Chapter 281 เริ่มต้น ต่อสู้สัก 30-40 คู่!
เหล่าชาวยุทธ์ได้เห็นแล้วว่าจุนซ่างเซียวไม่ได้มีสามเศียรหกกร เป็นคนธรรมดาทั่วไปสองแขนสองขา.
เพียงมาถึงก็กล่าวเหน็บผู้นำฉิน ทำให้หลายคนรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย.
ความแค้นของทั้งสองคน ทุกคนต่างก็รู้ดี.
ทว่าจะดีจะร้ายก็เป็นเจ้าสำนักเหมือน ๆ กัน.
มีความแค้นกัน ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องตบหน้าอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งเลย?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดที่บอกว่าธรรมเนียมของนิกายใหญ่ เหล่าชาวยุทธ์ก็ตระหนักได้ทันที เจ้าสำนักระดับเจ็ดบ้าคลั่ง โอหังยิ่งนัก.
ใช่แล้ว.
เขามันบ้า หากไม่บ้า.
คงไม่กล้านำศิษย์มาท้าประลองนิกายเซิ่งชวน?
คนหนุ่ม ที่ไม่หวาดกลัวอะไร ไร้ซึ่งการไตร่ตรองเลือดร้อน ทำก่อนคิดเสมอ.
ในสายตาของทุกคน เวลานี้เผยความเหยียดหยันอีกฝ่ายมากขึ้นและก็มากขึ้น.
กับคนบ้าเช่นนี้.
ทำเท่น่าหมั่นใส้.
“ฟุบ!”
ในเวลานั้น ในห้องโถงหลัก ชายชราอายุใกล้ 70 ปีแล้ว.
เขาที่โผล่ออกมายังลานยุทธ์ พร้อมด้วยรอยยิ้มประดับ.
“กลิ่นอายที่น่าเกรงขามแผ่ออกมา เห็นชัดเจนว่าเป็นบรรพชนยุทธ์ขั้นสูง!”
“นั่น อาวุโสจิน อาวุโสกิจการภายในนิกายเซิ่งชวน!”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้านิกายปิดด่านมาปีหนึ่งแล้ว ธุรกิจและกิจการทุกอย่างอยู่ภายใต้การจัดการของอาวุโสจินเป็นคนจัดการ การที่เขาปรากฏตัวออกมาด้วยตัวเอง ถือว่ายิ่งกว่าไว้หน้าสำนักไท่กู่เจิ้งไปแล้ว.”
“ในความเห็นของข้า พวกไม่รู้จักเจียมตัวไม่เห็นต้องไว้หน้าเลย”
ผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็พูดคุยกันเสียงเบา.
พวกเขาที่ลอบมองอาวุโสจิน ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ามองตรง ๆ.
สำนักระดับต่ำ แสดงท่าทางยโสโอหังขนาดนี้ พวกเขาต่างก็คิดว่าหากเป็นตัวเองคงด่าออกไปด้วยซ้ำ.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “สำนักไท่กู่เจิ้งเดินทางมาแต่ไกล นิกายเซิ่งชวนไม่ได้เตรียมที่พักให้อย่างงั้นรึ?”
บ้าคลั่งจริง ๆ!
ศิษย์ของนิกายเซิ่งชวน เวลานี้เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา.
ทว่าจะอย่างไรพวกเขาก็เป็นสำนักใหญ่ ต้องระงับความโกรธเอาไว้ เก็บไว้ในใจ รอไว้ให้การประลองพรุ่งนี้เริ่มเมื่อไหร่ จะทำให้พูดไม่ออกเลย!
อาวุโสจินเอ่ย “ชายชราเตรียมที่พักไว้นานแล้ว หลินเฟิง นำเจ้าสำนักและศิษย์ของเขาไปยังที่พัก.”
“ครับ.”
ชิงหลินเฟิงที่ก้าวออกไป เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง “เจ้าสำนักจุน โปรดตามข้ามา.”
จุนซ่างเซียวที่ถูกนำเข้าไปยังลานด้านใน ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งที่ก้าวตามไป ท่ามกลางสายตาของเจ้าสำนักพันธมิตรและคนมากมายจับจ้อง พวกเขาไม่เผยความหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว.
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว เหล่าชาวยุทธ์ไม่น้อยที่พูดคุยกันเสียงเบา.
“ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งไม่ธรรมดาเลย!”
“จากกลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้น ดูเหมือนว่าจะมีระดับศิษย์ยุทธ์พรสวรรค์ระดับสูงกันทั้งนั้น!”
“สำนักระดับเจ็ดทำได้ถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย!”
“ในความเห็นของข้า บางทีคงยกระดับขึ้นด้วยเม็ดยา?”
หลายคนที่พูดคุยกันด้วยความสงสัย ส่วนเจ้าเมืองเซี่ยที่แค่นเสียงดูแคลนอยู่ในใจ.
หากใครรู้ อาวุโสสองคนจากสำนักงานใหญ่สมาคมรับรองสิทธิ์ได้เดินทางมาด้วยตัวเอง ประเมินสำนักไท่กู่เจิ้งได้สามA คงตื่นตะลึงตาตั้งไปแล้ว.
เจ้าเมืองเซี่ยอยากตะโกนดัง ๆ ให้คนอื่นได้ยินเป็นอย่างมาก แต่เพราะเจ้าสำนักจุนต้องการถ่อมตนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ทำให้เขาได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ.
......
นิกายเซิ่งชวนดูเหมือนว่าจะรักษาภาพพจน์ตัวเองเป็นอย่างมาก พวกเขาได้นำสำนักไท่กู่เจิ้งไปพักยังลานขนาดใหญ่ที่หรูหราไม่น้อยแห่งหนึ่ง.
“เอาล่ะ ไปพักกันได้แล้ว.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เตรียมตัวเพื่อวันพรุ่งนี้.”
“รับทราบ!”
การเดินทางหลายพันลี้ ศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงได้เร่งรีบเข้าที่พักในทันทีเช่นกัน.
เซียวจุ้ยจื่อที่ไม่ได้เข้าไปพัก เขาที่นั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินใหญ่ในสวน โคจรวิชาบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็น กลั่นร่างกายให้แข็งแกร่ง.
นับตั้งแต่เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง เขาได้รับวิชาบ่มเพาะระดับเทวะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใหนเขาก็จะบ่มเพาะโคจรวิชาอยู่จนเป็นนิสัย.
“หืม?”
ในเวลานั้น เซียวจุ้ยจื่อที่ลืมตาขึ้น.
เขาสัมผัสได้ว่าที่ทางเข้าของสวนนั้น มีสตรีผู้หนึ่งที่กำลังจ้องมองมายังเขา.
เป็นใคร?
มู่หรงซิน!
......
ลานที่พักด้านในของนิกายเซิ่งชวนนั้นใหญ่มาก และยังมีทิวทัศน์ที่งดงามพิเศษ ทำให้ศิษย์ทุกคนหลังจากบ่มเพาะก็สามารถผ่อนคลายด้วยธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้.
มู่หรงซินที่ยืนอยู่ในป่าไผ่เอ่ยออกมาว่า “จากที่พบกันเมื่อครั้งที่แล้ว ดูเหมือนเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น.”
“เป้าหมายคือข้าอย่างงั้นรึ?”
เซียวจุ้ยจื่อที่นั่งอยู่บนก้อนศิลา ได้ยินเสียงแผ่ว ๆ.
ได้เห็นสตรีผู้นี้ที่นิกายเซิ่งชวน สร้างความตกใจให้เขาเล็กน้อย แม้แต่เผยความประหลาดใจออกมา.
มู่หรงซินที่เงียบไปชั่วครู่ และกล่าวออกมาอีกครั้ง “เจ้าสำนักของเจ้าเป็นคนมุทะลุเป็นอย่างมาก ทำไมเจ้าต้องติดตามคนบ้าบิ่นเช่นนั้นกัน?”
เซียวจุ้ยจื่อเข้าใจได้.
นางคงเชื่ออย่างแน่นอนว่า สำนักไท่กู่เจิ้งของข้า จะถูกนิกายเซิ่งชวนทุบตีจนหาทางกลับบ้านไม่เจอสินะ.
เซียวจุ้ยจื่อเอ่ยกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “เรื่องของข้า คงไม่ต้องรบกวนให้ธิดาที่สวรรค์โปรดปานต้องใส่ใจ.”
จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นก้าวออกจากสวนไป.
นับตั้งแต่ถูกถอนหมั้น เขาได้ล่วงหล่นลงสู่ขุมนรก อยู่อย่างอัปยศห้าปี กว่าจะปีนขึ้นมาหายใจได้ เขาไม่ต้องการที่จะพูดคุยติดต่อกับสตรีผู้นี้จริง ๆ.
มู่หรงซินที่เพ่งพิศจ้องมองเซียวจุ้ยจื่อจากไป ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน.
นางที่คิดถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ถูกถอนหมั้น ภายในใจก็ได้แต่ตำหนิตัวเอง ว่ากล่าวตัวเองไร้เดียงสา ทำร้ายอีกฝั่งให้หัวใจสลาย.
ด้วยเนื้อแท้ของมู่หรงซินแล้ว นางไม่ใช่สตรีที่โอหังนัก ทว่ามันผิดที่ผิดเวลา นางมุทะลุเกินไปในเวลานั้น.
หาก ทั้งสองยังคงหมั้นหมายกันอยู่.
ตามธรรมเนียมของคนทวีปชิงหยุน ควรจะแต่งงานกันไปแล้ว เหมือนกับคู่รักคนอื่น ๆ ในโลกนี้.
น่าเสียดาย.
พวกเขาไม่สามารถที่จะครองคู่กันได้อีกแล้ว.
......
เช้าวันถัดมา.
อากาศสดใส ท้องฟ้าสีคราม.
แสงแดดรำไร อากาศอบอุ่น.
ราวกับท้องฟ้าเป็นใจ เหมาะจะประลองยุทธ์เป็นอย่างมาก!
จุนซ่างเซียวที่ยืนมือขัดหลังบนลานยุทธ์ พร้อมกับศิษย์ของเขา ที่เข้าแถวเป็นระเบียบสองร้อยคน แต่ละคนเผยความภาคภูมิใจออกมา.
เหล่าชาวยุทธ์ที่จับจ้อง ต่างก็ต้องเผยความประหลาดใจ.
เห็นศิษย์สำนักระดับเจ็ด ต่อหน้านิกายระดับห้า พวกเขาไม่รู้สึกหวาดกลัวอย่างงั้นรึ?
ทำไม?
เพราะพวกเขาคือกระดูกเล็กล้มไม่เป็น!
เซี่ยกวนคุนและอ้ายซางหนี่และอีกหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฝั่งของจุนซ่างเซียว.
นอกจากนี้ยังมีอาวุโสหม่าและอาวุโสหวังของนิกายเขาซางซาน ที่ยืนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เห็นชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้สนับสนุนฝั่งสำนักไท่กู่เจิ้ง.
ผู้คนมากมายไม่ได้เผยท่าทางประหลาดใจแต่อย่างใด.
ต้องไม่ลืมว่านิกายเขาซางซานนั้นอยู่ในมนทลชิงหยาง การที่เชียร์สำนักในมนทลตัวเอง ก็ไม่ได้แปลกอะไร.
ที่ห่างออกมาเป็นกลุ่มพันธมิตรร้อยสำนักที่กำลังยืนอยู่อย่างไม่แยแส.
หลายต่อหลายคนเช่นกัน ที่จ้องมองจุนซ่างเซียว แม้แต่เผยความเหยียดหยันดูแคลนออกมาด้วย.
ทุกคนที่ราวกับว่ากำลังมองการแข่งขัน ของรถลากพัง ๆกับรถสปอร์ทที่หรูหรา.
หากเป็นคนบนโลกเดิมของจุนซ่างเซียวคงบอกได้ถึงความแตกต่าง ระหว่างรถลากที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่ จะเทียบกับรถสปอร์ทที่หรูและรวดเร็วได้อย่างไร.
คงไม่ต้องบอกว่าสำนักไท่กู่เจิ้งคือรถลากพัง ๆ.
นิกายเซิ่งชวนก็คือรถสปอร์ทที่หรูหราราคาแพง.
จุนซ่างเซียว ไม่สนใจสายตาของคนอื่น ๆ แม้แต่น้อย เพราะว่ายิ่งดูถูกดูแคลน ย่อมทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น.
“เจ้าสำนักจุน.”
อาวุโสจินที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยออกมาก่อน “ต้องการประลองอย่างไร?”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เริ่มจากศิษย์สายนอก ต่อสู้กันสัก 30-40 คู่ ตัดสินแพ้ชนะเป็นคู่ ๆ ไป.”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว ทุกคนแทบจะล้มทั้งยืน.
ต่อสู้กัน 30-40 คนเลยรึอย่างไร?
นี่คิดว่าเป็นการประลองใหญ่เลย รึอย่างไร?
จุนซ่างเซียวเองก็ไม่ต้องการจะต่อสู้จำนวนมากขนาดนั้น!
อย่างไรก็ตามด้วยภารกิจมหากาพย์บัดซบนั่น เขาจะต้องเอาชนะศิษย์สายนอก 30 คน เป็นภารกิจแรกนั่นเอง!