ตอนที่ 21 : อิทธิพลทางวิชาการของแรนช์
ช่วงกลางวัน.
ห้องประชุมที่มีผนังสีอ่อนแลดูนวลตาพร้อมกับความโปร่งใส สะท้อนถึงต้นไม้สีเขียวที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างอันกว้างขวาง เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับพื้นที่อย่างมาก
แต่ในขณะนี้.
ในห้องประชุมของสถาบันนักปราชญ์ เนื่องจากหัวข้อที่พวกเขาโต้เถียงกัน บรรยากาศจึงค่อยๆ ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริงควรจะเรียกว่าอยู่ในสภาวะวุ่นวายมากกว่า
“เมื่อเทียบกับผู้เข้าสอบจากสถาบันอัศวินที่มีสติปัญญาและจิตใจเป็นศูนย์ คนของเราดูเหมือนจะมีสติปัญญาและจิตใจสูงเกินไป”
“การสวมบทบาทของเขาดูจะเข้าถึงเกินไปหน่อย”
อาจารย์ส่วนใหญ่รู้สึกประหลาดใจและต้องการตั้งคำถามเมื่อได้เห็นการกระทำของแรนช์ พวกเขาพูดคุยเรื่องที่ผิดปกตินี้ด้วยความสับสน
ยังมีอาจารย์ที่ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดเป็นครั้งคราว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นดูฉากบนหน้าจอเวทมนตร์
เด็กคนนี้มีสภาพจิตใจแบบไหนตอนกำลังสอบ?
พวกเขาไม่เข้าใจ
ขณะนี้ เหล่าอาจารย์ไม่เพียงแต่ต้องทำการศึกษา การวิจัย และการทบทวนการสอบครั้งนี้ให้เสร็จสิ้นเท่านั้น แต่ยังต้องทำการประเมินคะแนนของผู้เข้าสอบทุกคนด้วยตนเองอย่างเร่งด่วนอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าแรนช์สร้างปัญหาที่ยุ่งยากให้แก่พวกเขา —
แล้วตอนนี้จะให้คะแนนเขายังไง..
“ต้องบอกเลยว่าความตระหนักรู้ทางกฎหมายของชายคนนี้แข็งแกร่งมาก คนปกติจะไม่มีทางรีบไปหาประมวลกฎหมายอ่านภายใต้สถานการณ์เช่นนี้”
“ไม่ใช่สิ แม้ว่ามหาวิทยาลัยของเราจะมีผู้เข้าสอบที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย แต่พวกเขาก็เป็นนักเวทย์ไม่ใช่นักกฎหมาย!”
หลังจากโต้เถียงกันสักพัก อาจารย์อีกคนก็ตบโต๊ะแล้วตะโกนขึ้น
“น่าจะเหมาะสมกว่าถ้าเขาได้รับการแนะนำให้เข้าสถาบันเศรษฐศาสตร์และการเงินแห่งชาติฮัตตัน”
“เอ่อ—!”
ลองคิดดูว่าจะเป็นยังไงถ้าในอนาคตคนอย่างแรนช์ได้กลายเป็นผู้พิพากษา
อาจารย์ที่กำลังนั่งโต้เถียงกันต่างก็มีความคิดว่า “ชาตินี้ขอไม่เห็นเขาขึ้นศาล”
ทั้งเอกสาร แผนภูมิ และบันทึกต่างๆ ถูกวางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะในห้องประชุม
นาฬิกาบนผนังยังคงเดินต่อไป
รองคณบดีรอนเงียบ เขาเขียนประเด็นสำคัญของมุมมองที่แตกต่างกันหลายประการลงบนกระดาษต้นฉบับที่อยู่ตรงหน้า พยายามจัดลำดับการประเมินผู้เข้าสอบคนนี้
ขณะนี้คณบดีลอเรนกำลังถูกตำหนิอยู่ที่สถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์
ดังนั้นการประชุมครั้งนี้จึงมีเพียงรองคณบดีรอนเท่านั้นที่เป็นประธาน
ไม่มีใครในสถาบันนักปราชญ์ยินดีที่จะไปยังสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์เพื่อเผชิญหน้ากับศาสตราจารย์พอลโลผู้แปลกประหลาด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง.
ถ้าศาสตราจารย์พอลโลได้ยินว่าเครื่องเปิดใช้งานโลกแห่งภาพฉายแบบจำลองได้รับความเสียหาย…
เขาคงจะโกรธจนแทบขาดสติ!
แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะการสอบรอบสามยังคงต้องใช้เจ้าเครื่องนั้น
ต้องมีผู้กล้าไปขอให้ศาสตราจารย์พอลโลนำช่างจากสถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์มาช่วยซ่อมโดยเร็วที่สุดในอีกสองวันข้างหน้า
“ถ้าฉันเป็นลอเรน ฉันคงจะพาชายที่ชื่อว่าแรนช์คนนี้ไปที่สถาบันวิศวกรรมเวทมตร์ด้วย”
คณบดีของพวกเขายังคงจิตใจดีและซื่อสัตย์เกินไป
หลังจากถอนหายใจออกมา ในที่สุดรองคณบดีรอนก็เคาะโต๊ะสองครั้ง
เป็นนัยให้เหล่าอาจารย์ทราบว่าถึงเวลากลับสู่หัวข้อถกเถียงหลักแล้ว
“จากแก่นแท้ของโลกแห่งภาพฉาย ดูเหมือนว่าเขาจะตีความ ‘หัวใจแห่งความเมตตากรุณา’ ได้อีกแบบ”
รอนถอนหายใจพร้อมกับกล่าวออกมา โดยตระหนักถึงการกระทำของของแรนช์อย่างช่วยไม่ได้
“ใช้ความรุนแรงเพื่อต่อสู้กับความรุนแรง ใช้ความชั่วร้ายต่อสู้กับความชั่วร้าย อาจเป็นวิธีการทำความดีที่มีประสิทธิภาพอีกวิธีก็ได้”
ผู้ท้าทายที่ชื่นชอบการต่อสู้ไม่ใช่คนเพียงกลุ่มเดียวที่ศึกษาและถกเถียงกันเกี่ยวกับโลกแห่งภาพฉาย
นอกจากพวกเขายังมีนักเทววิทยา นักประวัติศาสตร์ และนักปรัชญาจำนวนมากที่มักจะแข่งขันกันอยู่เสมอ
การขุดค้นและวิเคราะห์เรื่องราวของโลกแห่งภาพฉายของเหล่านักวิชาการยังช่วยให้ผู้ท้าทายชี้แจงข้อมูลและขยายแนวคิดในการพิชิตโลกแห่งภาพฉายได้อีกด้วย
สถาบันนักปราชญ์ได้รวมการศึกษาเชิงวิชาการจำนวนมากเข้ามาในการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ตัวอย่างเช่น “บทนำสู่โลกแห่งภาพฉาย” เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาสำหรับนักศึกษาใหม่ทุกคนของสถาบันนักปราชญ์ นอกจากนี้ยังเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับโลกแห่งภาพฉายที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกปัจจุบันอีกด้วย
ครั้งหนึ่งเคยชี้ให้เห็นว่าโลกแห่งภาพฉายเป็นบาเรียเวทมนตร์อันน่าอัศจรรย์ที่สร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพก่อนที่พวกท่านจะหายสาบสูญไป มันสามารถบันทึกเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นภายในโลก รวมถึงโลกอื่นๆ ได้ด้วยตัวเอง คัดลอกและบันทึกเรื่องราวเหล่านั้น จากนั้นก็แสดงผลออกมาในรูปแบบภาพฉายทางประวัติศาสตร์
เมื่อโลกแห่งความเป็นจริงวิวัฒนาการผ่านการทำลายล้างและสร้างขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง มันก็แข็งแกร่งพอที่จะเปิดโลกแห่งภาพฉาย จากนั้นโลกแห่งความเป็นจริงจึงเชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งภาพฉาย
เป็นผลให้สิ่งมีชีวิตในโลกนี้สามารถเข้าสู่โลกแห่งภาพฉายและสวมบทบาทเป็นตัวละครในภาพฉายทางประวิติศาสตร์ได้อีกครั้งภายใต้การแนะนำของแก่นแท้โลกแห่งภาพฉาย
การฉายภาพทางประวัติศาสตร์ของเส้นโลกและเส้นเวลาของโลกที่แตกต่างกันเหล่านี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมหรือขุมทรัพย์แห่งความรู้สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
เหล่าทวยเทพหวังว่าสิ่งมีชีวิตจะสามารถสะท้อนถึงเศษเสี้ยวทางประวัติศาสตร์ที่สูญหายเหล่านี้ ได้รับประสบการณ์ และเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อที่โลกปัจจุบันที่พวกเขาอาศัยอยู่จะมีเสถียรภาพและสวยงามมากขึ้น
ดังนั้นจึงเกิดเป็นโลกทั้งสองซึ่งก็คือโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งภาพฉาย เป็นสิ่งที่ชื่อมโยงกันเหมือนกับตัวตนและเงา
หลังจากที่รองคณบดีรอนเริ่ม
ห้องประชุมก็กลับมาสู่บรรยากาศการประชุมทบทวนตามปกติอีกครั้ง
“โลกแห่งภาพฉายแบบจำลองที่สร้างขึ้นในการสอบเข้าครั้งนี้ เราสามารถหารือเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาของแรนช์ และอาจตีพิมพ์เป็นบทความในวารสารได้”
“ฉันพบว่าเขาดูเหมือนจะค่อนข้างมีความสามารถในฐานะนักวิจัย”
ที่โต๊ะกลมของกลุ่มนักเวทย์รักษา อาจารย์เทเรซามองไปที่ข้อมูลของแรนช์แล้วพูดขึ้นเบาๆ
เมื่อตอนที่เขาสมัครเข้าเรียน เธอรู้สึกว่าแม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่มีพรสวรรค์ในการเป็นนักเวทย์ แต่ด้วยนิสัยที่สงบ อ่อนโยน และสง่างามของเขาดูเหมือนจะเป็นนักวิชาการโดยกำเนิด
บ่อยครั้งหากคนเหล่านี้เต็มใจที่จะศึกษาค้นคว้าอย่างหนัก พวกเขาก็จะเป็นที่ต้อนรับของสังคมมากมาย
ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่ในการช่วยทบทวนและดำเนินการวิจัยในแผนกโลจิสติกส์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
“ซึ่งต้องการคนที่มีจิตใจดีและสติปัญญา พร้อมทั้งความเมตตากรุณาและศีลธรรม”
อาจารย์หลายคนรู้สึกเห็นด้วย
“สรุปก็คือ เขาอยู่เหนือกว่าท่านหญิงไฮพีเรียน อารันซา ซึ่งเท่ากับว่าได้อันดับหนึ่งใช่ไหม?”
รองคณบดีรอนใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะเบาๆ ลังเลเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวสรุป
เนื่องจากไม่สามารถประเมินคะแนนได้ ในขณะนี้พวกเขาจึงตัดสินใจได้เฉพาะลำดับเท่านั้น
สิ่งนี้จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดทีมสอบในวันมะรืน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าอาจารย์บ้างก็พยักหน้าบ้างก็นิ่งเงียบ
ทัศนคติของพวกเขาค่อนข้างละเอียดอ่อน แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงความสงสัยไม่ได้ก็ตาม
“แม้ว่าเวลาในการพิชิตของเขาจะเร็วมาก แต่จริงๆ แล้วเขาแทบไม่ได้คะแนนพื้นฐานเลย ตามอัลกอริทึมที่สถาบันวิศวกรรมเวทมนตร์กำหนดไว้ คะแนนของเขาอาจไม่สูงมากนัก…”
เสียงที่ฟังดูลังเลดังขึ้นมาจากกลุ่มนักเวทย์รักษา
รองคณบดีรอนมองดูและเห็นว่าคนที่พูดขึ้นคืออาจารย์เทเรซา ผู้ซึ่งจัดการเรื่องการสมัครเข้าเรียนให้แรนช์
“อาจารย์เทเรซา คุณคิดว่าไม่ยุติธรรมงั้นเหรอ?”
ที่โต๊ะอีกฝั่ง อาจารย์หนุ่มคนหนึ่งวางมือขวาลงบนพนักเก้าอี้ เขาหันกลับมามองเทเรซาพร้อมกับขัดจังหวะเธอว่า
“เขาสมควรได้รับอันดับหนึ่ง และนั่นก็คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
“...”
เทเรซาเม้มริมฝีปาก เธอไม่ต้องการพูดอะไรอีก
อันที่จริงเธอรู้ว่าสิ่งที่เธอพูดมันไม่สมเหตุสมผล
แต่จริงๆ แล้วเธอต้องการช่วยแรนช์
เพราะการได้อันดับหนึ่งในการสอบเข้าสถาบันนักปราชญ์ปีนี้ไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีอย่างแน่นอน
อันที่จริงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ นักศึกษาใหม่ที่ต้องเผชิญความยากลำบากที่สุดไม่ใช่ทั้งเฟรย์หรือว่าแรนช์
แต่เป็นท่านหญิงไฮพีเรียน
อาจารย์ส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะเข้าไปพัวพันกับเธอ
สาเหตุที่ท่านหญิงตั้งใจอย่างหนักในการสอบรอบที่สองก็เพราะเธอกังวลว่าอันดับจะต่ำเกินไป เป็นผลให้การสอบในรอบที่สามเธออาจได้พบกับเพื่อนร่วมทีมที่แฝงตัวเข้ามา
มีเพียงการได้อันดับที่สูงที่สุดเท่านั้นถึงจะเป็นไปได้ที่เธอจะถูกจัดไว้กับเพื่อนร่วมทีมที่ทรงพลัง ซึ่งแม้แต่กลุ่มที่ไม่เป็นมิตรภายในสถาบันก็ไม่สามารถจัดการกับเธอได้
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน หากแรนช์บังเอิญถูกจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่ง
มีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะเป็นไปตามที่หลายๆ คนต้องการ และมีเหตุผลว่าแรนช์จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการถ่วงท่านหญิงตอนสอบต่อสู้จริง
ท้ายที่สุดแล้วแรนช์ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ที่โดดเด่นอะไรเลย
“เฟอร์ราต ถึงเป็นเรื่องยากที่ผมจะออกความเห็นอะไร แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม โปรดอย่าทำนอกเหนือกฎ มิเช่นนั้นลอเรนจะไม่นั่งอยู่เฉยๆ”
รอนมองชายหนุ่มที่เมื่อสักครู่ขัดจังหวะเทเรซา เขากล่าวกับอีกฝ่าย
“แน่นอน”
อาจารย์หนุ่มที่ถูกเรียกว่าเฟอร์ราตยืนขึ้นและโค้งคำนับอย่างสง่างามต่อรองคณบดีรอน
“เพียงแต่ว่าตามกฎที่กำหนดไว้ หากไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ผมควรจะได้เป็นผู้ประเมินนักเรียนที่ได้อันดับดีที่สุด จากนั้นผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อคัดผู้เข้าสอบที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมออกไป ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในอนาคตของพวกเขา”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ริมฝีปากของเฟอร์ราตมีรอยยิ้มที่แลดูมั่นใจเผยออกมา
“…”
รองคณบดีรอนพลิกหน้ากระดาษในมืออย่างเงียบๆ ต้องการจะจบหัวข้อนี้
แรนช์ วิลฟอร์ด ในฐานะนักเวทย์ขาวเขามีพรสวรรค์น้อยมาก
อันที่จริงเขาไม่เหมาะกับสถาบันนักปราชญ์
โลกแห่งภาพฉายที่แท้จริงตั้งแต่ระดับหนึ่งขึ้นไปนั้นไม่เพียงแต่ต้องใช้สติปัญญาเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ความสามารถในทางปฏิบัติอีกด้วย
ไม่ว่าเขาจะถูกจัดไว้ในทีมใดก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะต้องตกรอบในรอบที่สาม
เพราะงั้นอันดับหนึ่งที่เขาได้มา มันก็คงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ยอมให้เขาร่วมทีมกับท่านหญิง
ไม่สามารถตำหนิใครได้หากว่าเขาเป็นตัวถ่วง
อย่างไรก็ตาม ถึงทั้งสองคนจะไม่ได้อยู่ทีมเดียวกัน พวกเขาก็แทบไม่มีความหวังที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเลย
(จบตอน)
เดี๋ยวก็รู้ คำว่านักเวทย์ขาวไม่ใช่ได้มาง่ายๆนะเฟ้ยยย