Chapter 7: สกิลที่สอง
"ดูเหมือนว่าผมจะเจอปัญหาใหญ่แล้ว!" ฉินหรานพูดเบา ๆ
เขาตั้งใจจะล้วงข้อมูลจากคอลลีนให้ได้มากขึ้น ตั้งแต่เขายังเด็ก เขาก็ต้องทำมาหาเลี้ยงปากท้องอยู่ตลอดดังนั้นเขาจึงสร้างนิสัยไม่เชื่อถือใครอย่างเต็มที่ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ร้ายแรงเช่นนี้
"ไม่ใช่นายคนเดียวที่เจอ เราทั้งคู่เลยต่างหาก เมื่อคืน คงมีคนรู้เห็นตอนที่พวกเราฆ่ามือปืนสองคนนั้น พวกประจบสอพลอพวกนั้นก็คงจะพุ่งไปบอกเรื่องนี้กับอีแร้งแล้ว ถ้ามันรู้ว่าคนของมันสองคนถูกพวกเราจัดการ มันต้องเริ่มไล่ล่าเราแน่นอน มันเกณฑ์คนของมันมาหมด ไอ้สวะนั่นจะไม่หยุดจนกว่าได้เห็นศพของพวกเรา! มันเองก็มีหน้าตาต้องรักษา!" คอลลีนพูดพลางกัดฟัน จากนั้นเธอหันมาหาฉินหราน "อาหารของฉันมีพอให้ฉันกินได้อีกราว ๆ สองวัน ของนายล่ะ?"
"เท่า ๆ กัน" ฉินหรานตอบพลางเปิดกระเป๋าสะพายหลังออกกว้างให้เห็นอาหารกระป๋องที่เหลืออยู่ข้างใน ฉินหรานตรงไปตรงมา ดังนั้นคอลลีนจึงรู้สึกว่าเธอเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร เธอเดินไปที่อีกด้านของห้องเก็บของและหยิบอาหารกระป๋องกระป๋องหนึ่งกับขนมปังกรอบออกมา
"ถึงฉันจะแบ่งอาหารให้ มันก็คงพอสำหรับอีกแค่สองวัน" คอลลีนย่นคิ้วขณะมองอาหารในมือตัวเอง เห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้คิดจะแบ่ง ไม่ว่าเธอจะหิวหรือใกล้ตายเพียงใด เธอก็จะไม่ทำ "นายสามารถรับมือได้พร้อม ๆ กันกี่คน?" เธอถาม มองไปที่ฉินหรานด้วยสายตาจริงจัง
"ถ้าพวกมันมือเปล่าและไม่มีอาวุธ เดาว่าน่าจะได้สัก.. สองหรือสามคน" ฉินหรานตอบ เขาเข้าใจสิ่งที่คอลลีนต้องการจากเขา
แม้ว่าวันก่อนพวกเขาสองคนจะร่วมมือกันจัดการกับมือปืนสองคนนั้น และเหมือนจะทำการซุ่มโจมตีสำเร็จ แต่เขารู้ว่าเป็นเพราะเขาโชคดี โชคดีสุด ๆ ไปเลย ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากคอลลีน เขาคงถูกยิงตายไปแล้ว เขายังจำได้ถึงข้อจำกัดของ [กำลังกาย] ของเขา
เมื่อ [กำลังกาย] ลดลงถึงขีดจำกัดของมัน เขาก็จะไม่สามารถสู้ต่อได้ ได้แต่รอถูกเชือดเหมือนลูกแกะแล้ว
"เราต้องสู้กับพวกมันซึ่งหน้าเหรอ?" ฉินหรานถาม และคิดถึงข้อจำกัดและข้อได้เปรียบของตัวเอง
"ทำไม นายว่าซุ่มโจมตีดีกว่าเหรอ?“คอลลีนถาม ทีแรกเธอดูตกใจ จากนั้นก็สงบลง ”ฉันคิดว่านายคิดถูก พวกเรามีจำนวนน้อยกว่าและพวกมันมีปืน ดังนั้นถ้าสู้กันซึ่งหน้า พวกเราคงชนะไม่ได้ การซุ่มโจมตีเป็นทางเลือกเดียวของเรา!"
ฉินหรานพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็พูดต่อ "เธอบอกว่าพวกนั้นมักจะเคลื่อนไหวอยู่แถว ๆ บรอดเวย์ที่หก ถูกต้องไหม? ผมคิดว่าพวกมันคงไม่คุ้นเคยกับพื้นที่เท่าคุณ และถ้าพวกมันต้องค้นหาเรา พวกมันต้องแยกกันเป็นกลุ่ม ต่อให้มันมีจำนวนคนมากกว่า แต่การแบ่งกำลังออกมาก็เท่ากับลดจำนวนพวกมันลง"
"กรุณาอย่าบอกนะ ว่าพวกมันมีกันเป็นร้อยคนน่ะ!" ฉินหรานพูดเสริมติดตลก
"เป็นร้อยเหรอ? พวกมันไม่ใช่กองทัพนะ! อีแร้งมีลูกน้องราว ๆ ยี่สิบคนเท่านั้น ถ้ามันมีลูกน้องเป็นร้อย นิสัยอย่างมันคงลงมือจัดการกับกลุ่มกบฏไปตั้งแต่แรกแล้ว" คอลลีนตอบยิ้ม ๆ เหมือนว่าเธอจะได้รับอิทธิพลจากการพูดเล่นของจีหราน แต่แล้วรอยยิ้มของเธอก็จางหายไป
"พวกอีแร้งอาจจะไม่คุ้นเคยกับแถวนี้ แต่นายก็ด้วย นายเองก็มาจากพื้นที่อื่นเหมือนกัน" เธอบอกฉินหราน ฉินหรานเห็นด้วยกับเธออย่างไม่ลังเล เขายอมรับว่าเขาเป็นคนใหม่ในพื้นที่ "นายใช้กริชได้ดีมาก ฉันยอมรับ แต่แน่ใจนะว่านายจะไม่เหมือนพวกผู้ชายที่ฉันเคยเจอ นายจะรับผิดชอบหน้าที่ได้?” เธอถามต่อ
ฉินหรานสะดุ้งกับสายตาจับผิดของเธอ เขารู้ดีกว่าเธอหมายถึงเรื่องเมื่อคืน ตอนที่เธอเผชิญหน้ากับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แล้วฉินหรานถอยออกมา แต่ดันไปเหยียบลงแผ่นกระดาน ทำเสียงดัง
"นั่นเป็นอุบัติเหตุ! มันจะไม่เกิดขึ้นอีก อีกอย่าง พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ไปตลอดแล้วอดตาย หรือรอให้พวกอีแร้งนั่นมาเจอตัว" ฉินหรานอธิบาย พยายามโน้มน้าวเธออีกครั้ง
เขาไม่อยากเสี่ยง เขาไม่ว่าอะไรถ้าต้องสู้กับคนของอีแร้ง ถ้าเป็นโจรหรือชาวเมืองคนอื่นเขาอาจจะเลือกหลีกเลี่ยงการต่อสู้เพราะมีโอกาสลูทของดีได้น้อยมาก แต่คนของอีแร้งนั่นเป็นคนละเรื่องเลย ดูอย่างปืนที่เอวของฉินหรานสิ โจรพวกนั้นน่าจะดรอปปืนให้เวลามันแพ้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าปืนพวกนั้นมีค่าแค่ไหนในเกม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดเขาจากการเก็บสะสมให้ได้มากขึ้นอีกสักหน่อย เพราะยังไงเขาก็เข้ามาในเกมนี้เพื่อเงิน
สรุปก็คือ ฉินหรานยินดีรับความเสี่ยงหากรางวัลที่ได้รับมากพอ
เขาเพิ่งฆ่าคนของอีแร้งไปสองคนเมื่อวานนี้ แต่เขายังต้องอยู่ในเกมอีกหกวันถึงจะผ่านดันเจี้ยนนี้ไปได้ เขายินดีเป็นฝ่ายลงมือก่อน ขจัดอันตรายที่กำลังจะมาถึง แทนที่จะั่งอยู่เฉย ๆ รออย่างหวาดกลัวตลอดเวลา 6 วันที่เหลืออยู่ ฉินหรานไม่ใช่คนอ่อนแอรอตั้งรับแบบนั้น ตลอดสามปีที่เขาอยู่กับอาการป่วยของตัวเอง ทั้งจิตใจและนิสัยของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นตามไป ผลก็คือ เขามีความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่าคนอื่นในวัยเดียวกัน
เขารู้ว่ามีบางอย่างที่ทำยังไงก็หนีมันไม่พ้น ถ้าไม่สู้ให้เต็มที่ก็ไม่ต้องทำตั้งแต่แรก เพราะงั้นเขาจะไม่นั่งอยู่เฉย ๆ รอให้จุดจบมาถึง
เขาเลือกแล้วด้วยการเข้ามาในเกมใต้ดินที่ไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัย และคนของอีแร้งก็เหมือนกัน แน่นอนว่า ถ้ามีโอกาส ฉินหรานก็อยากเพิ่มข้อได้เปรียบและความมั่นใจของตัวเอง
ในชีวิตจริง ข้อมูลเกี่ยวกับเกมที่เขารวมรวมได้นั้นมีน้อยเกินไป เขาพยายามสุดความสามารถแล้วแต่ไม่มีข้อมูลไหนเลยแน่ใจว่าใช้การได้ แต่กับกลุ่มอีแร้ง มันต่างออกไป จากที่คอลลีนพูด ฉินหรานเดาได้ว่าเธอคุ้นเคยกับอีแร้งและพวกมากราวกับมีความสัมพันธ์เลวร้ายกับพวกนั้น เธอแทบจะเก็บงำความแค้นใหญ่หลวงต่อคนพวกนั้นเอาไว้ไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้น ความคุ้นเคยกับพื้นที่ของเธอทำให้เธอเป็นสหายร่วมรบที่ฉินหรานไม่อยากเสียไป
"แน่ละ ฉันก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ไปเรื่อย ๆ อดอยากแถมยังทำได้แค่รอให้พวกอีแร้งมันหาเจอ ฉันชอบแผนของนาย แต่ฉันคิดว่าเราต้องมีการเตรียมตัวที่ดีกว่านี้ถ้าอยากให้แผนสำเร็จ" เธอพูด
"เตรียมตัวยังไง?" ฉินหรานถามตรง ๆ
"เหมือนที่ฉันบอกเมื่อวานไง ฉันหลบเก่ง ฉันคิดว่าฉันสามารถสอนทักษะบางอย่างให้นายได้ ตอนนายเจอพวกมันนายจะได้มีทางเลือกมากขึ้น แย่หน่อยที่ฉันใช้ปืนไม่เก่ง” คอลลีนพูดพลางส่ายหัว
เมื่อไม่ได้มีร่างกายแข็งแกร่งหรือทักษะการต่อสู้ที่ดีพอ คนส่วนใหญ่เลือกใช้ปืนเพื่อป้องกันตัว คนคนหนึ่งสามารถฝึกศิลปะการต่อสู้นานเป็นสิบปีและยังคงแพ้ให้กับคนที่ฝึกแค่สามเดือน ถ้าคนหลังนั้นฉลาดมากพอและรักษาระยะห่างระหว่างกันเอาไว้
"นายต้องการเรียนรู้วิธี 'การหลบหลีก' จากฉันไหม?" เธอถามเขา
หน้าต่างระบบเด้งขึ้นในเวลาเดียวกัน
[คุณต้องการเรียนทักษะการหลบหลีกจากคอลลีนหรือไม่? ใช่/ไม่]
"สกิลใหม่? นี่เธอเป็นผู้สอนสกิลให้ผู้เล่นใหม่หรือนี่? หรือนี่หมายความว่าฉันมีคะแนนความชื่นชอบจากเธอถึงระดับหนึ่ง?" คำถามมากมายปรากฏขึ้นในสมองขณะที่หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น เขาตกลงทันที "แน่นอนว่าเรียน!"
ฉินหรานมีสกิลแค่อย่างเดียวในคลัง และแม้สกิลนั้นได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างมาก เขาก็ยังอยากมีสกิลให้มากขึ้นเพื่อใช้ในการเอาตัวรอด จากการรับจ้างเล่นเกมแทนคนอื่น ๆ มาเมื่อก่อน เขารู้ดีมากว่าในเกมนั้น ถ้าไม่นับเรื่องเลเวลแล้ว ค่าสถานะและสกิลคืออำนาจเดียวในเกม ค่าสถานะสามารถช่วยสนับสนุนสกิล และในทางกลับกันด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมายืนยันสมมติฐานของเขา หลังจากเขาตกลง คอลลีนเริ่มอธิบายเทคนิคการหลบหลีกของเธอและสาธิตวิธีการให้เขาดู ตอนที่การสาธิตจบลง หน้าต่างระบบก็เด้งขึ้นมาอีกครั้ง
[ความคล่องแคล่วถึงระดับ F เพียงพอต่อการเรียนรู้สกิลการหลบหลีก…]
[เรียนรู้สกิล: การหลบหลีก]
[ชื่อ: การหลบหลีก (พื้นฐาน)]
[ชนิดสกิล: สนับสนุน]
[คุณสมบัติ: เพิ่มโอกาสหลบหลีกขึ้น 10% คุณได้เรียนรู้วิธีการหลบเลี่ยงในการต่อสู้]
[เงื่อนไขเรียกใช้: กำลังกาย]
[เงื่อนไขการเรียนรู้: ความคล่องแคล่ว F]
[หมายเหตุ: คุณสามารถม้วนข้าง หรือม้วนหลังเพื่อหลบการจู่โจมของฝ่ายตรงข้าม]
"อย่างที่เดาเลย ค่าสถานะกับสกิลสนับสนุนกันและกัน!" นี่เป็นสิ่งที่ฉินหรานสรุปได้หลังจากเปรียบเทียบทั้งสองสกิลที่เขาได้รับมาและการแจ้งเตือนจากระบบ เขายังคิดสมมติฐานอีกอย่างได้ 'ถ้าระดับสกิลเพิ่มขึ้น ค่าสถานะน่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเหมือนกัน' เขายังไม่ยืนยันสมมติฐานนี้
"เป็นไงมั่ง นายเข้าใจหรือเปล่า?" คอลลีนพูด เธอขยับมายืนอยู่ข้าง ๆ หลังจากสาธิตให้ดูแล้ว เธอมองไปที่สีหน้าว่างเปล่าของฉินหราน เธอขมวดคิ้วนิด ๆ สงสัยว่าเขายังเป็นปกติดีอยู่หรือเปล่า อันที่จริงแล้วเธอก็ไม่ค่อยชอบใจนักที่เขาไม่สนใจดูตอนที่เธอทำการสาธิต
เมื่อฉินหรานรู้สึกได้ว่าเธอไม่พอใจ เขาก็พยายามหันเหความสนใจของเธอด้วยการลองทำให้ดู เขาม้วนข้าง ม้วนหลัง ม้วนหน้า กระทั่งเขาพลิกตะแคงข้างด้วยมือเดียว เขาแสดงการเคลื่อนไหวทั้งหมดออกมาอย่างง่ายดาย
คอลลีนอ้าปากค้างเมื่อเห็น "นายเล่นยิมนาสติกด้วยเหรอ?" เธอถาม
คอลลีน ที่เป็นสมาชิกของทีมยิมนาสติกของโรงเรียน เข้าใจดีว่า คนที่จะมาถึงระดับนี้ได้นั้นต้องใช้เวลาฝึกสองถึงสามปี ท่าพลิกของมือใหม่มักไม่ค่อยเข้าที อย่าว่าแต่พลิกด้วยมือเดียว ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ยากกว่า
"ไม่ครับ ผมแค่ชอบศิลปะการต่อสู้ อีกอย่าง ผมคิดว่าร่างกายของผมค่อนข้างยืดหยุ่น" ฉินหรานพูด พยายามหาคำอธิบายที่ดูสมเหตุสมผลให้เธอ
แม้ว่าเกมจะไม่ได้พูดถึงการเก็บรักษาตัวตนของผู้เล่นไว้เป็นความลับ แต่ในเกมที่มีความเหมือนจริงสูง คำอธิบายแบบนี้ของฉินหรานก็ดูจะใช้ได้อยู่เหมือนกัน ในขณะที่การอธิบายเรื่องโลกจริงต่างหากที่จะทำให้คนอื่นคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
"เข้าใจละ..." คอลลีนยอมรับคำอธิบายของเขา
ฉินหรานถูกดึงความสนใจไปอีกครั้งเมื่อเขามองไปที่ค่าสถานะของตัวเอง
ค่ากำลังกายของเขาลดลงจาก 100 เหลือ 80
.
.
.
.