Chapter 262 ข้าบอกว่าพวกเจ้าคือขยะ ไม่ยอมรับอย่างงั้นรึ?
สิบเจ้าสำนักพันธมิตร พ่ายแพ้จนหมดท่าด้วยฝีมือ เซียวจุ้ยจื่อ.
คนที่เหลือเวลานี้ถึงจะโกรธเกรี้ยว ทว่าก็ไม่กล้าขึ้นเวที ต้องไม่ลืมว่าระดับอาจารย์ยุทธ์ขั้นสามและสี่ยังพ่ายแพ้ พวกเขาขึ้นไปมีแต่จะถูกทุบให้เละขายหน้าเท่านั้น.
จุนซ่างเซียวเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล “ดูเหมือนสำนักไท่กู่เจิ้งของข้าจะรังแกพวกเจ้ามากไปหน่อย เช่นนั้นเปิ่นจั้วจะเปลี่ยนเป็นศิษย์สายนอกสู้กับขยะอย่างพวกเจ้าก็แล้วกัน.”
“กึก.”
สิ้นเสียงดังกล่าว.
เซียวจุ้ยจื่อก็ก้าวลงมา จางเหว่ยก้าวขึ้นไปแทน.
เขาที่ยืนอยู่บนเวทีการแข่งขัน เผยท่าทางอหังการออกมา ต้องไม่ลืมว่าศิษย์พี่ก่อนหน้านี้ แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวเขาเองย่อมไม่สามารถเผยความอ่อนแอทำให้ทุกคนขายหน้าได้.
ศิษย์สายนอก ต่อสู้กับเจ้าสำนักอย่างงั้นรึ?
โอหังเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกหวั่นเกรงเซียวจุ้ยจื่อเล็กน้อย ทำให้ความโกรธมากมายปะทุออกมาในทันที.
“ข้าเอง!”
เจ้าสำนักระดับเก้า ระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นปลาย ก้าวออกไป ขึ้นเวทีสู้กับจางเหว่ยที่มีระดับศิษย์ยุทธ์ขั้นที่หก.
จากนั้น......
“โอ้วสวรรค์!”
“ศิษย์สายนอก สามารถชนะเจ้าเจ้าสำนักได้ อ๊าก!”
“เกินไปหรือไม่?!”
ชาวยุทธ์เมืองลี่หยางที่ดวงตาเบิกกว้างกลมโต.
เซียวจุ้ยจื่อแข็งแกร่งและยังเป็นผู้ชนะเลิศสำนัก พวกเขาสามารถยอมรับได้ ทว่าศิษย์คนอื่น ๆเองก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน เรื่องนี้แทบไม่สามารถจินตนาการถึงได้เลย.
ฟิ้ว!
เจ้าสำนักระดับแปดอีกคน ที่มีระดับอาจารย์ยุทธ์ขั้นที่หนึ่งก้าวขึ้นเวที.
ท้ายที่สุดผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็ถูกซัดหน้าหงายล่วงลงเวที!
แม้นว่าจางเหว่ยจะมีระดับบ่มเพาะศิษย์ยุทธ์ขั้นที่หก ทว่าความแข็งแกร่งนั้นก้าวไปถึง 15,000 จินแล้ว เทียบกับระดับอาจารย์ยุทธ์ขั้นที่หนึ่งมีพลังเพียง 10,000 จินเท่านั้น.
ห่างกัน 5000 จิน แม้นว่าเขตแดนบ่มเพาะจะต่างกัน แต่ก็ถูกแทนที่การกลั่นร่างกายสร้างความแข็งแกร่งของกายเนื้อขึ้นสูงสุด.
“ข้ากล่าวว่า กลุ่มของขยะ ยังไม่คิดจะยอมรับอีกรึ?”จุนซ่างเซียวที่กล่าวดูแคลนพวกเขาอีกครั้ง.
เหล่าเจ้าสำนักพันธมิตรที่เหลือรอดเวลานี้โกรธเกรี้ยวสั่นระริก แต่กลับไม่มีใครก้าวขึ้นเวที เพราะว่าตระหนักได้ว่า ศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งแข็งแกร่งจริง ๆ ขึ้นไปมีแต่จะถูกอัดกระหน่ำจนพวกเขาขายหน้าเท่านั้น.
ไม่ต้องสงสัยเลย.
ผลงานของสำนักไท่กู่เจิ้งในวันนี้ จะกลายเป็นที่โจษจันอย่างแน่นอน.
เมื่อข้อมูลกระจายไปทั่ว จะต้องส่งผลอารมณ์และความคิดทุกคนทั่วมนทลชิงหยางอย่างไม่ต้องสงสัย.
ศิษย์สายนอก เอาชนะเจ้าสำนักพันธมิตร เรื่องนี้น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง!
“ทุกท่าน.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “มีใครจะสู้อีก?”
“......”
เหล่าเจ้าสำนักที่เหลือเวลานี้ได้แต่เงียบ ใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์.
พวกเขาที่มีคนจำนวนมาก แต่กับถูกศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งสองคน ทุบตีจนหน้าหงาย เวลานี้เรียกว่าขายหน้าเสื่อมเกียรติเป็นอย่างมาก.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “ในเมื่อไม่สู้ ก็ไสหัวไปให้เร็ว อย่ามาขวางการรับสมัครศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้ง ที่นี่.”
ไม่ไว้หน้าพันธมิตรร้อยสำนักแม้แต่น้อย เขาได้ไล่อีกฝ่ายไปให้พ้นสายตาทันที.
“ไม่ไปอย่างงั้นรึ?”
เห็นพวกเขาไม่คิดจะจากไป จุนซ่างเซียวที่กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “งั้นรอให้เปิ่นจั้ว รับศิษย์เสร็จแล้ว จะลงมือด้วยตัวเองก็ได้.”
เหล่าเจ้าสำนักพันธมิตรที่ก้าวออกไปยกเหล่าคนที่หมดสติ นอนคุกฝุ่นขึ้น แล้วพยุงกันออกไปทันที.
พวกเขาตัดสินใจจากไปทันที รับรู้แล้วว่าไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้แล้ว.
“ทุกท่าน.”
จุนซ่างเซียวยกมือประสานไปยังผู้ชมทุกคน กล่าวออกมาเสียงดัง “วันนี้สำนักไท่กู่เจิ้งเดินทางมารับศิษย์ในเมืองลี่หยาง ขอเพียงมีอายุ 14 ปี อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าเล็กน้อย ก็สามารถมาลงทะเบียนได้ โอกาสนี้มีไม่มากนัก โปรดอย่าทิ้งโอกาสนี้ไป.”
เหล่าชาวยุทธ์เมืองลี่หยางที่พูดคุยกันเสียงเบา.
“ศิษย์ที่เจ้าสำนักจุนฝึกฝน ร้ายกาจมาก!”
“น่าเสียดายที่ เด็ก ๆ ครอบครัวของข้าเข้าร่วมพันธมิตรร้อยสำนักไปแล้ว ไม่เช่นนั้นจะต้องให้เข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งอย่างแน่นอน.”
“หลานของข้ามีอายุ 14 ปีพอดี น่าจะให้เขาไปทดสอบดู.”
ชาวยุทธ์ไม่น้อยที่หวั่นเกรงต่อพันธมิตรร้อยสำนัก จึงไม่กล้าให้ลูกหลานเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้ง.
หากแต่ตอนนี้ พวกเขาที่เห็นศิษย์เพียงสองคน ก็สามารถเอาชนะเจ้าสำนักของเหล่าพันธมิตรได้สบาย ๆ อธิบายได้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งมาก ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว.
หลังจากใคร่ครวญดีแล้ว!
จะต้องเข้าร่วมสำนักไท่กู่เจิ้งให้ได้!
ทันใดนั้น ก็มีครอบครัวหนึ่งนำบุตรที่มีอายุ 14 ปีเข้ามาในทันที.
จากนั้นเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง ผู้เยาว์กว่า 10-11 เผยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก.
ชื่อเสียงสำนักไท่กู่เจิ้งที่เริ่มกระฉ่อนเมื่อเร็ว ๆ นี้ แน่นอนพวกเขาย่อมได้ยิน หลายคนที่ต้องการเข้าร่วม หากแต่ถูกครอบครัวห้ามเอาไว้ ทำให้ได้แต่หยุดคิดไป ทว่าตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว.
“ชื่อ.”
“ซ่างกวนโชว.”
จุนซ่างเซียวที่เงยหน้าขึ้น จ้องมองผู้เยาว์ ที่มีร่างกายแข็งแกร่ง ก่อนประทับตราสำนักลงไป.
“ติ๊ง! จำนวนสมาชิก : 503 / 1000.”
เพราะว่าเพิ่งมีศิษย์คนหนึ่งตายไป ศิษย์คนที่ 503 จึงไม่ได้แต้มสนับสนุน.
“ชื่อ.”
“เหยี่ยนคง.”
ผู้เยาว์ที่ผอมสูงเอ่ยกล่าวออกมา.
หลังจากกวาดตามอง จุนซ่างเซียวก็ประทับตราสำนักลง.
เหล่าชาวยุทธ์เมืองลี่หยางที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับมุมปากกระตุก.
เพียงแค่ถามชื่อ ไม่ถามรากวิญญาณและพลังบ่มเพาะก็รับแล้ว เจ้าสำนักจุนรับศิษย์ง่าย ๆ เช่นนี้นะรึ?
จากนั้นมีมีศิษย์หญิงที่มีหน้าตางดงามเข้ามาสมัคร นามหยวนเสี่ยวหาน.
นางที่มีรากวิญญาณระดับต่ำ ทว่าด้วยจุนซ่างเซียวต้องการรับศิษย์หญิง ตัดสินใจรับนางทันที แทบจะไม่ลังเล ประทับตราสำนักลงไป.
จากนั้น ผู้เยาว์อีกหลายคนที่จ้องมองและตัดสินใจอย่างหนักแน่น เพียงแค่เป็นสตรี อีกฝ่ายก็รับแทบจะไร้เงื่อนไข.
เหล่าชาวยุทธ์ไม่น้อยแทบจะเป็นลม.
รับศิษย์อย่างง่ายดายเช่นนี้ ไม่ต้องคัดเลยรึอย่างไร?!
“เอ่อ...”
หลังจากรับไปแล้ว 20-30 คน ชายชราเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่นก็ก้าวเข้ามา เอ่ยออกไปว่า “เจ้าสำนักจุน ข้ามีเด็กคนหนึ่ง นางยังเยาว์มาก สำนักไท่กู่เจิ้งรับหรือไม่?”
จุนซ่างเซียวที่เงยหน้าขึ้น เห็นเด็กอายุ 6-7 ปียืนอยู่ด้านหลังชายชรา ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความหวาดกลัว.
“ขออภัย.”
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เด็กเกินไป.”
แม้นว่าจะยังเด็กและใบหน้าค่อนข้างเปื้อนดำ ทว่าก็ดูน่ารักอยู่ไม่น้อย.
น่าเสียดาย สำนักไท่กู่เจิ้งไม่ใช่โรงเรียนอนุบาล ไม่สามารถรับเด็กขนาดนี้ได้.
ชายเฒ่าที่คุกเข่าขอร้อง “เด็กคนนี้ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ข้าแก่เฒ่าใกล้จะสิ้นอายุขัยแล้ว หากเป็นเช่นนี้คงจะอดตายในเร็ว ๆ นี้แน่ ได้โปรดเจ้าสำนักสงสารรับนางเข้าสำนักด้วย.”
“ปู่ลู่ ข้าไม่ไป ข้าจะไปกับท่าน.”
เด็กหญิงที่พูดจาแข็งก้าวและหวาดกลัวออกมาพร้อม ๆกัน.
จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมาเอ่ยออกไปว่า “ตาเฒ่า สำนักข้าไม่ใช่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หากเปิ่นจั้วรับมาคนหนึ่งก็ต้องรับคนที่สอง แล้วต่อไปไม่เรียกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารึอย่างไรกัน.”
“ฮึ.”
เด็กสาวแค่นเสียง “ข้าไม่เห็นอยากเข้าสำนักเจ้าเลย ข้าจะอยู่กับปู่ลู่.”
กล่าวจบ นางก็ลากชายชราจากไป.
จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าทอดถอนใจ “ถัดไป.”
“เมิ่งยู่เสวียน.”
กึก.
ตราประทับสำนักที่ประทับลงใบสมัครอีกครั้ง.
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง.
ผู้เยาว์กว่า 100 คนส่วนใหญ่เป็นสตรี ถูกรับเข้าสำนักไท่กู่เจิ้งในครั้งนี้.
สมาชิกสำนักเพิ่มขึ้นจาก 502 เป็น 602 คะแนนสนับสนุนจากห้าแต้มกลายเป็น 104.
เมื่อมีแต้มเพิ่มขึ้นขึ้นมาบ้างแล้ว เจ้าสำนักจุนก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาในทันที.
การรับศิษย์ในเมืองลี่หยางครั้งนี้ รับศิษย์หญิงไม่น้อย หลังจากกลับไป สำนักคงจะดูครึกครื้นขึ้นมาหน่อย.
“เตรียมตัว.”
เจ้าสำนักจุนเอ่ย “กลับสำนัก.”
เขาที่เดินทางไปยังตำหนักเจ้าเมืองเพื่อกล่าวลาเจ้าเมืองอ้าว และนำศิษย์กลับสำนัก.
จุนซ่างเซียวที่ก้าวออกมาจากหน้าประตูเมือง ในเวลานั้นเขาเห็นชายชราที่อุ้มเด็กสาวเดินช้า ๆ อย่างเหนื่อยล้า แลดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก.
“เฮ้อ.”
จุนซ่างเซียวที่ส่ายหน้าไปมา “ในโลกใบนี้มีคนน่าสงสารมากมาย หากเปิ่นจั้วยื่นมือไปช่วยเหลือ คงไม่มีเวลาพัฒนาสำนัก.”
“ไป.”
ชายชราที่จ้องมองคนของสำนักไท่กู่เจิ้งจากไป พร้อมกับถอนหายใจ “เมิ่งหยิง เจ้าต้องการติดตามปู่ไปทุกที่อย่างงั้นรึ?”
หญิงสาวที่กล่าวอย่างหนักแน่น “ปู่ลู่ หยิงเอ๋อมีท่านเป็นครอบครัวเพียงคนเดียว ไม่ว่าท่านจะไปที่ใหน หยิงเอ๋อก็จะไปที่นั่น.”
“ดี.”
ชายชราที่กล่าวอย่างนุ่มนวล “พวกเราไปเมืองซุนหยางกัน.”
“อืม.”
ชายชราที่อุ้มเด็กสาวเดินทางไปยังเส้นทางที่ทอดยาว ดวงตะวันที่ค่อย ๆ คล้อย ต่ำลง.