1398 - ค้นหาทางเข้าสวรรค์โบราณ
1398 - ค้นหาทางเข้าสวรรค์โบราณ
ปรมาจารย์ฉางชิงบอกไปว่า ช่วงยุคสมัยโบราณในคืนที่ฝนตกหนักนั้น เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลันจนเกิดเป็นลำธารที่ตีนเขาเหมาซาน
มีเกิดเมฆสีม่วงลอยขึ้นมาปกคลุมยอดเขาอย่างแน่นหนา สุดท้ายท้องฟ้าก็ถล่มลงมาอย่างรุนแรง
ปรมาจารย์ของภูเขาเหมาซานรีบพาลูกศิษย์หลบหนีด้วยความหวาดกลัว แต่ท้องฟ้าได้ถล่มลงมาทับร่างของเขาจนแหลกละเอียด สุดท้ายเขาค้นพบว่านั่นเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
ในเช้าวันรุ่งขึ้นเขาพาผู้คนออกไปสำรวจบริเวณที่มองเห็นนิมิตในความฝัน สุดท้ายเขาก็ค้นพบหินก้อนนี้ อย่างไรก็ตามมันได้ถูกนำไปประดิษฐานบนภูเขาคุนหลุนซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกมานานหลายพันปี
ทุกคนเกิดความประหลาดใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกเขารวมกลุ่มเพื่อดูหินแปลกๆ เย่ฟ่านวางมือลงบนหินในท่าทีที่อ่อนโยน เขารู้สึกด้วยหัวใจ ได้ยินเสียงเสียงสายฟ้าระเบิดอยู่ภายในอย่างชัดเจน
เย่ฟ่านใช้ทักษะเต๋าทำให้เกิดภาพธรรม ในนั้นคล้ายกับมีฝนที่ตกหนักหลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย มีเสียงตะโกนสังหารที่สั่นสะเทือนไปถึงท้องฟ้า มันคือเสียงคำรามของผู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ อาจเป็นสิ่งมีชีวิตระดับจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ
“น่าเสียดายที่นิมิตนั้นมันไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ข้าไม่รู้ว่ามันคือการต่อสู้ระหว่างจักรพรรดิหรือไม่” เย่ฟ่านส่ายหน้าอย่างเสียดาย
วิหารโบราณเพียงครึ่งที่นักพรตเสวี่ยเฉินสั่งให้เอามา มันมีขนาดสูงหลายสิบฉื่อที่ยังดูสง่างามเป็นอย่างมาก มันถูกสร้างมาจากขนนกสีเขียว แม้จะเพียงครึ่งแต่ความสง่างามยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย
“พวกเราเรียกมันว่าวิหารเซียน หลังจากผ่านมาหลายปีแล้วความเงางามของมันยังคงเหมือนเมื่อหลายพันปีก่อนไม่เปลี่ยนแปลง” ปรมาจารย์บางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อน
หัวใจของเย่ฟ่านกระตุกเล็กน้อยมันคล้ายกับเสิ่นฉวีซึ่งก็คือประตูที่เชื่อมต่อระหว่างหลุมลึกภายในดินแดนต้องห้ามแห่งชีวิตและอาณาจักรเซียน
ถึงแม้เขาไม่เคยไปนึกถึงขนาดนั้น แต่เย่ฟ่านก็เคยเห็นผ่านตามาจากหนังสือโบราณ
ด้านหน้าของเสิ่นฉวีคือประตูหนานเทียนที่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม แต่มันพังทลายลงไปแล้วครึ่งหนึ่งที่ทิ้งตำนานอันไม่มีสิ้นสุดไว้ในโลก
มันเป็นวิหารที่หายไปจากอาณาจักรเซียนหรือไม่ อาณาจักรเซียนคือสถานที่เดียวกันกับสวรรค์โบราณหรือเปล่า?
จากข้อมูลที่ได้รับมาวิหารแห่งนี้คือหนึ่งในสมบัติที่ขุดได้ในคุนหลุน
เย่ฟ่านเอามือสัมผัสวิหารโบราณแห่งนี้อย่างอ่อนโยน จากนั้นก็เริ่มสัมผัสถึงเต๋าของมัน เพราะเย่ฟ่านต้องการกลับไปสู่จุดกำเนิดของสมบัติชิ้นนี้
มีค่ายกลปิดผนึกที่ลึกลับถูกฝังอยู่ในวิหารแห่งนี้ มันเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงสามารถอยู่อย่างอมตะแม้จะผ่านมานานหลายหมื่นปีแล้วก็ตาม
เย่ฟ่านตกตะลึงในความพิเศษและศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้ เย่ฟ่านเชื่อแล้วว่านี่คือวิหารแห่งสวรรค์จริงๆ
เย่ฟ่านใช้ทักษะของหงส์เพลิงเพื่อย้อนรอยดูว่าวิหารแห่งนี้มาจากสวรรค์จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะย้อนกลับไปหลายหมื่นปีแต่สิ่งที่เขามองเห็นก็มีเพียงกองดินของภูเขาคุนหลุนเท่านั้น
บางทีวิหารนี้อาจถูกฝังอยู่ในภูเขาคุนหลุนมานานกว่าล้านปีแล้วก็ได้
“ฟู่”
ในตอนที่เย่ฟ่านกำลังจะปล่อยมือ จู่ๆ ระลอกคลื่นอันทรงพลังก็ปะทุขึ้นจากวิหารและเปลี่ยนให้ภูเขาอันกว้างใหญ่นี้เปล่งประกายด้วยแสงสีทองจากอักขระมากมายนับไม่ถ้วน
“เมื่อจักรพรรดิอมตะร่วงหล่น จักรพรรดิทุกอาณาจักรก็จะตกตายไปด้วย สวรรค์พิภพจะถล่มลงมา ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังพินาศ…”
นี่เป็นเจตจำนงที่แข็งแกร่งอย่างมาก มันยิ่งใหญ่มากกว่าเจตจำนงของจักรพรรดิโบราณด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นพลานุภาพของสิ่งมีชีวิตอมตะอย่างแท้จริง
จิตใจของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้สั่นคลอนอย่างรุนแรง พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับแสดงความเคารพต่ออักขระสีทองที่กระจายอยู่บนท้องฟ้า
อย่างไรก็ตามผู้คนมากมายไม่สามารถทนรับแรงกดดันของอักขระสีทองเหล่านี้และร่างของพวกเขาก็มีรอยแตกลุกลามไปทั่ว
“อ๊า”
เหล่าศิษย์ที่ไม่สามารถต้านทานได้นั้นดิ้นรนอยู่บนพื้น โชคดีที่พวกเขาได้รับการปกป้องจากหม้อปราณปฐพีต้นกำเนิดจึงไม่มีผู้ใดเสียชีวิต
“อั่ก!”
ปรมาจารย์หลายคนที่อยู่ใกล้ถูกพลังกดทับจนกระอั่กเลือดออกมาอย่างทนไม่ได้
เย่ฟ่านใช้พลังของปราณปฐพีต้นกำเนิดปกป้องทุกคนอย่างระมัดระวัง เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้คนที่ศรัทธาในตัวเขาต้องเกิดความผิดหวัง
“นี่เป็นเพียงจักรพรรดิไม่ใช่ผู้อมตะ” เย่ฟ่านพูดกับตัวเอง
เขาคิดว่าหากอักขระเหล่านี้เป็นความจริงย่อมหมายความว่าเจ้าของคำพูดนี้ก็เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ได้รับผลกระทบจากความตายของจักรพรรดิอมตะจนเสียชีวิตไปด้วย
เย่ฟ่านพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อฟื้นฟูร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้จากอดีต แต่น่าเสียดายที่ต่อให้เขาย้อนเวลากลับไปนานหลายแสนปีก็ยังมองเห็นเพียงภูเขาคุนหลุน
เย่ฟ่านรู้ดีว่าพลังของเขายังไม่เพียงพอ หากเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเซียนไปแล้วเขาอาจมองเห็นความลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้
เมื่อทุกอย่างสงบลงทุกคนก็ต่างมองหน้ากันอย่างน่าเหลือเชื่อ นี่เป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ชีวิตของผู้คนมากมายในบริเวณนี้ไม่เคยพบเจอมาก่อน
“สวรรค์นั้นมีอยู่จริง มันปรากฏขึ้นในช่วงสมัยโบราณ ข้าไม่รู้ว่าทางเข้าของมันยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่หรือไม่” เย่ฟ่านกล่าวเบาๆ
“ท่านต้องพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง มีผู้คนมากมายค้นหาสวรรค์โบราณมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล สิ่งนี้ไม่เพียงเผาผลาญความพยายามเท่านั้น มันอาจทำลายชีวิตของท่านด้วย”
“คำว่าสวรรค์โบราณนั้นครอบงำทุกช่วงกาลเวลาของจักรวาลทั้งในอดีตและปัจจุบัน มันไม่ใช่สิ่งที่จะหากันได้ง่ายๆ ว่ากันว่าผู้ที่สามารถเข้าสู่ดินแดนนั้นได้มีเพียงผู้อมตะที่แท้จริงเท่านั้น พวกเขาคือผู้ที่สร้างเราขึ้นมา หากเราพยายามค้นหาต้นกำเนิดของตัวเองพวกเขาจะทำลายเราทันที”
ทุกคนต่างพูดด้วยเจตนาที่ดี พวกเขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน สาเหตุหลักเพราะแม้กระทั่งการเป็นสิ่งมีชีวิตอาณาจักรเซียนยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา นับประสาอะไรกับการเป็นผู้อมตะ
เย่ฟ่านพยักหน้าตอบโดยไม่กล่าวอะไร เขารู้ดีว่าวิสัยทัศน์ของคนเหล่านี้ไม่สามารถเทียบกับเขาได้ เพราะทุกคนมีฐานการบ่มเพาะมากเกินไปและไม่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตอีกแล้ว
แขกที่มาเยี่ยมเยียนเย่ฟ่านทยอยเดินทางกลับ พวกเขามาที่นี่เพื่อมอบสมบัติที่คิดว่ามีประโยชน์สำหรับเย่ฟ่านในการค้นหาความจริงของโลกใบนี้
ครึ่งเดือนผ่านไป เย่ฟ่านจมอยู่ในกองหนังสือโบราณจนลืมกินลืมนอน เมื่อพ่อแม่ของเขาจากไปแล้ว ไม่มีอะไรในโลกที่จะดึงดูดเขาได้อีกนอกจากการบรรลุการเป็นอมตะ
สามปีผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับสายน้ำ เป็นเวลาหกปีแล้วที่เย่ฟ่านกลับมายังดวงดาวแห่งนี้
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้วนั้น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการตามหาอสูรโบราณที่ปรากฏตัวในช่วงสงครามโลก รวมทั้งร่องรอยของผู้อมตะ
อำนาจพลังของเขาได้เพิ่มขึ้นทุกวัน เป็นเรื่องยากหากจะต้องหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม ในขณะเดียวกันความรู้ที่เกี่ยวกับความเป็นอมตะของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายที่รวบรวมหนังสือโบราณให้แก่เขา
ช่วงห้าปีที่ผ่านมา เย่ฟ่านได้พยายามอย่างเต็มที่ในการเข้าไปเยี่ยมชมศาสนสถานต่างๆ เขาเคยไปที่วาติกัน ภูเขาโอลิมปัส ไปเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอียิปต์ แม้กระทั่งได้ลึกเข้าไปยังดินแดนพุทธของอินเดีย และทิ้งร่องรอยไว้ทุกพื้นที่มีชื่อเสียงในโลก
สวรรค์โบราณยังไม่ถูกค้นพบ แต่เย่ฟ่านบังเอิญได้รับคัมภีร์โบราณบางเล่มที่เป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามค้นหาสวรรโบราณมากกว่าเดิม
นอกเหนือจากการตามหาสวรรค์โบราณแล้ว เย่ฟ่านยังค้นพบแผนที่โบราณของภูเขาคุนหลุนอีกด้วย สถานที่แห่งนั้นคือสุสานของผู้อมตะที่แท้จริง การค้นหาผู้อมตะคือสิ่งที่เย่ฟ่านปรารถนามากที่สุดในตอนนี้
แผนที่ของภูเขาคุนหลุนนั้นถูกฝังไว้ใต้ฐานของวิหารโบราณภายในศรีลังกา เมื่อเปิดด้านล่างของวิหารโบราณแห่งนี้ขึ้นพวกเขาค้นพบโลงศพโบราณที่มีโครงกระดูกอยู่ภายในด้วย
โครงกระดูกโบราณนั้นยังเต็มไปด้วยพลังแห่งเต๋า หลังจากค้นพบพวกเขาไม่กล้าที่จะเปิดมันโดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงลำเลียงมันข้ามประเทศมาให้เย่ฟ่าน
นี่เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในการตามหาสวรรค์โบราณและสนามรบของจักรพรรดิโบราณ เพียงโครงกระดูกของคนที่อยู่ในโลงศพนี้ก็พอจะบอกได้แล้วว่าเขาเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
หลังจากได้รับแผนที่ชิ้นที่แปดแล้ว เย่ฟ่านก็หยุดพักเรื่องอื่นๆรวมถึงการตามหาสวรรค์โบราณ เพราะเขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในใจแล้ว!
ในอดีตนั้นหรงเฉิงจื่อเดินทางไปที่ประตูอาณาจักรเซียนภายในดินแดนต้องห้ามโบราณแห่งเป่ยโต้ว เขาได้รับยาเซียนอันล้ำค่าและทำให้รอดพ้นจากความตาย
แม้ว่าความแข็งแกร่งจะด้อยกว่าจักรพรรดิทั้งเก้าที่เย่ฟ่านต่อสู้ไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่เย่ฟ่านก็พอจะอนุมานได้ว่ายาเซียนต้นนั้นจะต้องมาจากอาณาจักรเซียนอย่างแน่นอน
ความลับของการเป็นอมตะนั้นมีโอกาสสูงมากที่ต้องค้นหาจากอาณาจักรเซียน แม้แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังตามหามันมาตลอด แล้วเย่ฟ่านจะไม่สนใจเรื่องนี้ได้อย่างไร
“ข้าอยากจะลองเข้าไปดูจริงๆ” เย่ฟ่านกล่าวกับตัวเอง
แผนที่ขาดหายไปส่วนหนึ่ง และมันพังทลายไปอย่างสมบูรณ์ไม่สามารถค้นหาได้อีกแล้ว ดังนั้นเย่ฟ่านจึงทำได้เพียงอนุมานเส้นทางขึ้นมาใหม่
…………