ตอนที่แล้วChapter 262 ข้าบอกว่าพวกเจ้าคือขยะ ไม่ยอมรับอย่างงั้นรึ?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 264 เมื่อรับศิษย์เต็มจำนวน ภารกิจสำนักก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง.

Chapter 263 ชีวิตของข้าที่ถูกกำหนดให้ต้องตาย ไม่มีอะไรสามารถทำได้


หลังจากกลับสำนักแล้ว หลี่ชิงหยางก็จัดแจงและต้อนรับเหล่าศิษย์น้องหญิง-ชาย เข้าที่พัก พร้อมกับมอบชุดสำนักและตำรากฎของสำนักให้กับทุกคน.

พร้อมกับเม็ดยาอย่างพร้อมเพรียง.

จุนซ่างเซียวที่นั่งอยู่ในห้องโถง เอ่ยออกมาเสียงเบา “เมื่อพวกเขาก้าวไปถึงเปิดชีพจรขั้นที่สิบสอง ก็จะสามารถทดสอบยกระดับเป็นสำนักขั้นเจ็ดได้.”

จุนซ่างเซียวที่ยังคงบ่นพึมพำ.

สำนักระดับเจ็ด เจ้าสำนักมีระดับอาจารย์ยุทธ์  50 ศิษย์ยุทธ์ 500 เปิดชีพจรขั้นที่สิบสอง.

จุนซ่างเซียวที่มีระดับอาจารย์ยุทธ์ขั้นหก ตรงตามเงื่อนไข.

ส่วน 50 ศิษย์ยุทธ์.

อ่ะ! โทษที หากไม่นับศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ศิษย์ 501 คน ล้วนแต่มีระดับศิษย์ยุทธ์ทั้งหมด.

ที่ยังยกระดับสำนักไม่ได้ เพราะต้องการศิษย์เปิดชีพจร ขั้นที่สิบสอง 500 คน ศิษย์ยุทธ์ 50  เมื่อไหร่ที่มีระดับเปิดชีพจรครบห้าร้อย อย่างต่ำก็ต้องมีสมาชิกมากกว่า 550 คน จำนวนสมาชิกในสำนักเขายังไม่พอเท่านั้น.

ตอนนี้เขาเพิ่มศิษย์จาก 502 เป็น 602  เพียงแค่ฝึกฝนให้มีระดับเปิดชีพจรขั้นที่ 12 ครบ ก็จะสามารถทำเรื่องยกระดับสำนักได้.

เจ้าสำนักจุนยังไม่พอใจกับจำนวนศิษย์ 600 คนในเวลานี้ ดังนั้นจึงต้องการรับศิษย์เพิ่มอีก และตัดสินใจเลือกเมืองซุนหยางที่ใกล้ที่สุดเป็นเมืองต่อไป.

“เจ้าสำนัก.”

หลี่ชิงหยางเอ่ย “ข้ามีสหายที่เมืองชุนหยาง ข้าขอติดตามไปในครั้งนี้ด้วย.”

“ตกลง.”

จุนซ่างเซียวให้เซียวจุ้ยจื่อพักบ่มเพาะอยู่ในสำนัก และนำศิษย์ลำดับสองและพวกจางเหว่ยเดินทางไปในเช้าวันถัดมา.

เมืองซุนหยางเป็นหนึ่งในแปดเมืองของมนทลชิงหยาง.

ก่อนที่ตระกูลอ้ายจะเปิดประมูลเม็ดยาฟื้นฟูนั้น นายน้อยสองจากตระกูลซ่งที่เป็นคนทดลองยา เป็นคนของตระกูลซ่งเมืองซุนหยาง.

เรื่องนี้นับเป็นอะไรที่บังเอิญเป็นอย่างมาก.

เพื่อนของหลี่ชิงหยางก็คือนายน้อยสองตระกูลซ่งนั่นเอง.

หนึ่งคือพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยางและอีกหนึ่งก็คือพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองซุนหยาง.

ทั้งคู่ในอดีตที่พบกันบังเอิญในป่าเขา  ขณะออกไปไล่ล่าสังหารสัตว์ร้าย จนได้ร่วมมือกันพร้อมทั้งสร้างมิตรภาพขึ้นมา.

แต่หลังจากที่นายน้อยสองตระกูลซ่งบาดเจ็บจนกลายเป็นอัมพาต เขาก็ไม่ได้ออกมาล่าสัตว์อีกเลย.

และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่ได้ติดต่อกัน.

จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ข้อมูลจากหอฝนพรำ ว่าสหายที่เขาเคยสนิทด้วยกันนั้น ตอนนี้ได้รับเม็ดยาฟื้นฟูของเจ้าสำนักและกลับมายืนได้ครั้งแล้ว.

“ฮึ.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เม็ดยาฟื้นฟูของเปิ่นจั้วไม่เพียงช่วยเหลือเจ้า ทว่ายังช่วยเหลือสหายของเจ้าด้วย บางทีนี่คงเป็นชะตาลิขิต.”

หลี่ชิงหยางเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “ดังนั้นศิษย์เดินทางมาพบสหายในครั้งนี้ จึงคาดหวังจะโน้มน้าวเขา เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งได้.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว.”

แม้นว่าเขาจะไม่ได้สนใจพรสวรรค์ของศิษย์นัก ทว่าหากเลือกได้ การได้ศิษย์ที่มีรากวิญญาณระดับสูง ก็เป็นเรื่องที่ดี.

เส้นทางไปยังเมืองซุนหยางนั้นมีหลายเส้นทาง ทว่าจุนซ่างเซียวเลือกเส้นทางผ่านเทือกเขา เพราะว่ามันใช้เวลาเดินทางได้รวดเร็วนั่นเอง.

อย่างไรก็ตาม.

ขณะที่เขาเดินทางเข้ามาอยู่กลางป่านั้น ก็ได้ยินเสียงของสัตว์ร้ายที่ดังสนั่น.

หลี่ชิงหยางเอ่ย “เจ้าสำนัก สัตว์ร้ายกำลังโจมตีมนุษย์.”

“ไป.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เข้าไปดู.”

เสียงคนที่ขอความช่วยเหลือ.

จากนั้น ก็พบว่าบนศิลาก้อนหนึ่ง มีเสือดาวที่กำลังกัดร่างของชายผู้หนึ่งอยู่.

เสื้อผ้าของชายคนดังกล่าวมีคมเขี้ยวและรอยกงเล็บเต็มไปหมด โลหิตไหลซึมออกมาจากทุกที่.

“ฆ่า.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “เก็บแกนผลึกมาด้วย.”

“ฟิ้ว!”

หลี่ชิงหางที่ใช้ท่าเท้าเหยียบเมฆาพุ่งเข้าไป ใช้กระบี่หานเฟิงตะวัดกลายเป็นริ้วแสง ตัดคอเสือดาวระดับต่ำขั้นสองในทันที.

“พรึด ซี่!”

หน้าอกของมันที่ถูกเปิด นำแกนผลึกออกมา.

“ใช้ได้.”จุนซ่างเซียวเอ่ย.

ขณะจ้องมองไปยังแกนผลึก.

หลี่ชิงหยางที่เก็บแกนผลึก จ้องมองไปยังร่างที่ถูกเสือดาวขย้ำ ส่ายหน้าไปมา “เจ้าสำนัก เขาตายแล้ว.”

“มีชีวิตก็แปลกแล้ว.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “พวกเรารีบไปกันเถอะ.”

ในกลางป่าเช่นนี้ เมื่อกลิ่นโลหิตที่โชยออกไป ย่อมล่อสัตว์ร้ายมากมายเข้ามาหาและนั่นจะสร้างความยุ่งยากให้กับพวกเขา.

“หืม.”

หลี่ชิงหยางที่เก็บกระบี่อยู่นั้น.

ทว่าจับจ้องมองไปที่ใต้เท้า และหงายศพขึ้น ขณะพลิกนั้น.

ที่ช่องผ้าตรงอกของศพนั้น มีร่างของเด็กสาวเปื้อนโลหิตไหลออกมา.

“เจ้าสำนัก.”

หลี่ชิงหยางเอ่ย “มีเด็กสาวคนหนึ่ง.”

จุนซ่างเซียวที่หันกลับไป จ้องมองไปยังศพ ที่หลี่ชิงหยางพลิกขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็จำได้ทันที ไม่ใช่ชายชราที่เมืองลี่หยางหรอกรึ?

เป็นไปได้ว่า....

เด็กสาวคนนี้.

คือเด็กสาวที่มีอายุ 7-8 ขวบที่เรียกปู่ลู่หรอกรึ?

เด็กสาวที่ราวกับหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ร่างของนางที่กระตุกสั่นไม่หยุด.

“ปู่ลู่.......”

ยิ่งนางเห็น ศพของชายชรา ยิ่งอดทนไม่ได้ ร้องไห้โหยหวนขึ้นมาทันที.

หลี่ชิงหยางเอ่ย “เจ้าสำนัก ชายชราคนนี้ คงจะปกป้องนาง กอดนางซ่อนเอาไว้ในอ้อมกอด ยอมให้สัตว์ร้ายฉีกร่างของเขาแทน.”

จุนซ่างเซียวส่ายหน้าไปมา “ไม่มีความแข็งแกร่งพอ ไม่ควรจะเลือกเส้นทางที่มีความเสี่ยงเช่นนี้.”

......

บนพื้นที่ป่าแห่งหนึ่ง มีกองพูนหลุมศพ และป้ายศิลาที่ปักเอาไว้ มีชื่อที่สลักบนแผ่นหินเอาไว้ว่า สุสานปู่ลู่.

เด็กสาวตัวเล็กที่คุกเข่าลงด้านหน้า ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาสะอื้นเป็นระยะ ๆ.

“เจ้าสำนัก.”

หลี่ชิงหยางที่อดไม่ได้จนต้องกล่าวออกมาว่า “เด็กคนนี้น่าสงสารนัก พวกเราควรจะรับนางเป็นศิษย์.”

เขาที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของศิษย์น้องเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองลี่หยางหลายวันก่อน ก็รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่.

ตอนนี้ชายชราตายไปแล้ว นางไร้ญาติขาดมิตร จะอยู่คนเดียวในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร?.

แม้นว่าจะสังหารคนมามากมาย ทว่าเรื่องบางเรื่อง ภายในใจของหลี่ชิงหยางก็มีความอ่อนโยนอยู่เช่นกัน.

จุนซ่างเซียวเอ่ย “ตกลง.”

เขาเองก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นไร้ปราณี ในเมื่อพบกันกลางป่า คงทำได้เพียงรับนางเป็นศิษย์ เขาจะปล่อยให้นางไปตามยถากรรมได้อย่างไร.

หลิงหยวนเสวี๋ยที่รู้เรื่องของนาง นางที่เศร้าและแอบร้องไห้ออกมาเช่นกัน.

“หลิงเสวี๋ย.”

“อยู่นี่แล้ว!”

“อุ้มนางมา.”

“อ๋า?”

หลิงหยวนเสวี๋ยที่รับคำสั่งเจ้าสำนัก กอดเด็กหญิงตัวน้อย ที่เวลานี้กำลังร้องไห้อยู่หน้าหลุมศพของปู่ลู่.

“ออกเดินทาง ไปยังเมืองซุนหยาง.”

จุนซ่างเซียวที่นำศิษย์เดินทางต่อไป.

เด็กสาวนามเมิ่งหยิง เวลานี้นางที่ได้แต่ร้องไห้จ้องมองไปยังหลุมศพที่ค่อย ๆ ไกลออกไป.

แม้นว่าปู่ลู่จะไม่มีสายโลหิตเดียวกับนาง แต่ในโลกใบนี้คือ สมาชิกครอบครัวของนาง ตอนนี้ได้จากนางไปเรียบร้อยแล้ว.

......

หลังจากที่กลุ่มของจุนซ่างเซียวจากไปแล้ว หลุมศพที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่กลับกำลังสั่นไปมา แขนที่ผุดขึ้นมาในทันที.

“ฟิ้ว!”

ร่างของชายชราที่ตายไปแล้ว ได้ลุกขึ้นฟื้นคืนชีพจากความตาย.

หากมีคนได้เห็นภาพที่เกิดขึ้น คงจะขวัญหนีดีฝ่ออย่างไม่ต้องสงสัย.

“ฟู่!”

ชายชราที่นั่งบนป้ายหลุมศพพร้อมกับถอนหายใจหลายครั้ง.

เขายังมีชีวิต? เขายังไม่ตายอย่างงั้นรึ?

“เด็กน้อย.”

เขาที่ผ่อนคลายลง จ้องมองไปยังทิศทางที่จุนซ่างเซียวจากไป ชายชราเอ่ยออกมาว่า “สายตาของข้าไม่ผิดพลาด สำนักไท่กู่เจิ้งไม่ธรรมดา หวังว่าหลังจากนี้เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นในสำนักไท่กู่เจิ้ง.”

“ไม่.”

เขาที่หยุดและเอ่ยออกมาว่า “จงใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยไร้กังวลที่นั่นเถอะ.”

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เวลานั้นมีชายชุดดำที่ปรากฏขึ้น คุกเข่าอยู่ด้านหลังชายชรา ราวกับเป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์.

“ผู้พิทักษ์ลู่.”

ชายคนหนึ่งที่กล่าวเสียงเบา “เมื่อไหร่จะกลับเทือกเขามาร?”

ชายชราที่แต่งตัวเหมือนกับขอทาน กลิ่นอายแห่งความมืดที่กวาดม้วนหมุนวนล้อมรอบร่างของเขาในทันที รวมตัวกันเป็นชุดเกราะรบสีดำ.

สายตาที่ดำมืดเย็นชาเอ่ยออกมาว่า “อนาคตของนายน้อยผู้นี้ กำลังรอคอยเวลาที่เหมาะสม พวกเราต้องเก็บเนื้อเก็บตัวก็เพื่อนายท่านจอมมาร.”

ในวันนั้น มีเงาร่างสีดำหลายร่างที่พุ่งผ่านป่าเขาแผ่กลิ่นอายที่ดำมืดออกมา ทำให้สัตว์ร้ายมากมายต้องหนีหายกระจายตัวออกไปด้วยความหวาดกลัว!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด