Chapter 140 : หลบหนีอย่างไร้เกียรติ
กงเล็บและเขี้ยวของสิงโตทองคำไม่อาจทะลวงการป้องกันของเหล่าอู๋ไปได้
อย่างไรก็ตามไม้เท้าตีสุนัขของเหล่าอู๋กลับสร้างความเสียหายให้กับสิงโตทองคำอย่างร้ายกาจ
เพียงไม่ถึงครึ่งนาทีหลังจากที่ครุฑและหลี่เหว่ยกั๋วสู้กัน สิงโตทองคำก็ถูกเหล่าอู๋ทุบตีจบเลือดไหลออกจากทั้งทางปากและจมูกไปแล้ว
ครุฑทั้งตกตะลึงและโมโหในเวลาเดียวกัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สิงโตทองคำตัวนี้คือราชันย์แดนลับเชียวนะ ค่าสถานะของมันสูงกว่าอสูรในระดับเดียวกันถึง15%ดังนั้นมันย่อมทรงพลังกว่านักสู้ในระดับเดียวกันมากนัก
ตอนนี้มันกลับถูกเหล่าอู๋กดเอาไว้ได้นิ่งๆ
ต้องเป็นเพราะชุดเกราะที่ทำจากโลหะนั่นแน่ๆ!
เหล่าอู๋และหลี่เหว่ยกั๋วสบตามองกันและเผยยิ้ม “ชุดนี้มีประโยชน์สุดๆจริงๆ!”
ในเวลานี้เองเสียงกรีดร้องพลันดังขึ้นมาจากบนกำแพงอีกครั้ง
เหล่านักสู้อินเดียคราแรกคิดว่าจำนวนนักสู้บนกำแพงเมืองนั้นมีเพียงเท่านี้
พวกเขาคาดการณ์ว่าคนของอีกฝ่ายจะเหลือน้อยเนื่องจากประสบกับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง!
ตราบใดที่พวกเขาสามารถปีนขึ้นไปถึงบนกำแพงเมืองได้พวกเขาก็สามารถเข่นฆ่าศัตรูได้อย่างง่ายดาย!
หากแต่เมื่อพวกเขาขึ้นมาถึงยอดกำแพง คนบนกำแพงกลับกระจายตัวกันยออกไปทันที ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวด้วยความสงสัยนั้น สกิลจำนวนมากมายก็พลันปกคลุมเหนือหัวของพวกเขาเสียแล้ว!
แม้ว่าระดับของนักสู้ในโคโลนี่จะไม่สูงเท่านักสู้ชาวอินเดียพวกนี้แต่จำนวนนับมากกว่ามากนัก!
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาคุ้มกันกำแพงเมืองมาพักใหญ่แล้วทำให้ตระเตรียมสกิลอันทรงพลังเอาไว้ได้ล่วงหน้า
พวกเขาแค่รอให้นักสู้อินเดียพวกนี้เดินเข้ามาติดกับก็เท่านั้น
ในการเผชิญหน้ากันครั้งแรกนี้ นักสู้ชาวอินเดียผู้โชคร้าย3คนตกตายอย่างน่าสังเวชภายใต้การกระหน่ำโจมตีจากสกิลทั้งหลาย!
อีกฝ่ายน่าจะบังเอิญไปโดนคริติคอล เลือดออกและสถานะดีบัฟอื่นๆเข้าพร้อมๆกัน
เมื่อเห็นภาพนี้ ครุฑก็ยิ่งตกตะลึงและกราดเกรี้ยวขึ้นไปอีก
เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?!
ในโคโลนี่หมายเลข3ยังมีนักสู้มากฝีมืออยู่อีกงั้นรึ?
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนยังมีไม่น้อยด้วย!
ยังไงก็ตามไม่ใช่ว่าตัวเขาเห็นอย่างชัดเจนหรอกรึว่านักสู้พวกนั้นถูกหามลงไปจากกำแพงเมืองอย่างตื่นตระหนกโดยใช้เปลหาม?
เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?!
ความคิดของครุฑในตอนนี้ราวกับหม้อต้มโจ๊กก็ไม่ปาน สับสนและวุ่นวายยิ่งนัก
นักสู้ทั้งบนกำแพงทิศตะวันตก ทิศใต้และทิศเหนือล้วนมายังกำแพงทิศตะวันออกเช่นเดียวกัน
แรงกดดันที่พวกนักสู้ชาวอินเดียต้องแบกรับจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะสามารถโจมตีกำแพงทิศตะวันออกได้สำเร็จในเวลาไม่ถึง3นาทีและเข้าไปสู้ต่อในตัวเมืองได้ เช่นนี้แล้วพวกเขาก็สามารถใช้ข้อได้เปรียบด้านความแข็งแกร่งเฉพาะตัวได้อย่างเต็มที่
หากแต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกตรึงเอาไว้ที่กำแพงเมืองอย่างแม่นมั่น
ติดอยู่บนกำแพงเมืองเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเป้ามีชีวิต
นักสู้ที่อยู่ด้านในเมืองด้านล่างกำแพงพากันกระหน่ำโจมตีขึ้นฟ้า
สกิลดีบัฟนานาชนิดเกาะหัวของพวกเขาราวกับปลิงสูบเลือด
เหน็บชา ตาบอด สับสน ลดความเร็ว เจาะเกราะ...
ถ้าเอาสถานะดีบัฟทั้งหมดบนหัวของพวกเขามาวางต่อกันคงยาวร่วมเมตร
“ทุกคนหลบออกไป มหาผนึกเหมันต์ของโคลด์โดเมนจะมาแล้ว!”
เสียงตะโกนเย็นเยียบดังออกมาจากฝูงชน
นักสู้ที่เคยเห็นความแข็งแกร่งของมหาผนึกเหมันต์มาแล้วพากันกระจายตัวหลบหนีในทันที
ตูม!
กลิ่นอายเย็นเยียบกดทับลงมา
นักสู้ชาวอินเดียที่ทรงพลังและดุดันที่สุดกลับถูกแช่แข็งในพริบตา
แน่นอนว่าเนื่องจากความแตกต่างทางด้านเลเวลทำให้ระยะเวลาที่อีกฝ่ายถูกแช่แข็งนั้นไม่นานมากนัก เป็นเวลาสั้นๆเพียง1.2วินาทีเท่านั้น
หากแต่1.2วินาทีนี้ก็มากพอที่จะสร้างความเสียหายได้อย่างมหาศาลแล้ว
“ฉันจะเป็นคนเก็บเกี่ยวเอง!”
ชายหนุ่มในชุดรัดรูปสีเขียวเข้มกล่าวและกระโจนเข้าใส่มวลอากาศเย็นเยียบเบื้องหน้าราวกับวิญญาณ
แสงดาบฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง
ลำแสงสีเขียวเข้มดูอันตรายตัดผ่านลำคอของนักสู้ชาวอินเดียทั้ง5คนที่ถูกแช่แข็ง
หลังจากระยะเวลาแช่แข็ง1.2วินาทีผ่านพ้น นักสู้ชาวอินเดียทั้ง5คนก็ล้มลงบนพื้นพร้อมกับครวญครางเสียงแผ่ว
สี่ในห้านั้นโดนการโจมตีคริติคอล ติดสถานะเลือดออกและติดพิษทำให้เสียชีวิตทันที
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่โชคดีไม่โดนคริติคอล โชคดีที่นี้คือเขายังเหลือพลังชีวิตอยู่ราวๆ25%
หากแต่ความเสียหายจากสถานะเลือดออกและติดพิษนั้นยังคงกัดกินพลังชีวิตที่เหลือของเขาอย่างบ้าคลั่ง
เขาหมายจะหยิบยาแก้พิษออกมาดื่มด้วยสีหน้าหวาดผวา
หากแต่ในตอนที่ยาแก้พิษกำลังจ่อริมฝีปากแล้วนั้นกลับมีแสงดาบสายหนึ่งวูบผ่าน
แสงดาบนี้กวาดเอาโอสถเหลวกระจัดกระจายหายไปจนไม่เหลือ
นักสู้ชาวอินเดียคำรามออกมาด้วยความโกรธ เขายกดาบในมือขึ้นและฟันไปข้างๆหมายจะสังหารชายหนุ่มด้วยดาบเดียว
นักสู้รอบๆพากันล่าถอยและใช้เพียงสกิลโจมตีระยะไกลในการโจมตีอีกฝ่ายเท่านั้น
นี่คือนักสู้เลเวล9ขอบเขตที่7เชียวนะ ต่อให้อีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังสามารถทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสหรืออาจจะกระทั่งสังหารพวกเขาได้อยู่ดี
อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดกลับต้องพบว่าทุกครั้งที่นักสู้ชาวอินเดียผู้นี้เหวี่ยงดาบนั้นกลับเป็นการกระทำอันสูญเปล่า
เงาร่างของชายหนุ่มราวกับผสานเป็นหนึ่งกับเงามืดอย่างสมบูรณ์จนดูคล้ายกับวิญญาณร้าย
ทุกครั้งดาบอันทรงพลังนั้นของอีกฝ่ายจะตัดผ่านร่างของเขาไปราวกับเรื่องบังเอิญ
ชายหนุ่มสามารถปั่นหัวนักสู้ชาวอินเดียผู้นี้ได้ทุกคราไป
หลังจากผ่านไปราวเจ็ดถึงแปดวินาทีที่จะว่าสั้นก็สั้นจะว่ายาวก็ยาว นักสู้ชาวอินเดียก็เลือดออกจนแห้ง ท้ายที่สุดเลือดที่ไหลออกมากระทั่งว่าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวเพราะติดพิษ นักสู้ชาวอินเดียผู้นี้จึงทนไม่ไหวอีกต่อไปและล้มลงบนพื้นอย่างแรง
ตูม! ตูม! ตูม!
นักสู้ชาวอินเดียอีกคนหยิบระเบิดออกมาจากช่องเก็บของและปาไปข้างหน้า
ระเบิดประเภทนี้อัดแน่นไปด้วยพิษร้ายและขอบเขตการระเบิดเองก็กว้างถึงแปดเมตร
นักสู้คนใดก็ตามที่ได้รับผลจากระเบิดจะติดพิษในทันที
พลังชีวิตของพวกเขาจะลดลงอย่างบ้าคลั่งราวกับน้ำหลาก
ในช่วงเวลาสั้นๆก็มีนักสู้กว่า30ชีวิตแล้วที่ล้มลงบนพื้น
เพื่อคุ้มกันคนบาดเจ็บ คนของกองพลก่อสร้างจำนวนไม่น้อยจึงติดพิษและทำให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย
นักสู้ชาวอินเดียคนนั้นยังคงกระหน่ำโยนระเบิดออกมาเรื่อยๆพร้อมกับยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
ในเวลานี้เองเงาร่างอันสูงส่งพลันกระโจนออกมาจากฝูงชนพร้อมกระชับโล่ปราการขนาดใหญ่ที่มีหัวสิงโตสลักเอาไว้วางขวางเบื้องหน้า เขาใช้โล่นี้ขวางกั้นระเบิดทุกลูกและปกปักษ์เหล่านักสู้ที่ต้องพิษ
นักสู้ชาวอินเดียแค่นเสียงเยาะและไม่สนใจจะเขวี้ยงระเบิดใส่คนอื่นอีก เขาหยิบระเบิดพิษลูกแล้วลูกเล่าออกมาด้วยมือทั้งสองข้างหมายจะระเบิดนักสู้ผู้ใช้โล่ปราการผู้นี้จนตาย
เขาก่นด่าอาละวาดออกมาด้วยภาษาของตัวเอง
“มาดูกันว่าแกจะรับได้ซักแค่ไหน!”
ในเวลานี้เองชายหนุ่มร่างยักษ์อีกคนหนึ่งก็พลันชูคทาเล็กๆในมือขึ้นฟ้า
แสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวนวลสาดส่องลงมาจากฟากฟ้าและเข้าปกคลุมร่างของเหล่านักสู้ที่ต้องพิษเอาไว้
พริบตาหลังจากนั้น แสงสีเขียวมรกตที่ดูเหมือนจะอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตก็สาดส่องตามมา
ชำระล้าง!
ฟื้นฟูขั้นสูง!
หลังจากร่ายเวทย์สนับสนุนทั้งสองชนิดไป สถานะติดพิษของนักสู้ที่ต้องพิษก็พลันถูกลบล้างอย่างสมบูรณ์และพลังชีวิตเองก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
นักสู้ชาวอินเดียที่กำลังโยนระเบิดอย่างมันส์มือพลันชะงักค้าง
สกิลชำระล้างนี่มันอะไรกัน?
ถึงขั้นลบล้างพิษของเขาได้เลยรึ?
“ในฐานะของนักสู้ระยะไกลไม่รู้รึไงว่าไม่ควรเข้าใกล้ศัตรู?”
ฮีลเลอร์ร่างกำยำพลันกระโจนเข้าใส่อีกฝ่าย
คทาเล็กๆในมือของเขาถูกเหวี่ยงจากล่างขึ้นบนราวกับไม้กอล์ฟและฟาดเข้าใส่หัวของนักสู้ชาวอินเดียผู้นั้นเข้าอย่างจัง
ปัง!
อีกฝ่ายถูกพลังทำลายล้างมหาศาลนี้ส่งร่างปลิวกระเด็นออกไปในพริบตา
เลือดสาดกระจายไปทั่วพร้อมๆกับฟันหลายซี่ที่หลุดกระเด็น
นี่มันฮีลเลอร์จริงๆเรอะ?
ทันทีที่นักสู้ชาวอินเดียผู้นี้หล่นลงบนพื้น นักสู้กลุ่มใหญ่ก็พลันเข้ามาล้อมกรอบเขาเอาไว้
“แกสินะที่ปาระเบิด?”
“ฆ่าแม่ง!”
นักสู้พากันรุมทึ้งอีกฝ่ายโดยไม่แม้แต่จะใช้สกิล พวกเขาทุกคนล้วนใช้หมัดเท้าเข่าศอกในการอัดอีกฝ่าย
“พี่นมทำได้ดีมาก!” ดาบพิษยกนิ้วโป้งให้
นักสู้ที่อยู่รอบๆเองก็อุทานออกมา
“ไม่คิดเลยนะเนี่ยพี่นม ท่าเมื่อกี้มีชื่อไหม? ฮีลเลอร์กลับมีสกิลแบบนี้ด้วยเรอะ?”
ฮีลเลอร์หนุ่มกล้ามโตพยักหน้ารับคำด้วยท่าทีอับอาย “ฉันสร้างมันขึ้นมาเอง ตั้งชื่อว่า ‘คทาสู่สุขคติ’”
ภายในคุกของโคโลนี่หมายเลข3
ที่แห่งนี้มักจะถูกใช้เพื่อขังพวกนักสู้ที่ไม่ฟังคำสั่งและไม่รักษาคำพูด
มู่หยางเองก็ถูกโยนมาขังเอาไว้ในหนึ่งในบรรดาคุกทั้งหลายเช่นกัน
เขาพิงซี่ลูกกรงด้วยท่าทีเกียจคร้าน
ในเวลานี้เองจู่ๆเขาก็พลันได้ยินเสียงโห่ร้องของการต่อสู้ดังขึ้นมา
ในบรรดาเสียงเหล่านั้นมีเสียงแตรอันเป็นเอกลักษณ์ของอินเดียแฝงมาด้วย
มู่หยางลุกพรวดขึ้นทันที เขามีความสุขยิ่งนัก
เขาทราบดีว่านายท่านของเขามาแล้ว!
“เฮอะๆๆ ฟังดูจากเสียงแล้วดูเหมือนว่าอินเดียของพวกเรากำลังจะชนะแล้วสินะ!”
สีหน้าของมู่หยางดูมีความสุขยิ่งนัก
ใต้กำแพงทิศตะวันออก ด้านนอกเมือง
สีหน้าของครุฑเปลี่ยนไปจากมั่นใจในชัยชนะกลายเป็นมืดครึ้มและเคร่งขรึม
หลี่เหว่ยกั๋วและเหล่าอู๋ที่สวมใส่ชุดรบโลหะนี้ยังไม่เท่าไหร่ ยังไงซะการที่อีกฝ่ายจะมีไพ่ตายที่ไม่เคยใช้มาก่อนเช่นนี้ซ่อนเอาไว้ก็ไม่นับว่าไร้เหตุผล
หากแต่การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของนักสู้จำนวนมากในโคโลนี่ต่างหากที่อยู่เหนือความคาดหมาย!
“พวกแก...รู้อยู่แล้วสินะ!”
กระทั่งคนโง่ก็ยังรู้ดังนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงครุฑเลย ยิ่งไปกว่านั้นครุฑยังไม่ได้โง่อีกด้วย
หลี่เหว่ยกั๋วหยอกเย้า “แน่นอนสินี่เอ็งพึ่งจะรู้ตัวรึไง?”
ครุฑสูดลมหายใจเข้าลึก แววตาของเขาตอนนี้แดงก่ำราวกับโลหิต
เขารู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้พ่ายแพ้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อโคโลนี่หมายเลข3เตรียมการรับมือเอาไว้เช่นนี้ถ้างั้นหมายเลข2กับหมายเลข1เองก็ย่อมเตรียมการรับมือเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ในเมื่อเขาไม่อาจสังหารหลี่เหว่ยกั๋วกับเหล่าอู๋ลงได้ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่อาจทำลายโคโลนี่หมายเลข3ลงได้
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือ...
หนี!
ครุฑละทิ้งทุกอย่างยอมแม้กระทั่งทิ้งสิงโตทองคำและหันกายหลบหนีไปทันที
เทียบกับนักสู้ขอบเขตที่8สองคนที่เข้าโจมตีโคโลนี่หมายเลข2กับหมายเลข1แล้ว ตัวเขานั้นมาจากฝ่ายของพวกชนชั้นสูงและเป็นหนึ่งในผู้ปกครองของอินเดีย
ครุฑรู้ดีว่าเหตุผลที่เขาจำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ก็เพียงเพราะว่าเพื่อให้เขาได้สั่งสมความสำเร็จเท่านั้น
ตราบใดที่สามารถสร้างชื่อครั้งใหญ่ได้จากการยึดครองบรรพตเสี้ยววิญญาณ การที่เข้าจะได้กลายเป็นรองหัวหน้าหรือกระทั่งแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าในอนาคตก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา
หัวหน้าเองก็เคยบอกเขาเอาไว้ว่าถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นให้เอาชีวิตตัวเองให้รอดเป็นลำดับแรก
ดังนั้นเขาจึงหันกายและหลบหนีไปทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ในอุปกรณ์เก็บของของเขายังมีกุญแจสุริยันอยู่
ตราบใดที่เขาหนีไปจนถึงระยะปลอดภัยและเปิดประตูผันผวนขึ้นมาได้เขาก็สามารถหลบหนีกลับไปยังเมืองแสงสุริยันได้!
“เวรเอ๊ย เจ้าหมอนี่มันไร้ศักดิ์ศรีชิบเป๋ง”
เหล่าอู๋ตกตะลึง
ไม่ใช่เขากล่าวกันว่าครุฑผู้นี้คือคนที่มีโอกาสได้เป็นหัวหน้าของอินเดียในอนาคตรึไง?
ไม่ใช่ว่าว่าที่หัวหน้าองค์กรควรจะรักษาหน้าของตัวเองรึไงวะ?
“นายยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยนะ ถ้าสู้ต่ออาจจะจัดการกับพวกเราได้ก็ได้” เหล่าอู๋ตะโกนขณะไล่ตามอีกฝ่าย
“ใช่แล้วพวกเราอ่อนแอมากนะ ถ้านายคิดว่าสู้ไม่ไหวเดี๋ยวพวกเรายอมถอดชุดรบโลหะออกแล้วค่อยสู้กันก็ได้!” หลี่เหว่ยกั๋วใช้สกิลของเขาไล่ตามอีกฝ่ายไป
ครุฑโกรธายิ่งจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
เชื่อก็หมาแล้ว!
เจ้าสองเฒ่านี่น่ารังเกียจยิ่งนัก!
“ไม่ดีแน่ เจ้าหมอนี่เร็วเกินไปเราตามไม่ทัน” เหล่าอู๋กระซิบกระซาบ
ถ้าสามารถสังหารครุฑลงได้ย่อมสร้างความเสียหายให้กับพวกระดับสูงของอินเดียอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ตามพวกเขาทำได้เพียงมองดูครุฑวิ่งหนีจากไป พวกเขาจึงรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องนี้นัก
“จงเปิด!”
เมื่อเห็นว่าตัวเองหนีออกมานอกระยะโจมตีของอีกฝ่ายแล้ว ต่อให้เป็นเวลาสั้นๆเพียงเสี้ยววิแต่แค่นี้ก็มากพอแล้ว
ครุฑกระวีกระวาดนำกุญแจสุริยันออกมาและสอดมันเข้าไปในอากาศเบื้องหน้า
จากนั้นประตูแสงที่ส่องแสงแวววาวก็พลันเปิดออก
ครุฑดีใจยิ่งนักและกระทั่งก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในประตูแสงแล้ว
หากแต่ในเสี้ยววินาทีนี้เองเวลากลับดูเหมือนจะเชื่องช้าลง
ประกายดาบวูบหนึ่งพุ่งออกมาจากประตูแดนลับของบรรพตเสี้ยววิญญาณ
ประกายดาบนี้ตัดผ่านท้องฟ้ามาราวกับสวรรค์และปฐพีเชื่อมถึงกันแลดูราวกับมวลแสงทั้งหมดในบรรพตเสี้ยววิญญาณเลือนหายไปสิ้น
แกร๊ก
ประตูแสงพลันพังทลายลง!
ตูม!
ขาขวาของครุฑถูกส่งกลับไปผ่านประตูแสง
หากแต่ร่างกายส่วนที่เหลือของเขานั้นยังอยู่ในบรรพตเสี้ยววิญญาณ
ครุฑเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“ฉันอนุญาตให้ไปได้แล้วหรอ?”
น้ำเสียงใสกระจ่างหากแต่ดังสนั่นดังกึกก้อง
พริบตาต่อมาชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพเรียบร้อยก็พลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของครุฑ
ครุฑกล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดและเงยหน้ามอง พริบตานั้นแววตาของเขาก็พลันหรี่ลง
เหล่าอู๋และหลี่เหว่ยกั๋วเองก็ทั้งประหลาดใจและดีใจไปพร้อมๆกัน “หัวหล้าลู่”