Chapter 86 เข้าร่วมประชุม
หลังจากที่ทำกายบริการจากเพลงตลกเทวะล้างสมองไปแล้ว ศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งก็ดูสดชื่นเป็นอย่างมาก การบ่มเพาะตลอดทั้งวัน ไม่รู้สึกล้าเลยแม้แต่น้อย.
ผลประโยชน์ของเวทย์เปลี่ยนรูป เครื่องเสียง ไม่เพียงแต่ช่วยปรับบรรยากาศ ยังมีประโยชน์อยู่ด้วยเช่นกัน.
ทว่ามีอยู่คนหนึ่ง หลังจากทำกายบริหารเสร็จ เย่ชิงเฉิงที่มานั่งหมกอยู่ที่มุม มือสองข้างกุมศีรษะ หัวใจที่โอดโอยโหยหวน “นี่เปิ่นตี้ทำอะไรลงไป เปิ่นตี้ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ความน่าเกรงขามหายไปใหน กับเรื่องน่าอายแบบนั้นเขาทำได้อย่างไร!
โดยเฉพาะคิดถึงตัวเองที่แม้แต่ร้องและเต้นไปพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดง แทบอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยความอับอายที่ได้แสดงออกมา!
“อ๊าก!”
เย่ชิงเฉิงที่คำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ถึงกับต้องเงยหน้าตะโกน.
“ฟิ้ว-”ทันใดนั้นฟุตบอลแห่งความสุขก็พุ่งมาด้วยความเร็ว.
“ขวับ!”
เย่ชิงเฉิงที่เอียงร่าง หลบบอลที่พุ่งมายังใบหน้าทันที ใบหน้าของเขาที่เผยท่าทางเหยียดหยัน “ข้าไม่เหมือนเดิมกับเมื่อหลายวันก่อนแล้ว.”
“ศิษย์น้อง ระวังด้านหลัง!”ซูเซียวโม่ตะโกนออกไปเสียงดัง.
เย่ซิงเฉินที่ตื่นตกใจ หันหน้าไปมองตามสัญชาติญาณ ก่อนที่จะเห็นลูกบอลที่กระแทกกำแพงกระเด้งกลับคืนมาด้วยความเร็ว.
“ปัง!”
“พรึด โครม!”
เย่ซิงเฉินที่ ถูกกระแทกล้มคว่ำกลิ้งไปบนพื้น.
ข้าอยากตาย.
อยากตายแล้วไปจุติอีกครั้ง!
“ลี่เฟย เท้าของเจ้าเมื่อไหร่จะควบคุมความแม่นได้สักที เห็นไหมโดนใบหน้าของศิษย์น้องเย่อีกแล้ว!”
......
เช้าวันถัดมา.
ภายใต้เสียงดนตรีตลกเทวะ ศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งก็ออกมาทำกายบริหารยามเช้าอย่างมีความสุข.
สำหรับเย่ชิงเฉิงด้วยการถูกหลี่ชิงหยางไปตามด้วยตัวเอง แม้นว่าจะไม่ต้องการเป็นอย่างมาก แต่ก็จำต้องเดินตามมา ครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่ากำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว.
หลังจากทำกายบริหารยามเช้าเสร็จ ศิษย์คนอื่น ๆ ก็แยกย้ายไปบ่มเพาะพลัง.
จุนซ่างเซี่ยวที่ก้าวออกมานั่งบนพื้น พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “หลายวันมานี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เย่ชิงเฉิงที่อยู่บนพื้นข้าง ๆ ก่อนแล้ว นิ่งเงียบไม่กล่าวอะไร.
จุนซ่างเซียวกล่าว “เงยหน้าขึ้นและบอกข้า เจ้าเป็นใครมาจากใหนอย่างงั้นรึ?”
เย่ซิงเฉินยังคงเงียบ.
หากว่าเขามีพลังเพียงพอล่ะก็ เขาคงกดเหยียบเจ้าสำนักแบนราบลงกับพื้นไปแล้ว.
จุนซ่างเซียวที่โบกมือขึ้นอย่างเกียจคร้าน กล่าวออกมาว่า “ที่จริงข้ารู้สึกอิจฉาเจ้าจริง ๆ ที่มีเรื่องราวมากมายจนไม่สามารถที่จะเอ่ยกล่าวอะไรออกมาได้.”
เย่ชิงเฉิน.“......”
จุนซ่างเซียวลุกขึ้น ก่อนที่จะปัดฝุ่นจากก้นและกล่าวออกมาว่า “ซิงเฉิน หากเจ้าไม่สามารถทนได้เกี่ยวกับการที่เปิ่นจั้วบังคับเจ้า ตอนนี้เจ้าสามารถจากไปได้.”
“พูดจริง ๆ รึ?”ท้ายที่สุดเย่ซิงเฉินก็เอ่ยกล่าวออกมา.
จุนซ่างเซียวที่โบกมือให้เหล่าศิษย์อยู่ด้านหน้าประตูขยับออกไป ก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “เจ้าสามารถไปได้ในตอนนี้ จะไม่มีใครขวางเจ้า.”
“ฟุบ!”
เย่ซิงเฉินลุกขึ้น เดินตรงไปยังประตูทันที.
จุนซ่างเซียวที่ยกมือขึ้นกอดอก ก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “แต่ว่า เจ้าควรจะคิดให้ระเอียดรอบครอบ หากเจ้าจากที่นี่ไป ก็เท่ากับสูญเสียทรัพยากรในการบ่มเพาะมากมาย หากว่าเจ้ามีศัตรูคู่แค้น ต้องการชำระแค้นก็คงยาก.”
เย่ซิงเฉินชะงักงัน มือทั้งสองข้างที่กำแน่น.
เขาต้องการจากไปในทันที ทว่ากับประสบการณ์เมื่อใช้ห้องปั้นกล้ามเนื้อแล้ว ร่างกายของเขายกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ยากที่จะตัดใจจากไปได้.
เดาถูกงั้นรึ?
คนผู้นี้มีศัตรูคู่แค้นงั้นรึ?
จุนซ่างเซียวเอ่ย “เปิ่นจั้วไม่รู้ประวัติของเจ้า และไม่ต้องการจะฟัง หากเจ้าไม่ต้องการเล่า อย่างไรก็ตามจำเอาไว้ว่า การฝึกฝนในสำนักไท่กู่เจิ้ง จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น.”
ในเวลาเดียวกันศิษย์คนอื่น ๆ ที่กำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ ทันทีที่เห็นเย่ชิงเฉินที่ราวกับต้องการจะจากไป.
“ศิษย์น้อง.”
ซูเซียวโม่ที่ถือลูกฟุตบอล ตะโกนออกมาว่า “สำนักของพวกเรา แม้นว่าตอนนี้จะยังอ่อนแอ ทว่าภายใต้การนำของเจ้าสำนัก จะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน หากว่าเจ้าจากไป จะต้องเสียใจตลอดชีวิตแน่นอน!”
“ฮึ!”
เย่ซิงเฉินแค่นเสียงเย็นชา.
จากนั้น เขาก็ถอยกลับมา ยืนอยู่ด้านหน้าจุนซ่างเซียว กล่าวออกมาเบา ๆ.“จะช่วยข้าทะลวงไปยังระดับราชันย์ยุทธ์ได้อย่างงั้นรึ?”
ถึงกับเอ่ยกล่าวว่าระดับราชันย์อย่างงั้นรึ?
คน ๆ นี้ ไม่ธรรมดาแน่นอน.
จุนซ่างเซียวที่สีจมูกและกล่าวออกมาว่า “ราชันย์ยุทธ์เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น หากเจ้าต้องการที่จะเหนือยิ่งกว่าดินแดน ดังกล่าว เปิ่นจั้วก็สามารถนำเจ้าไปถึงได้โดยง่าย.”
จะต้องพูดให้เกินจริงไว้สักหน่อย.
ราชันย์รัตติการที่อหังการก็หายไป เขากล่าวออกมาเล็กน้อย “ศิษย์จะฝึกฝนที่นี่.”
ยอมรับตัวเองว่าเป็นศิษย์แล้วรึ? หาได้ยาก!
อดีตราชันย์ยุทธ์ที่เคร่งขรึม มองเห็นจุนซ่างเซียวเป็นความหวังอย่างงั้นรึ?
ไม่ ไม่ ไม่เลย เขายังต้องการใช้ห้องปั้นกล้ามเนื้อเท่านั้น.
นอกจากนี้ เขาจำเป็นต้องหาสถานที่เพื่อบ่มเพาะอยู่แล้ว แม้นว่าสำนักไท่กู่เจิ้งจะอ่อนแอ ทว่าอย่างน้อยก็สงบ.
กับเรื่องที่จุนซ่างเซียวบังคับเขาเข้าสำนัก และยังถูกซูเซียวโม่เตะบอลอัดนั้น.
เรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรเลย ในเมื่อเป้าหมายใหญ่ของเขา การจุติกลับมาครั้งนี้ ก็เพื่อลากจักรพรรดินีนิรันดร์ให้ล่วงหล่นลงจากแท่นบูชาต่างหาก!
และแน่นอน สิ่งที่เขาไม่รู้ หากว่าเขาออกจากสำนักไท่กู่เจิ้ง สิ่งที่เขาสูญเสีย ไม่เพียงแต่ห้องปั้นกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังมีวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นที่จะหายไปจากความทรงจำของเขาทั้งหมด.
จุนซ่างเซียวเอ่ย “พรุ่งนี้ไปเมืองชิงหยางกับเปิ่นจั้ว ข้าจะนำเจ้าไปเปิดหูเปิดตา ดูโลกใบใหญ่.”
โลกใบใหญ่?
ภายในใจเย่ซิงเฉิงที่แค่นเสียงเหยียดหยัน.
เขาคือหนึ่งในสิบราชันย์ในอดีต มีสิ่งใดในโลกที่เขายังไม่เคยเห็น?
......
เช้าวันถัดมา.
ศิษย์ทุกคนที่ฝึกฝนไปตามปรกติ.
จุนซ่างเซียวที่เวลานี้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว เขาได้นำหลี่ชิงหยาง ซูเซียวโม่ เซียวจุ้ยจื่อและเย่ซิงเฉินสี่คน ไปยังเมืองชิงหยางด้วย.
“เจ้าสำนัก.”
ระหว่างทาง หลี่ชิงหยางกล่าว “ผู้นำพันธมิตรร้อยสำนัก เชิญท่านไป ให้พวกเราไปตามนัด ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างกับพวกเราแน่.”
จุนซ่างเซียวกล่าว “ต้องมีอยู่แล้ว.”
ฮึ.
แท้จริงก็เพียงแค่ประชุมสำนักในดินแดนเล็ก ๆ เท่านั้น กับบอกว่าเป็นโลกใบใหญ่งั้นรึ?
เขาที่คิดถึงงานประชุมราชันย์ที่เทือกเขาเมฆาชาติ เป็นการพุดคุยกับราชันย์อีกเก้าคน การชุมนุมในครั้งนั้นเป็นที่สนใจของคนทั่วแผ่นดิน.
เย่ซิงเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องในอดีต.
ชีวิตที่รุ่งโรจน์เมื่อในอดีต ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นเหมือนขยะในเวลานี้.
ทว่าหลังจากฝึกฝนมาหลายวัน เย่ซิงเฉินรู้สึกว่ากายเนื้อของตัวเองแข็งแกร่งมากกว่าเดิมมาก หากไม่มีห้องปั้นกล้ามเนื้อ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพัฒนาเร็วขนาดนี้.
ช่างน่าเสียดาย วิชาบ่มเพาะเปลี่ยนเส้นเอ็นเขายังไม่แตกฉาน วิชาพระสูตรไท่ฉวนก็ยังไปไม่ถึงใหน พลังบ่มเพาะจึงยังอยู่ในระดับเปิดชีพจรขั้นที่1.
รากวิญญาณต่ำเตี้ยย่ำแย่จนเกินไป.
......
เมืองชิงหยาง.
จุนซ่างเซียวที่ได้นำศิษย์กลับมายังเมืองนี้อีกครั้ง.
หากแต่เวลานี้แตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง เมื่อเขากลับเข้ามาในเมืองครั้งนี้ สายตาของทุกคนที่จับจ้องมองมานั้น ไม่มีแววตาดูถูกดูแคลนอีกต่อไป.
ศิษย์ของเขาที่ได้สี่ลำดับแรกในงานประลองยุทธ์สำนัก และยังทำลายสำนักหลิงชวนลงจนสมบูรณ์.
ในเวลานี้ ใครกันจะไม่รู้จักสำนักไท่กู่เจิ้ง?
“เจ้าสำนักจุน.”
ประมุขหลี่ที่มาต้อนรับ ใบหน้าที่เผยยิ้มพราย.
“ท่านพ่อ.”หลี่ชิงหยางที่ตะโกนออกมาเสียงดัง.
หลังจากเข้าร่วมสำนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขากลับมายังเมืองชิงหยาง.
จุนซ่างเซียวที่กล่าวออกไปด้วยความปรารถนาดี “เจ้าควรจะกลับไปอยู่กับบิดาของเจ้าสักหน่อย ข้าจะนำศิษย์น้องของเจ้าไปตามนัดหมายเอง.”
นี่คือเป้าหมายที่เขานำหลี่ชิงหยางมายังเมืองชิงหยาง.
หลี่ชิงหยางที่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าสำนัก รอให้พวกเราจัดการงานทั้งหมดแล้ว ศิษย์ค่อยกลับพูดคุยกับท่านพ่อก็ได้.”
เขาคือบุตรชายของประมุขหลี่ และยังเป็นศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้งด้วย.
งานชุมนุมในครั้งนี้ เป็นการประชุมที่มีผู้นำและประมุขของสำนักต่าง ๆ มารวมตัวกัน มีเรื่องบางเรื่องที่ยากจะจัดการ จะขาดศิษย์คนที่สองอย่างเขาไปได้อย่างไร!
“ตกลง.”
จุนซ่างเซียวที่ยกมือประสานกล่าวออกมาว่า “ประมุขหลี่ เปิ่นจั้วมีเรื่องที่ต้องจัดการ ไว้เสร็จเรื่องแล้วจะไปเยี่ยมเยือนที่ตระกูลก็แล้วกัน.”
กล่าวเสร็จ เขาก็นำศิษย์ทั้งสี่คนไปยังตึกจันทร์ดารา.
“เฮ้อ.”
ประมุขหลี่ที่จ้องมองบุตรชายเดินจากไป พลางถอนหายใจ.
เขารู้ว่าจุนซ่างเซียวนั้นมาประชุม ทว่าตึกจันทร์ดาราตั้งแต่เมื่อวานนี้ ก็เต็มไปด้วยเจ้าสำนักมากมาย เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก.
“ภายในตึกจันทร์ดาราเวลานี้มีเจ้าสำนักมากกว่า 30 คน และยังมีค่ายกลปกคลุมเอาไว้ด้วย!”
“ได้ยินมาว่า หากนำคนมามากเกินไป ก็จะไม่อาจเข้าไปได้!”
“เจ้าสำนักจุนทำลายสำนักหลิงชวน ดูเหมือนว่าพันธมิตรคนอื่น ๆ คงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก การประชุมในครั้งนี้ สงสัยต้องการลงโทษเขาอย่างแน่นอน.”
เหล่าผู้คนและผู้ฝึกยุทธ์มากมายที่พูดคุยกันเสียงเบา.
เซี่ยกวนคุนที่ยืนขึ้นเขายังคงอยู่ในห้องหนังสือ รับรู้ข่าวจากปากยามเฝ้าประตูแล้วว่าจุนซ่างเซียวได้เข้าเมืองมาแล้ว เขาเอ่ยกล่าวเสียงเบา “เจ้าหนู เรื่องภายในพันธมิตร เจ้าเมืองไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่มย่าม หวังว่าเจ้าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้.”