Chapter 82 ข้าจะทำลายเจ้าทั้งตระกูล.
เทือกเขาหลิงชวน อยู่ในเขตมนทลชิงยาง เมืองเหยาหยาง พื้นที่รอบ ๆ ยังคงเป็นธรรมชาติที่งดงามไม่มีผู้คนเข้ามาอาศัยอยู่ใกล้ ๆ.
นับตั้งแต่พี่น้องตระกูลเหว่ยสี่คนมาเปิดสำนักขึ้นที่นี่ สถานที่แห่งนี้ ก็กลายเป็นสถานที่ส่วนตัว ไม่มีใครสามารถรุกล้ำเข้ามาได้.
พื้นที่รอบ ๆ ที่ประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้หากินได้ แม้แต่เจ้าเมืองเหยาหยางก็ไม่กล้า ต้องไม่ลืมด้วยว่าสำนักหลิงชวน มีนิกายเซิ่งชวนอยู่เบื้องหลัง ทำให้เจ้าเมืองทำได้แค่หลับตาลงข้างหนึ่ง.
เวลานี้ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว.
พี่น้องตระกูลเหว่ยได้พัฒนาสำนักหลิงชวนรุ่งเรื่องไม่น้อย จนเวลานี้มีศิษย์กว่า 300 คนแล้ว.
อย่างไรก็ดี พวกเขาก็ยังคงเป็นสำนักระดับเก้า.
หากไม่เพราะว่าพวกเขาจะมีนิกายเซิ่งชวนอยู่เบื้องหลัง ชื่อเสียงของสำนักในยุทธภพ เกรงว่าจะด้อยกว่าเจ้าสำนักหวัง สำนักไท่กู่เจิ้งรุ่นก่อนด้วยซ้ำ.
ทำไมถึงเป็นเจ้าสำนักหวัง?
เพราะว่า เจ้าสำนักรุ่นสองจุนซ่างเซียวตลอดหลายวันที่ปกครองสำนัก ชื่อเสียงของสำนักก็เริ่มขจรขยายไปทั่ว.
และยังมีเรื่องประลองยุทธ์สำนักที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วอีก.
......
สำนักหลิงชวน ห้องโถงหลัก.
เหว่ยอี้หนูแขนเดียวนั่งอยู่ด้านใน ที่ด้านหน้าของเขามีบุรุษวัยกลางคนที่นั่งใบหน้ามืดมิด อึมครึมอยู่ด้วยเช่นกัน.
เขามีนามว่าเหว่ยอี้ซี.
เขาก็คือเจ้าสำนัก สำนักหลิงชวน พลังบ่มเพาะศิษย์ยุทธ์ขั้นที่สอง.
“พี่ใหญ่.”เหว่ยอี้หนูที่กัดฟันกล่าวออกมาว่า “มือสังหารที่พวกเราส่งไป จะสามารถจัดการจุนซ่างเซียวได้อย่างงั้นรึ?”
เหว่ยอี้ซีที่ยกน้ำชาขึ้นจิบ กล่าวออกมาว่า “มือสังหารเหรียญทองตึกฝนพร่ำ ที่รับงานมากว่าสองร้อยงานแล้ว ไม่เคยพลาดสักงาน แน่นอนย่อมจัดการได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล.”
อืม.
เขาที่จ้างมือสังหารเพื่อเอาชีวิตจุนซ่างเซียว จากหลากหลายสถานที่ หากแต่ยังไม่สำเร็จสักที่.
“มารดามันเถอะ.”
เหว่ยอี้หนูที่ทุบฝ่ามือลงไปบนพนักพิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงยากจะเข้าใจ ”เจ้าสำนักขยะ ทำไมถึงได้จัดการยากเย็นขนาดนี้กัน.
เหว่ยอี้ซีส่ายหน้าไปมา กล่าวออกมาว่า “น้องสี่ จุนซ่างเซียวสามารถสังหารน้องสองและน้องสามได้ เจ้าคิดว่าเขาเป็นขยะ เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์.”
สองพี่น้องเดินทางไปยังเมืองชิงหยางพบกับเจ้าเมือง แล้วไม่กลับมาเลย จากนั้นเขาก็เดินทางไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วยตัวเอง.
แน่นอนว่าเจ้าเมืองเซี่ยดูเหมือนว่าไม่ต้องการที่จะล่วงเกินเบื้องหลังของสำนักหลิงชวน คนที่สังหารเหว่ยอี้เล่อและเหว่ยอี้ไล่นั้นเป็นจุนซ่างเซียวกระทำเองทั้งหมด.
ทันทีที่รับรู้ว่าพี่น้องถูกสังหาร เหว่ยอี้ซี่โกรธเกรี้ยวทะยานสวรรค์.
ทว่าต้องไม่ลืมว่าเขาคือผู้ปกครองสำนัก แม้นว่าจะโกรธเกรี้ยวขนาดใหน ก็ยังต้องสุขุม จุนซ่างเซียวสังหารพี่น้องเขาได้ ความแข็งแกร่งต้องไม่สามารถดูแคลนได้แน่.
หลังจากกลับมายังสำนัก เขาพิจารณาอย่างดีแล้วตัดสินใจใช้เงินมหาศาลจ้างวานมือสังหารตึกฝนพรำ.
เขาที่ไม่กล้าแสดงตัวอย่างเปิดเผย จึงได้ลอบวางแผน ยืนอยู่เบื้องหลัง.
เหว่ยอี้หนูไม่สามารถสงบใจอยู่ได้ เมื่อพี่สองและพี่สามของเขาถูกสังหาร แววตาของเขาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่หนักหน่วงรุนแรงอย่างถึงที่สุด.
สี่พี่น้องที่บ่มเพาะวิชาร่วมกัน ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นศิษย์ของนิกายเซิ่งชวน หลังจากลงเขามา พวกเขาที่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันอย่างคาดไม่ถึง จึงไม่ต้องการแยกจาก จึงได้ก่อตั้งสำนักร่วมกันขึ้นมาเพื่อจะอยู่ด้วยกันตลอดไป.
“น้องสอง น้องสาม.”
เหว่ยอี้ซีที่วางถ้วยน้ำชาลงและกล่าวออกมาด้วยใบหน้ามืดครึ้ม “ไม่ว่าจะต้องจ่ายไปเท่าไหร่ พี่ใหญ่ก็ต้องล้างแค้นให้กับพวกเจ้า!”
ที่เรียกว่าต้องจ่าย หมายถึงเงินมหาศาลในการจ้างวานมือสังหารนั่นเอง.
เหมือนกับซื้อปลาจากชาวประมง.
“พี่ใหญ่!”
เหว่ยอี้หนูกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “รอให้ตึกฝนพรำสังหารจุนซ่างเซียวเสร็จ ข้าจะไปยังสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยตัวเอง สร้างป้ายหลุมศพของพี่สองและพี่สามเอาไว้ พร้อมกับใช้ป้ายจากโลหิตศิษย์ของมันเขียนป้ายชื่อ!”
เหว่ยอี้ซีเอ่ย “จะอย่างไรสำนักไท่กู่เจิ้งก็ยังเป็นหนึ่งในพันธมิตรร้อยสำนัก จะไปก็อย่าให้ใครพบเห็นเจ้า.”
“อืม.”
ใบหน้าของเหว่ยอี้หนูที่เปี่ยมล้นด้วยจิตสังหาร.
ในเวลานี้เขาแทบรอไม่ไหว ต้องการไปกวาดล้างสำนักไท่กู่เจิ้ง สร้างป้ายวิญญาณให้พี่ชายทั้งสองของเขา.
เหว่ยอี้ซี กล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “ข้าได้ยินมาว่ามันนำศิษย์ไปเข้าร่วมประลองยุทธ์สำนัก ไม่รู้ว่าไปถึงรอบใหน.”
“ชิ.”
เหว่ยอี้หนูแค่นเสียงเย็นชา “ไม่รู้ว่าสมองทำด้วยอะไร เข้าร่วมประลองยุทธ์สำนัก มีแต่จะกลายเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะเยาะ.”
เหว่ยอี้ซียกมือขึ้นวางบนพนักพึง นิ้วทั้งสิบที่เคาะเบา ๆ.“ไม่รู้ว่า งานประลองยุทธ์สำนัก ใครกันที่ได้รับชัยชนะเลิศ?”
“ข้าได้ยินมาว่าสำนักระดับหก สำนักหยินกู่ส่งศิษย์เข้าร่วมเช่นกัน เป็นไปได้ว่าคงเป็นศิษย์ของพวกเขาได้รับชัยชนะ.”เหว่ยอี้หนูกล่าว.
แม้ว่าสองพี่น้องจะไม่ได้ลงจากเขา ทว่าก็สนใจเกี่ยวกับงานประลองยุทธ์สำนักด้วยเช่นกัน.
“รายงาน!”
ในเวลานั้น ศิษย์คนหนึ่งที่วิ่งออกมาจากด้านนอก หายใจหืดหอบ น้ำเสียงที่มีความโกรธอยู่ด้วย “เจ้าสำนัก ศิษย์เพิ่งกลับมาจากเมืองเหยาหยาง ได้ยินมาว่า......”
“ได้ยินอะไร?”
“ได้ยิน....ได้ยินมาว่างานประลองยุทธ์สำนัก เซียวจุ้ยจื่อสำนักไท่กู่เจิ้ง ได้รับชัยชนะเลิศ!”
“อะไรนะ?”
เหว่ยอี้ซีและเหว่ยอี้หนูยืนขึ้นในทันที แววตาที่เผยท่าทางไม่อยากเชื่อออกมา.
ศิษย์คนดังกล่าวที่สูดหายใจลึกและกล่าวออกมาอีกว่า “อย่างไรก็ตาม...ข้ายังได้ยินมาว่า ศิษย์ของเขาทั้งสี่คนต่างก็ได้สี่ลำดับแรกอีกด้วย!”
“เป็นไปไม่ได้!”
เหว่ยอี้หนูที่กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อนัก “ด้วยสำนักระดับเก้า การเข้ารอบสองได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว นี่สามารถได้สี่อันดับแรกเลยอย่างงั้นรึ?!”
เหว่ยอี้ซีที่ยังสามารถควบคุมอารมณ์ได้ “ข่าวนี้เชื่อถือได้อย่างงั้นรึ?”
ศิษย์คนดังกล่าวเอ่ยกล่าวออกมาว่า “มีการติดประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว ศิษย์เห็นมันกับตา!”
เหว่ยอี้หนูถึงกับงงงันไปเหมือนกัน.
ในงานประลองยุทธ์สำนักเมื่อเสร็จสิ้นแต่ละครั้ง ทั่วทั้งมนทลชิงหยางจะมีประกาศอย่างเป็นทางการที่ป้ายประกาศประจำเมือง เกี่ยวกับการประกาศผู้ชนะเลิศการแข่งขันครั้งนี้ที่ติดประกาศเช่นเดิม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ข่าวลือ อีกต่อไป เว้นแต่จะมีการรับสารผิดมาซึ่งเป็นไปได้ยากมาก.
เหว่ยอี้ซีที่ขมวดคิ้วแน่น “ผู้ชนะเลิศการแข่งขัน อย่างต่ำก็มีพลังบ่มเพาะศิษย์ยุทธ์ขั้นที่สอง นี่ศิษย์สำนักไท่กู่เจิ้งแข็งแกร่งขนาดนี้เลยรึ?”
ศิษย์คนดังกล่าวเอ่ย “ข้าได้ยินคนที่ไปร่วมงานเพิ่งกลับมาจากเมืองลี่หยาง เขาเล่าว่าศิษย์ของสำนักไท่กู่เจิ้ง มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา อย่างต่ำน่าจะมีพลังศิษย์ยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง!”
“พรึด ครึดดดด!”
เหว่ยอี้หนูถึงกับหมดแรงนั่งลงกับที่ ใบหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก.
เขาที่คิดว่าหลังจากมือสังหารเอาชีวิตจุนซ่างเซียวแล้ว จะเดินหน้าบุกไปยังสำนักไท่กู่เจิ้ง เพื่อสังหารศิษย์ทั้งหมด หากแต่เมื่อได้ยินว่าศิษย์ของพวกเขาถึงกับได้สี่อันดับแรก หากเขาเดินทางไปตัวคนเดียว...ไม่ใช่ว่าแส่หาความตายรึอย่างไร!
“น้องสี่.”
เหว่ยอี้ซีที่ตระหนักอะไรบางอย่างได้ กล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร เจ้าก็ไม่ควรจะไปยังสำนักไท่กู่เจิ้งด้วยตัวคนเดียว.”
“อื้อ อืม.”เหว่ยอี้หนูเร่งรีบตอบรับในทันที.
เขาไม่ไป.
ก็สามารถส่งคนอื่น ไปแทนได้.
“ตูมมมม!”
พริบตานั้น เสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังขึ้นมา เหว่ยอี้ซีและเหว่ยอี้หนูใบหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อน เร่งรีบออกจากห้องโถงทันที ก่อนที่จะเห็นประตูสำนักที่พังทำลายยับเยิน.
“กึก กึก!”
จุนซ่างเซียวที่ก้าวมาทีละก้าว บนไหล่ของเขานั้นแบกป้ายสำนัก“สำนักหลิงชวน” มือข้างหนึ่งถือปืนพกอินทรีทะเลทราย ที่ปากกำลังคาบบุหรี่ม้วนใหญ่.
บุหรี่นี้ได้มาจากการถูกบังคับซื้อในการรีเฟรชร้านค้าเมื่อไม่นานมานี่เอง.
แม้นว่าจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก แต่มันกับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองโคตรโก้เหลือขนาด!
“จุนซ่างเซียว!”เหว่ยอี้หนูที่ดวงตาแดงกล่ำเส้นเลือดฝอยปรากฏขึ้นลามไปทั่ว.
เขานะรึ? เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง เหว่ยอี้ซีที่ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาที่เผยความมืดครึ้มปกคลุมไปทั่ว.
“โครม!”
จุนซ่างเซียวที่โยนป้ายสำนักที่เป็นรู ไปด้านหน้า ขณะกวาดตามองสำนักที่กว้างใหญ่ และกล่าวออกมาว่า “เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม น่าเสียดายที่มันต้องหายไป.”
หายไป น่าเสียดายจริง ๆ รึ?
เหว่ยอี้ซีใบหน้ามืดครึ้มกล่าวออกมาว่า “เจ้าสำนักจุน เจ้ามา....”
“ไม่ผิด.”
จุนซ่างเซียวที่ยกปืน ชี้ไปยังด้านหน้า กล่าวด้วยความอหังการ “ข้ากำลังทำลายพวกเจ้าทั้งตระกูล.”
“แส่หาความตาย!”เหว่ยอี้หนูไม่สามารถระงับความโกรธเอาไว้ได้ ชักดาบใหญ่ยักษ์ออกมาจากแหวนมิติ เตรียมที่จะบุกเข้ามา...
ปัง!
กระสุนจากปืนพกอินทรีทะเลทรายพุ่งออกไป ด้วยพลังวิญญาณอัดแน่นจากแกนผลึกวิญญาณ เสียงดังระเบิดเจาะหน้าอกอีกฝ่ายกลวงเป็นรูโบ๋ทันที.
เหว่ยอี้หนูที่ชะงัก ขณะก้มหน้าลงมองหน้าอกของเขาที่กลายเป็นรู หวาดผวาออกมาทันที ดาบของเขาที่ล่วงหล่น ร่างคุกเข่าและทรุดลงไปกองกับพื้นสิ้นลมหายใจไป.