Chapter 6: ได้พัก
ฉินหรานรู้สึกปลอดภัยแล้วตอนนี้
ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ลดความระวังตัวลง ตั้งใจฟังและมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง พอเธอรู้สึกมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครไล่ตามมา เธอก็เดินต่อ
"ตามมา!" เธอพูด
ฉินหรานรีบตามเธอไป ทั้งคู่เดินลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง หลังจากหลบหลีกเศษไม้คานและซากอิฐปูนมากมาย พวกเขาก็หยุดลง ผู้หญิงคนนั้นเอามือปัดกองขยะตรงหน้าออกเผยให้เห็นปากทางลับ เธอยกประตูไม้ขึ้นอย่างเงียบ ๆ และบันไดลงไปยังชั้นใต้ดินก็ปรากฏให้เห็น
"เข้ามาสิ!" เธอให้สัญญาณแก่ฉินหราน โบกมือให้เขาเข้าไปก่อน เขาทำตามโดยไม่หยุดคิดสักวินาที
ท่ามกลางแสงอ่อนจางที่ส่องลงมาเป็นเส้น ฉินหรานมองเห็นว่าที่ปลายบันไดมีอะไรซ่อนอยู่ มันเป็นห้องเก็บของที่มีชั้นวางไม้และอุปกรณ์สองสามชิ้นวางอยู่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ที่นี่ ลดความเป็นไปได้ที่จะถูกซุ่มโจมตีลง ฉินหรานเข้าไปในห้องเก็บของ และรอผู้หญิงคนนั้นตามลงมาอยู่ตรงข้างบันได เมื่อเธอลงมาถึง เขาแนะนำตัวเอง
"หวัดดี ผมชื่อฉินหราน"
"คอลลีน นายเป็นทหารเหรอ?"
เธอดูเหมือนจะอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร น้ำเสียงของเธอทรยศกริยาของเธอ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าวิธีการใช้กริชของฉินหรานยังสดใหม่อยู่ในความทรงจำของเธอ
"ไม่ใช่ครับ ผมแค่ชอบศิลปะการต่อสู้ แล้วในสงครามบ้า ๆ นี่มันก็ใช้การได้พอดี ดูสิ ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณเลยนะ คุณก็น่าจะรู้ ถ้าผมจะทำ ก็คงไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยากเมื่อกี้แล้ว"
เขาสังเกตเห็นว่าสายตาของเธอยังมีความตื่นตัวอยู่ขณะฟังเขาพุด ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังและอธิบายเพิ่มเท่าที่จะทำได้ ระหว่างสงครามนั้น เป็นทหารไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี
ทหารคือสิ่งคุกคามสำหรับศัตรูและต้องถูกกำจัด ชาวเมืองก็คิดว่าพวกทหารเป็นภัยคุกคามเหมือนกัน สงครามก็เหมือนยาพิษ มันนำมาซึ่งความมืดดำของผู้คน โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอีกฝ่าย ฉินหรานเข้าใจท่าทีของเธอได้ เมื่อคิดถึงความเหี้ยมโหดของพวกทหารที่เธอน่าจะได้เห็นมาในระหว่างสงครามสี่เดือนนี้
อย่างไรเสีย คำอธิบายภารกิจก็พูดถึง 'กบฏ'
ฉินหรานไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นทหาร และนั่นย่อมเป็นทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับเขา คำพูดของฉินหรานมีผลต่อผู้หญิงอยู่บ้าง เมื่อเขาอธิบายจบ สายตาของเธอดูโล่งใจขึ้นเล็กน้อยและดูกังวลน้อยลง
"ขอโทษที ฉันไม่ควรถาม แต่ฉันเคยเจอพวกต่อต้านกบฏหลายคน บางคนก็ใช้ได้ แต่ส่วนใหญ่..." คอลลีนขมวดคิ้ว เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
"มันก็มีทั้งคนดีคนเลวอยู่ทุกที่นั่นแหละ" ฉินหรานพูด ไม่ปลอบโยนหรือตัดสิน เป็นสิ่งที่ควรพูดในตอนนี้ คำพูดเหล่านี้ทำให้คอลลีนยอมรับในตัวเขา
"ฉันให้นายอยู่ที่นี่กับฉันได้หนึ่งวันเป็นการตอบแทนที่นายช่วยฉัน แต่นายต้องออกไปก่อนพระอาทิตย์ตกดินพรุ่งนี้" คอลลีนพูด
"ขอบคุณครับ" ฉินหรานตอบ
ถึงเขาจะอยากได้ข้อมูลมากกว่านี้ แต่เขารู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะถามคอลลีน แม้ว่านี่จะเป็นแค่เกม แต่ความสมจริงทำให้ฉินหรานตระหนักว่า ถ้าเขาทำอะไรไม่เหมาะสม มันจะเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ และมีผลต่ออนาคตในเกมของเขา ผลลัพธ์นั้นอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่จากประสบการณ์ของเขา เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างหลัง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็ไม่ต้องอธิบายว่าทำไมคนที่อยู่รอดผ่านสงครามมาได้ถึงสี่เดือนถึงไม่คุ้นเคยกับสภาพเมือง อีกอย่าง ฉินหรานคิดว่า หากเขาถามคำถามที่ไม่เข้ากับตัวตนที่เขาเป็นอยู่ ท่าทีที่คอลลีนมีต่อเขาจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ที่เขาจะมีโอกาสเสียที่ซ่อนตัวหนึ่งวันนี้ไป
ดังนั้น พอฉินหรานเห็นคอลลีนเดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง นั่งลงและส่งเสียงอีก เขาก็ทำอย่างเดียวกัน เขาเดินไปที่อีกด้านของห้อง นั่งลงพิงผนังและหลับตาลง เมื่อเขาหลับตาลง เบื้องหน้าก็เติมเต็มด้วยความมืด และร่างกายก็ฟื้นฟูขึ้นในทุก ๆ ลมหายใจ ให้เขาได้พักผ่อนเล็กน้อย จิตใจของเขาก็เหนื่อยล้ามากเช่นกัน ภาพของเลือดและคนตายยังประทับแน่นในสมอง ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเขา เขาใช้เวลาไปครู่ใหญ่ แต่ก็หลับลงได้ในที่สุด
...
ฉินหรานตื่นขึ้นเพราะเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง เขาลืมตาขึ้นมาเห็นคอลลีนกำลังกินขนมปังกรอบอยู่ที่มุมตรงข้าม จากหน้าตาของขนมปัง คงจะเป็นกระเป๋าสะพายหลังใบนั้นที่เธอได้มาจากศพไร้หัวเมื่อคืนนี้
พอฉินหรานมองไปที่เธอ คอลลีนก็ตัวแข็งไป อาหารนั้นมีราคาต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงสงคราม ขนมปังและขนมปังกรอบที่เก็บไว้กินวันอื่น ๆ เป็นชนวนให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงในช่วงสงครามแบบนี้ คอลลีนกับชายไร้หัวคนนั้นเพิ่งสู้กันแย่งพวกมันเมื่อคืนก่อน
ฉินหรานรู้แล้วว่าคอลลีนตั้งใจทำอะไรหลังจากได้เห็นเธอหวาดระแวงในตัวเขา เขาทำท่าบอกเธอว่าเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอและหยิบอาหารกระป๋องออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังของตัวเอง ร่างของคอลลีนยังคงแข็งทื่ออยู่จนกระทั่งฉินหรานดึงอาหารกระป๋องออกมา ถึงตอนนี้เธอถึงได้โล่งใจขึ้น ถ้าพวกเขาทั้งคู่มีอาหาร ก็ไม่มีเหตุผลให้สู้กัน
พวกเขาไม่มีใครพูดอะไรขณะกินอาหารเช้าของตัวเอง คอลลีนก้มหน้าลง ดูเหมือนเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉินหรานกินอาหารของตัวเองในขณะตรวจดูบันทึกของระบบ
[ภารกิจหลัก: มีชีวิตรอด 7 วัน, 0/7] เปลี่ยนเป็น [1/7] และสถานะ [ความหิว] ปรากฏขึ้นในหน้าต่างตัวละคร
[ความหิว: เมื่ออยู่ในภาวะหิวโหย ค่ากำลังกายสูงสุดจะต่ำกว่าปกติ 20% และจะลดลงเร็วขึ้นสองเท่า เมื่อกำลังกายไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลต่อพลังชีวิตได้]
หลังจากที่เขากินอาหารกระป๋องลงไป สถานะ [ความหิว] ก็หายไปจากหน้าต่างตัวละคร
"ในเกมมีความหิวเกิดขึ้นด้วยเหรอ?" เขาคิดเงียบ ๆ เป็นอีกครั้งที่เขาแปลกใจกับความสมจริงของเกม จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ขอบคุณสถานะ [ความหิว] ที่เพิ่งค้นพบ เขาคงต้องหาอาหารมาเก็บไว้มากขึ้นเพื่อที่จะมีชีวิตรอด เห็นได้ชัดเจนว่า ภารกิจนี้นั้นไม่ง่ายแล้วในเมืองที่เกิดสงครามเช่นนี้
"อาหารที่เหลืออยู่น่าจะเพียงพอไปอีกสองถึงสามวัน อย่างมากที่สุดก็สองวันหากต้องต่อสู้!" ฉินหรานคิดในขณะมองไปที่อาหารกระป๋องสองกระป๋องที่เหลืออยู่และน้ำสะอาดขวดนั้น เขาจำเป็นต้องหาอาหารและน้ำเพิ่มถ้าต้องการมีชีวิตรอด สถานการณ์เริ่มดูไม่ดีแล้ว
เสียงไอที่ดังขึ้นกะทันหันขัดกระบวนความคิดของฉินหราน เขามองไปและเห็นคอลลีนกำลังใช้มือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองเอาไว้แล้วใช้มืออีกข้างทุบหน้าอกตัวเอง ดูเหมือนว่าเธอจะสำลักขนมปังกรอบที่กินเข้าไป ขนมปังแห้ง ๆ ไม่ได้กินคล่องคอขนาดนั้น
"นี่ ดื่มน้ำก่อน!" ฉินหรานเข้าไปใกล้ ๆ เธอและยื่นขวดน้ำให้
คอลลีนดื่มน้ำเข้าไปสองอึกใหญ่ เหลือน้ำให้เขาแค่หนึ่งในสามของขวด เธอผ่อนลมหายใจยาวออกมา "ขะ.. ขอบคุณนะ" คอลลีนมองน้ำที่เหลืออยู่แล้วรู้สึกละอายอยู่บ้าง
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงสงคราม น้ำก็ด้วย หากมีใครยินดีแบ่งอาหารและน้ำของตัวเองให้ในช่วงเวลาเช่นนี้ นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอเลยว่าคนคนนั้นไม่ได้คิดร้ายต่อกัน คอลลีนรู้ นั่นทำให้ท่าทีของเธอต่อฉินหรานดีขึ้นอีก เธอดูยินดีพูดคุยกับเขามากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ฉินหรานคาดหวังเอาไว้
"ตอนก่อนเกิดสงครามนายเคยทำงานอะไรเหรอ?" คอลลีนถามด้วยความสงสัย
"ผมเป็นนักเรียน แต่มันมีเรื่องนิดหน่อย ผมเลยกลายเป็นโอตาคุ แล้วคุณล่ะ" ฉินหรานถาม
"ฉันก็เป็นนักเรียนเหมือนกัน แต่เพราะเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ดื่มเหล้า แล้วก็อื่น ๆ ก็เลยถูกส่งไปสถานบริการชุมชน ก่อนที่ฉันจะเก็บชั่วโมงบริการชุมชนครบ 200 ชั่วโมง ก็เกิดสงครามขึ้นเสียก่อน ตอนแรก ฉันดีใจมากที่ไม่ต้องทำบริการชุมชนแล้ว แต่ตอนนี้ฉันอยากใช้ทั้งชีวิตบริการชุมชนมากกว่าอยู่ในนรกแบบนี้แล้ว!" เธอเสริมขึ้นหลังฉินหรานอธิบายส่วนของตัวเอง เธอดูเหมือนจะหยุดพูดไม่ได้แล้ว สีหน้าเย็นชาของเธอสลายไปในพริบตา
ทั้งหมดที่ฉินหรานทำได้ก็คือคอยตอบรับสิ่งที่เธอบอกเขาและปล่อยเธอพูดต่อ ในชีวิตประจำวันคนเรามักจะสวมหน้ากากเพื่อปกป้องตัวเอง และในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังแบบนี้ยิ่งจำเป็นต้องสวมหน้ากาก
"ฉันมาจากแถว ๆ ถนนบรอดเวย์ที่หก แต่ตอนที่อีแร้งกับพวกลูกน้องของมันบุกเข้ามาปล้นที่นั่น ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย้ายไปแถว ๆ วิลล่าการ์เด้น แต่ใครจะรู้ว่าพวกมันก็ตามไปที่นั่นอีก! สวะ!"
"พวกอีแร้งนี่มีอำนาจขนาดนั้นเลยเหรอ?" ฉินหรานถามเมื่อได้ยินชื่อนี้อีกครั้ง
"ใช่สิ นายไม่เคยได้ยินชื่อพวกมันเพราะนายไม่ได้มาจากแถวนี้" คอลลีนพูด "ก่อนสงคราม กลุ่มอีแร้งเนี่ยก็แค่โจรกระจอก ๆ แต่ตอนสงครามเริ่มฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกมันมีโชคชั่วแบบไหน แต่พวกมันติดคุกอยู่ตอนนั้น แล้วก็กวาดเอาอาวุธจากสถานีตำรวจไปได้ พอพวกกบฏเริ่มก่อตั้งกองกำลัง ไอ้สวะนั่นก็ได้โอกาส มันรวมหัวกับพวกเศษเดนในคุกบุกเข้ายึดถนนบรอดเวย์ที่หก!"
"กลุ่มอื่น ๆ ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับพวกอีแร้งตรง ๆ เพราะว่าไอ้สวะนั่นแข็งแกร่งมากจริง ๆ และไม่ยอมละเว้นใครที่ล้ำเส้นมัน ชาวเมือง โจร ทุกคนที่อยู่คนละฝ่ายกับมันล้วนตายกันหมด คนสุดท้ายที่กล้าต่อต้านมัน หัวหน้าของอีกกลุ่มหนึ่ง ถูกแขวนแล้วย่างสดบนเสาไฟฟ้าที่บรอดเวย์ที่หก!"
คอลลีนดูเหมือนจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอีแร้งเยอะมากทีเดียว จู่ ๆ หน้าของเธอก็ซีดลง เธอเพิ่งนึกได้ว่าผู้ชายสองคนนั้นที่เธอกับฉินหรานช่วยกันจัดการเมื่อวานก็เป็นคนของอีกแร้งเหมือนกัน ได้ยินคำของคอลลีน สีหน้าของฉินหรานก็ย่ำแย่พอ ๆ กับเธอขึ้นมาเลย
.
.
.
.