนไปด้วยหรือไม่?”
“ไม่ ไม่อย่างแน่นอน!” หลินเป่ยฟานส่ายหัวโดยไม่ลังเล
"มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? กระทั่งจักรพรรดินีก็ยังเปลี่ยนไปได้เลย!”
“ข้าน่ะแตกต่าง! เพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวงคือสันดานของข้า!” หลินเป่ยฟานตอบกลับไปอย่างจริงจัง “ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต ข้าจะเป็นชายหนุ่มผู้ฉ้อราษฎร์บังหลวงคนนั้นเสมอโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย!”
ท่านหญิงน้อยเมื่อได้ยินก็เงียบกริบไปแล้ว
. ในจีนโบราณ จำนวนตำแหน่งเสนาบดีแตกต่างกันไปตามราชวงศ์และยุคสมัย ทว่าโดยปกติแล้ว ตำแหน่งเสนาบดีระดับสูงภายในราชสำนักจะมีจำนวนจำกัด ตัวอย่างเช่น ในช่วงราชวงศ์ถังมันจะมีตำแหน่งเสนาบดีสำคัญแปดคน .