ตอนที่แล้วตอนที่ 20 : แรนช์ผู้อยู่เป็น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 22 : แรนช์จะไม่มีวันลืมนิติสำนึกของเขา (1)

ตอนที่ 21 : อิทธิพลทางวิชาการของแรนช์


ช่วงกลางวัน.

ห้องประชุมที่มีผนังสีอ่อนแลดูนวลตาพร้อมกับความโปร่งใส สะท้อนถึงต้นไม้สีเขียวที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างอันกว้างขวาง เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับพื้นที่อย่างมาก

แต่ในขณะนี้.

ในห้องประชุมของสถาบันนักปราชญ์ เนื่องจากหัวข้อที่พวกเขาโต้เถียงกัน บรรยากาศจึงค่อยๆ ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริงควรจะเรียกว่าอยู่ในสภาวะวุ่นวายมากกว่า

“เมื่อเทียบกับผู้เข้าสอบจากสถาบันอัศวินที่มีสติปัญญาและจิตใจเป็นศูนย์ คนของเราดูเหมือนจะมีสติปัญญาและจิตใจสูงเกินไป”

“การสวมบทบาทของเขาดูจะเข้าถึงเกินไปหน่อย”

อาจารย์ส่วนใหญ่รู้สึกประหลาดใจและต้องการตั้งคำถามเมื่อได้เห็นการกระทำของแรนช์ พวกเขาพูดคุยเรื่องที่ผิดปกตินี้ด้วยความสับสน

ยังมีอาจารย์ที่ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดเป็นครั้งคราว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นดูฉากบนหน้าจอเวทมนตร์

เด็กคนนี้มีสภาพจิตใจแบบไหนตอนกำลังสอบ?

พวกเขาไม่เข้าใจ

ขณะนี้ เหล่าอาจารย์ไม่เพียงแต่ต้องทำการศึกษา การวิจัย และการทบทวนการสอบครั้งนี้ให้เสร็จสิ้นเท่านั้น แต่ยังต้องทำการประเมินคะแนนของผู้เข้าสอบทุกคนด้วยตนเองอย่างเร่งด่วนอีกด้วย

เห็นได้ชัดว่าแรนช์สร้างปัญหาที่ยุ่งยากให้แก่พวกเขา —

แล้วตอนนี้จะให้คะแนนเขายังไง..

“ต้องบอกเลยว่าความตระหนักรู้ทางกฎหมายของชายคนนี้แข็งแกร่งมาก คนปกติจะไม่มีทางรีบไปหาประมวลกฎหมายอ่านภายใต้สถานการณ์เช่นนี้”

“ไม่ใช่สิ แม้ว่ามหาวิทยาลัยของเราจะมีผู้เข้าสอบที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย แต่พวกเขาก็เป็นนักเวทย์ไม่ใช่นักกฎหมาย!”

หลังจากโต้เถียงกันสักพัก อาจารย์อีกคนก็ตบโต๊ะแล้วตะโกนขึ้น

“น่าจะเหมาะสมกว่าถ้าเขาได้รับการแนะนำให้เข้าสถาบันเศรษฐศาสตร์และการเงินแห่งชาติฮัตตัน”

“เอ่อ—!”

ลองคิดดูว่าจะเป็นยังไงถ้าในอนาคตคนอย่างแรนช์ได้กลายเป็นผู้พิพากษา

อาจารย์ที่กำลังนั่งโต้เถียงกันต่างก็มีความคิดว่า “ชาตินี้ขอไม่เห็นเขาขึ้นศาล”

ทั้งเอกสาร แผนภูมิ และบันทึกต่างๆ ถูกวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะในห้องประชุม

นาฬิกาบนผนังยังคงเดินต่อไป

รองคณบดีรอนเงียบ เขาเขียนประเด็นสำคัญของมุมมองที่แตกต่างกันหลายประการลงบนกระดาษต้นฉบับที่อยู่ตรงหน้า พยายามจัดลำดับการประเมินผู้เข้าสอบคนนี้

ขณะนี้คณบดีลอเรนกำลังถูกตำหนิอยู่ที่สถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์

ดังนั้นการประชุมครั้งนี้จึงมีเพียงรองคณบดีรอนเท่านั้นที่เป็นประธาน

ไม่มีใครในสถาบันนักปราชญ์ยินดีที่จะไปยังสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์เพื่อเผชิญหน้ากับศาสตราจารย์พอลโลผู้แปลกประหลาด

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง.

ถ้าศาสตราจารย์พอลโลได้ยินว่าเครื่องเปิดใช้งานโลกแห่งภาพฉายแบบจำลองได้รับความเสียหาย…

เขาคงจะโกรธจนแทบขาดสติ!

แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะการสอบรอบสามยังคงต้องใช้เจ้าเครื่องนั้น

ต้องมีผู้กล้าไปขอให้ศาสตราจารย์พอลโลนำช่างจากสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์มาช่วยซ่อมโดยเร็วที่สุดในอีกสองวันข้างหน้า

“ถ้าฉันเป็นลอเรน ฉันคงจะพาชายที่ชื่อว่าแรนช์คนนี้ไปที่สถาบันวิศวกรรมเวทมตร์ด้วย”

คณบดีของพวกเขายังคงจิตใจดีและซื่อสัตย์เกินไป

หลังจากถอนหายใจออกมา ในที่สุดรองคณบดีรอนก็เคาะโต๊ะสองครั้ง

เป็นนัยให้เหล่าอาจารย์ทราบว่าถึงเวลากลับสู่หัวข้อถกเถียงหลักแล้ว

“จากแก่นแท้ของโลกแห่งภาพฉาย ดูเหมือนว่าเขาจะตีความ ‘หัวใจแห่งความเมตตากรุณา’ ได้อีกแบบ”

รอนถอนหายใจพร้อมกับกล่าวออกมา โดยตระหนักถึงการกระทำของของแรนช์อย่างช่วยไม่ได้

“ใช้ความรุนแรงเพื่อต่อสู้กับความรุนแรง ใช้ความชั่วร้ายต่อสู้กับความชั่วร้าย อาจเป็นวิธีการทำความดีที่มีประสิทธิภาพอีกวิธีก็ได้”

ผู้ท้าทายที่ชื่นชอบการต่อสู้ไม่ใช่คนเพียงกลุ่มเดียวที่ศึกษาและถกเถียงกันเกี่ยวกับโลกแห่งภาพฉาย

นอกจากพวกเขายังมีนักเทววิทยา นักประวัติศาสตร์ และนักปรัชญาจำนวนมากที่มักจะแข่งขันกันอยู่เสมอ

การขุดค้นและวิเคราะห์เรื่องราวของโลกแห่งภาพฉายของเหล่านักวิชาการยังช่วยให้ผู้ท้าทายชี้แจงข้อมูลและขยายแนวคิดในการพิชิตโลกแห่งภาพฉายได้อีกด้วย

สถาบันนักปราชญ์ได้รวมการศึกษาเชิงวิชาการจำนวนมากเข้ามาในการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ตัวอย่างเช่น “บทนำสู่โลกแห่งภาพฉาย” เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาสำหรับนักศึกษาใหม่ทุกคนของสถาบันนักปราชญ์ นอกจากนี้ยังเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับโลกแห่งภาพฉายที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกปัจจุบันอีกด้วย

ครั้งหนึ่งเคยชี้ให้เห็นว่าโลกแห่งภาพฉายเป็นบาเรียเวทมนตร์อันน่าอัศจรรย์ที่สร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพก่อนที่พวกท่านจะหายสาบสูญไป มันสามารถบันทึกเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นภายในโลก รวมถึงโลกอื่นๆ ได้ด้วยตัวเอง คัดลอกและบันทึกเรื่องราวเหล่านั้น จากนั้นก็แสดงผลออกมาในรูปแบบภาพฉายทางประวัติศาสตร์

เมื่อโลกแห่งความเป็นจริงวิวัฒนาการผ่านการทำลายล้างและสร้างขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง มันก็แข็งแกร่งพอที่จะเปิดโลกแห่งภาพฉาย จากนั้นโลกแห่งความเป็นจริงจึงเชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งภาพฉาย

เป็นผลให้สิ่งมีชีวิตในโลกนี้สามารถเข้าสู่โลกแห่งภาพฉายและสวมบทบาทเป็นตัวละครในภาพฉายทางประวิติศาสตร์ได้อีกครั้งภายใต้การแนะนำของแก่นแท้โลกแห่งภาพฉาย

การฉายภาพทางประวัติศาสตร์ของเส้นโลกและเส้นเวลาของโลกที่แตกต่างกันเหล่านี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมหรือขุมทรัพย์แห่งความรู้สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

เหล่าทวยเทพหวังว่าสิ่งมีชีวิตจะสามารถสะท้อนถึงเศษเสี้ยวทางประวัติศาสตร์ที่สูญหายเหล่านี้ ได้รับประสบการณ์ และเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อที่โลกปัจจุบันที่พวกเขาอาศัยอยู่จะมีเสถียรภาพและสวยงามมากขึ้น

ดังนั้นจึงเกิดเป็นโลกทั้งสองซึ่งก็คือโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งภาพฉาย เป็นสิ่งที่ชื่อมโยงกันเหมือนกับตัวตนและเงา

หลังจากที่รองคณบดีรอนเริ่ม

ห้องประชุมก็กลับมาสู่บรรยากาศการประชุมทบทวนตามปกติอีกครั้ง

“โลกแห่งภาพฉายแบบจำลองที่สร้างขึ้นในการสอบเข้าครั้งนี้ เราสามารถหารือเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาของแรนช์ และอาจตีพิมพ์เป็นบทความในวารสารได้”

“ฉันพบว่าเขาดูเหมือนจะค่อนข้างมีความสามารถในฐานะนักวิจัย”

ที่โต๊ะกลมของกลุ่มนักเวทย์รักษา อาจารย์เทเรซามองไปที่ข้อมูลของแรนช์แล้วพูดขึ้นเบาๆ

เมื่อตอนที่เขาสมัครเข้าเรียน เธอรู้สึกว่าแม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่มีพรสวรรค์ในการเป็นนักเวทย์ แต่ด้วยนิสัยที่สงบ อ่อนโยน และสง่างามของเขาดูเหมือนจะเป็นนักวิชาการโดยกำเนิด

บ่อยครั้งหากคนเหล่านี้เต็มใจที่จะศึกษาค้นคว้าอย่างหนัก พวกเขาก็จะเป็นที่ต้อนรับของสังคมมากมาย

ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่ในการช่วยทบทวนและดำเนินการวิจัยในแผนกโลจิสติกส์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

“ซึ่งต้องการคนที่มีจิตใจดีและสติปัญญา พร้อมทั้งความเมตตากรุณาและศีลธรรม”

อาจารย์หลายคนรู้สึกเห็นด้วย

“สรุปก็คือ เขาอยู่เหนือกว่าท่านหญิงไฮพีเรียน อารันซา ซึ่งเท่ากับว่าได้อันดับหนึ่งใช่ไหม?”

รองคณบดีรอนใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะเบาๆ ลังเลเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวสรุป

เนื่องจากไม่สามารถประเมินคะแนนได้ ในขณะนี้พวกเขาจึงตัดสินใจได้เฉพาะลำดับเท่านั้น

สิ่งนี้จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดทีมสอบในวันมะรืน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าอาจารย์บ้างก็พยักหน้าบ้างก็นิ่งเงียบ

ทัศนคติของพวกเขาค่อนข้างละเอียดอ่อน แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงความสงสัยไม่ได้ก็ตาม

“แม้ว่าเวลาในการพิชิตของเขาจะเร็วมาก แต่จริงๆ แล้วเขาแทบไม่ได้คะแนนพื้นฐานเลย ตามอัลกอริทึมที่สถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์กำหนดไว้ คะแนนของเขาอาจไม่สูงมากนัก…”

เสียงที่ฟังดูลังเลดังขึ้นมาจากกลุ่มนักเวทย์รักษา

รองคณบดีรอนมองดูและเห็นว่าคนที่พูดขึ้นคืออาจารย์เทเรซา ผู้ซึ่งจัดการเรื่องการสมัครเข้าเรียนให้แรนช์

“อาจารย์เทเรซา คุณคิดว่าไม่ยุติธรรมงั้นเหรอ?”

ที่โต๊ะอีกฝั่ง อาจารย์หนุ่มคนหนึ่งวางมือขวาลงบนพนักเก้าอี้ เขาหันกลับมามองเทเรซาพร้อมกับขัดจังหวะเธอว่า

“เขาสมควรได้รับอันดับหนึ่ง และนั่นก็คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”

“...”

เทเรซาเม้มริมฝีปาก เธอไม่ต้องการพูดอะไรอีก

อันที่จริงเธอรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดมันไม่สมเหตุสมผล

แต่จริงๆ แล้วเธอต้องการช่วยแรนช์

เพราะการได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้าสถาบันนักปราชญ์ปีนี้ไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีอย่างแน่นอน

อันที่จริงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ นักศึกษาใหม่ที่ต้องเผชิญความยากลำบากที่สุดไม่ใช่ทั้งเฟรย์หรือว่าแรนช์

แต่เป็นท่านหญิงไฮพีเรียน

อาจารย์ส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะเข้าไปพัวพันกับเธอ

สาเหตุที่ท่านหญิงตั้งใจอย่างหนักในการสอบรอบที่สองก็เพราะเธอกังวลว่าอันดับจะต่ำเกินไป เป็นผลให้การสอบในรอบที่สามเธออาจได้พบกับเพื่อนร่วมทีมที่แฝงตัวเข้ามา

มีเพียงการได้อันดับที่สูงที่สุดเท่านั้นถึงจะเป็นไปได้ที่เธอจะถูกจัดไว้กับเพื่อนร่วมทีมที่ทรงพลัง ซึ่งแม้แต่กลุ่มที่ไม่เป็นมิตรภายในสถาบันก็ไม่สามารถจัดการกับเธอได้

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน หากแรนช์บังเอิญถูกจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่ง

มีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะเป็นไปตามที่หลายๆ คนต้องการ และมีเหตุผลว่าแรนช์จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการถ่วงท่านหญิงตอนสอบต่อสู้จริง

ท้ายที่สุดแล้วแรนช์ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ที่โดดเด่นอะไรเลย

“เฟอร์ราต ถึงเป็นเรื่องยากที่ผมจะออกความเห็นอะไร แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม โปรดอย่าทำนอกเหนือกฎ มิเช่นนั้นลอเรนจะไม่นั่งอยู่เฉยๆ”

รอนมองชายหนุ่มที่เมื่อสักครู่ขัดจังหวะเทเรซา เขากล่าวกับอีกฝ่าย

“แน่นอน”

อาจารย์หนุ่มที่ถูกเรียกว่าเฟอร์ราตยืนขึ้นและโค้งคำนับอย่างสง่างามต่อรองคณบดีรอน

“เพียงแต่ว่าตามกฎที่กำหนดไว้ หากไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ผมควรจะได้เป็นผู้ประเมินนักเรียนที่ได้อันดับดีที่สุด จากนั้นผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อคัดผู้เข้าสอบที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมออกไป ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในอนาคตของพวกเขา”

ตั้งแต่ต้นจนจบ ริมฝีปากของเฟอร์ราตมีรอยยิ้มที่แลดูมั่นใจเผยออกมา

“…”

รองคณบดีรอนพลิกหน้ากระดาษในมืออย่างเงียบๆ ต้องการจะจบหัวข้อนี้

แรนช์ วิลฟอร์ด ในฐานะนักเวทย์ขาวเขามีพรสวรรค์น้อยมาก

อันที่จริงเขาไม่เหมาะกับสถาบันนักปราชญ์

โลกแห่งภาพฉายที่แท้จริงตั้งแต่ระดับหนึ่งขึ้นไปนั้นไม่เพียงแต่ต้องใช้สติปัญญาเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ความสามารถในทางปฏิบัติอีกด้วย

ไม่ว่าเขาจะถูกจัดไว้ในทีมใดก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะต้องตกรอบในรอบที่สาม

เพราะงั้นอันดับหนึ่งที่เขาได้มา มันก็คงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ยอมให้เขาร่วมทีมกับท่านหญิง

ไม่สามารถตำหนิใครได้หากว่าเขาเป็นตัวถ่วง

อย่างไรก็ตาม ถึงทั้งสองคนจะไม่ได้อยู่ทีมเดียวกัน พวกเขาก็แทบไม่มีความหวังที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเลย

(จบตอน)

เดี๋ยวก็รู้ คำว่านักเวทย์ขาวไม่ใช่ได้มาง่ายๆนะเฟ้ยยย

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด